เมนู

บทว่า อมฺพุเสวาลสญฺฉนฺนา ความว่า ชื่อว่า ดาษดื่นไปด้วยน้ำ
และสาหร่ายในที่นั้น ๆ เพราะมีน้ำไหลหลั่ง โดยมีน้ำไหลออกตลอดเวลา.
บทว่า เต เสลา รมยนฺติ มํ มีอธิบายว่า เราอยู่ที่ภูเขาใด
ภูเขานั้น เป็นภูเขาหินมีสภาพเช่นนี้ ทำให้เรายินดีด้วยความยินดียิ่งในวิเวก
เพราะเหตุนั้น เราจะไปที่ภูเขานั้นแหละ. ก็คำเป็นคาถานี้แหละ ได้เป็นการ
พยากรณ์พระอรหัตผลของพระเถระ.
จบอรรถกถาวนวัจฉเถรคาถา

4. อธิมุตตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระอธิมุตตเถระ


[251] ได้ยินว่า พระอธิมุตตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เมื่อชีวิตจะสิ้นไป ความเป็นสมณะที่ดีจักมีแก่
ภิกษุผู้เกียจคร้าน ผู้ติดอยู่ในความสุขในร่างกาย แต่
ที่ไหน ?


อรรถกถาอธิมุตตเถรคาถา


คาถาของท่านพระอธิมุตตเถระ เริ่มต้นว่า กายทุฏฐุลฺลครุโน.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระนามว่า ปทุมุตตระ บรรลุนิติภาวะแล้ว ประสบความสำเร็จ ใน
วิชชาทั้งหลายของพราหมณ์ เห็นโทษในกามทั้งหลาย ละฆราวาสวิสัยแล้ว

บวชเป็นดาบส อยู่ในป่า ฟังข่าวการบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า จึงเข้าไปสู่
ที่อันเป็นบริเวณของมนุษย์ เห็นพระศาสดาอันภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว เสด็จ
ไปอยู่ เป็นผู้มีใจเลื่อมใส ปูลาดผ้าเปลือกไม้กรองของตน ที่บาทมูลของพระ
ศาสดา. พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของดาบส จึงเสด็จประทับยืนบนผ้า
เปลือกไม้กรองนั้น. ดาบสบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ประทับยืนอยู่บนผ้า
เปลือกไม้กรองนั้นด้วยของหอม อันสมควรด้วยสักการะ แล้วชมเชยด้วยคาถา
10 คาถา มีอาทิว่า สมุทฺธรสิมํ โลกํ ดังนี้. พระศาสดาทรงพยากรณ์
พระดาบสว่า ในอนาคตกาล ในที่สุดแห่งแสนกัป แต่กัปนี้. ดาบสนี้จัก
บวชในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า โคตมะ จักเป็นผู้มี
อภิญญา 6 ดังนี้ แล้วเสด็จหลีกไป.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาบังเกิดในเทวโลก ต่อแต่นั้นก็ท่องเที่ยวไปใน
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จนถึงเวลาเป็นที่บังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าพระ-
องค์นี้ เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้
ได้มีนามว่า อธิมุตตะ บรรลุนิติภาวะแล้ว ประสบความสำเร็จแล้วในวิชชา
ทั้งหลายของพราหมณ์ ไม่เห็นสาระในวิชชาเหล่านั้น แสวงหาทางสิ้นทุกข์
และความที่ภพนั้นเป็นภพสุดท้าย เห็นพุทธานุภาพ ในคราวที่ทรงรับ
พระวิหาร ชื่อว่า เชตวัน ได้เป็นผู้มีจิตศรัทธา บวชในสำนักของพระศาสดา
เริ่มตั้งวิปัสสนา แล้วบรรลุพระอรหัต ต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์
ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราเป็นพราหมณ์ผู้ทรงชฎาและหนังสัตว์ เป็นผู้
ซื่อตรงมีตบะ ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายของโลก
ทรงรุ่งเรืองดังดอกกรรณิการ์ โชติช่างดังดวงไฟ รุ่ง-
โรจน์ดังดาวประกายพฤกษ์ เปรียบเหมือนสายฟ้าใน

อากาศ ไม่ทรงครั่นคร้าม ไม่ทรงสะดุ้งกลัว ดังพระ
ยาไกรสรราชสีห์ ทรงประกาศแสงสว่างแห่งพระญาณ
ทรงย่ำยีพวกเดียรถีย์ ทรงช่วยเหลือสัตวโลกนี้ ทรง
ตัดความสงสัยทั้งปวง ไม่ทรงหวาดหวั่น ดังพระยา-
เนื้อ จึงถือเอาฝ้าเปลือกไม้กรอง ลาดลง ณ ที่ใกล้
พระบาท หยิบเอากลัมพักมา ชโลมทาพระตถาคต
ครั้นชโลมทาพระสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ชมเชยพระองค์
ผู้เป็นนายกของโลกว่า ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์
ข้ามพ้นโอฆะแล้ว ทรงยังโลกนี้ให้ข้ามพ้น โชติช่วง
ด้วยแสงสว่างแห่งพระญาณ ทรงมีพระญาณประเสริฐ
สุด ทรงประกาศธรรมจักร ทรงย่ำยีเดียรถีย์อื่น ทรง
เป็นผู้กล้าหาญ ทรงชนะสงครามแล้ว ยังแผ่นดินให้
หวั่นไหว คลื่นในมหาสมุทร ย่อมแตกในที่สุดฝั่ง
ฉันใด ทิฏฐิ ทั้งปวงย่อมแตกทำลายในเพราะพระญาณ
ของพระองค์ฉันนั้น ข่ายตาเล็ก ๆ ที่เขาเหวี่ยงลงไป
ในสระแล้ว สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ภายในข่าย เป็นผู้ถูก
บีบคั้นในขณะนั้น ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์
พวกเดียรถีย์ ในโลกผู้หลงงมงาย ไม่อาศัยสัจจะ ย่อม
เป็นไปในภายในพระญาณ อันประเสริฐของพระองค์
ฉันนั้น พระองค์เท่านั้นเป็นที่พึ่งของผู้ที่ว่ายอยู่ ใน
ห้วงน้ำ เป็นนาถะของผู้ไม่มีเผ่าพันธุ์ เป็นสรณะของ
ผู้ที่ตั้งอยู่ในภัย เป็นผู้นำหน้าของผู้ต้องการความพ้น

เสด็จเที่ยวไปผู้เดียว ไม่มีใครเหมือน ทรงประกอบ
ด้วยพระเมตตากรุณา หาผู้เสมอเหมือนมิได้ เป็นผู้
สม่ำเสมอ สงบระงับแล้ว มีความชำนาญ คงที่ มีชัย-
ชนะสมบูรณ์ เป็นนักปราชญ์ ปราศจากความหลง
ไม่ทรงหวั่นไหว ไม่มีความสงสัย เป็นผู้พอพระทัย
มีโทสะอันคลายแล้ว ไม่มีมลทิน ทรงสำรวม มีความ
สะอาด ล่วงธรรมเครื่องข้อง มีความเมาอันกำจัดแล้ว
มีวิชชา 3 ถึงที่สุดแห่งภพทั้ง 3 ทรงก้าวล่วงเขต
แดน เป็นผู้หนักในธรรม มีประโยชน์อันถึงแล้ว ทรง
หว่านประโยชน์ ทรงยังสัตว์ให้ข้าม เปรียบเหมือน
เรือ ทรงมีขุมทรัพย์ ทรงทำความเบาใจ ไม่ทรงครั่น
คร้ามดังราชสีห์ เหมือนพระยาคชสารอันฝึกแล้ว ใน
กาลนั้น ครั้นเราสรรเสริญพระมหามุนี พระนามว่า
ปทุมุตตระ ผู้มียศใหญ่ ด้วยคาถา 10 คาถา ถวาย
บังคมพระบาทพระศาสดาแล้ว ได้ยืนนิ่งอยู่. พระ-
ศาสดาพระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้รู้แจ้งโลก สมควร
รับเครื่องบูชา ประทับอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ตรัส
พระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใดสรรเสริญ ศีล ปัญญา และ
สัทธรรมของเรา เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจง
ฟังเรากล่าว ผู้นั้นจะรื่นรมย์ อยู่ในเทวโลกตลอดหก
หมืนกัป จักเสวยไอศวรรย์ ล่วงเทวดาเหล่าอื่น ภาย
หลังอันกุศลมูล ตักเตือนแล้ว เขาจักออกบวชใน
ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า โคดม

ครั้นบวชแล้ว เว้นบาปกรรมด้วยกาย กำหนดรู้อาสวะ
ทั้งปวงแล้ว จักไม่มีอาสวะ ปรินิพพาน เมฆคราง
กระหึ่ม ย่อมยังพื้นดินให้อิ่ม ฉันใด ข้าแต่พระมหา
วีรเจ้า พระองค์ทรงยังข้าพระองค์ ให้อิ่มด้วยธรรม
ฉันนั้น ครั้นเราชมเชย ศีล ปัญญา ธรรม และพระ
องค์ผู้เป็นนายกของโลกแล้ว ได้บรรลุพระนิพพาน
อันเป็นธรรมสงบระงับอย่างยิ่ง เป็นอัจจุตบท โอหนอ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีจักษุพระองค์นั้น พึงดำรงอยู่
นานแน่ เราจะพึงรู้แจ้ง พึงเห็นอมตบท ชาตินี้เป็น
ชาติที่สุดของเรา เราถอนภพขึ้นได้หมดแล้ว กำหนด
รู้อาสวะทั้งปวงแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ ในกัปที่แสน
แต่ภัทรกัปนี้ เราได้สรรเสริญพระพุทธเจ้าใด ด้วยการ
สรรเสริญนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการ
สรรเสริญ. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอน
ของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะกล่าวสอนภิกษุทั้งหลาย
ผู้มากไปด้วยความเกียจคร้าน ซึ่งอยู่ร่วมกับตน ได้กล่าวคาถาว่า
เมื่อชีวิตจะสิ้นไป ความเป็นสมณะที่ดี จักมีแก่
ภิกษุผู้เกียจคร้าน ผู้ติดอยู่ในความสุข ในร่างกาย แต่
ที่ไหน
ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กายทุฏฺฐุลฺลครุโน ความว่า การ
ประกอบความไม่ดีงาม ชื่อว่า ความชั่วหยาบ ความชั่วหยาบทางกาย ชื่อว่า
กายทุฏฐุลละ กายทุฏฐลละอันหนักมีอยู่แก่ภิกษุใด ภิกษุนั้น ชื่อว่า
กายทุฏฐุลลครุ ผู้มีความเกียจคร้าน. อธิบายว่า เป็นผู้หมดอำนาจ ปราศจาก
ปัญญา คือขวนขวายแต่การพอกพูนเลี้ยงกาย ได้แก่ เป็นผู้เกียจคร้าน. แก่ภิกษุ
ผู้มีความเกียจคร้านนั้น.
บทว่า หิยฺยมานมฺหิ ชีวิเต ความว่า เมื่อชีวิตและสังขาร กำลัง
สิ้นไปโดยเร็ว ดุจน้ำของแม่น้ำน้อย กำลังขอดแห้งไป ฉะนั้น. บทว่า
สรีรสุขคิทฺธสฺส ความว่า ถึงความโลภ เพราะความสุขทางกายของตน มี
อาหารอันประณีตเป็นต้น.
บทว่า กุโต สมณสาธุตา ความว่า ความดี โดยความเป็น
สมณะ คือความเป็นสมณะที่ดี จะพึงมีแก่บุคคลเห็นปานนี้ ด้วยเหตุนั้น แต่
ที่ไหน ? อธิบายว่า ก็ความเป็นสมณะที่ดี จะมีแก่ภิกษุ ผู้ปราศจากความ
เพ่งเล็ง ในร่างกายและชีวิต ผู้สันโดษแล้ว ด้วยความสันโดษ ด้วยปัจจัย
ตามมีตามได้ ผู้ปรารภความเพียร แล้วโดยส่วนเดียวเท่านั้น.
จบอรรถกถาอธิมุตตเถรคาถา

5. มหานามเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมหานามเถระ


[252] ได้ยินว่า พระมหานามเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ดูก่อนมหานาม ท่านนี้จะเสื่อมจากภูเขา ชื่อ
เนสาทกะ ที่สะพรั่งไปด้วยต้นโมกมัน และไม้อ้อยช้าง
เป็นภูเขาที่สมบูรณ์ด้วยร่มเงา และน้ำเป็นอันมาก
ประดับด้วยต้นไม้และเถาวัลย์ โดยรอบ.


อรรถกถามหานามเถรคาถา


คาถาของท่านพระมหานามเถระ เริ่มต้นว่า เอสาวหิยฺยเส ปพฺพเตน.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์-
ก่อน ๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาลของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สุเมธะ ถึงความสำเร็จในวิชชาของ
พราหมณ์ทั้งหลายแล้ว ละฆราวาสวิสัย สร้างอาศรมอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง
สอนมนต์ให้พวกพราหมณ์เป็นจำนวนมาก อยู่มาวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จไปยังอาศรมบทของเขา เพื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา. เขาเห็นพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้ว มีจิตเลื่อมใส จัดแจงปูอาสนะถวาย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับนั่งแล้ว เข้าไปถวายน้ำผึ้งที่มีรสหวานสนิทดี. พระผู้มีพระภาคเจ้า