เมนู

เถรคาถา เอกนิบาต วรรคที่ 11


1. เพลัฏฐกานิเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระเพลัฏฐกานิเถระ


[238] ได้ยินว่า พระเพลัฏฐกานิเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ท่านละความเป็นคฤหัสถ์มาแล้ว ยังไม่ทันสำเร็จ
กิจ เป็นผู้มีปากดังไถ เห็นแก่ท้อง เป็นคนเกียจคร้าน
เป็นคนโง่เขลา เข้าห้องบ่อย ๆ เหมือนสุกรตัวใหญ่
ที่เขาปรนปรือด้วยเหยื่อ ฉะนั้น.

วรรควรรณนาที่ 11


อรรถกถาเพลัฏฐกานิเถรคาถา


คาถาของท่านพระเพลัฏฐกานิเถระ เริ่มต้นว่า หิตฺวา คิหิตฺตํ
อนโวสิตตฺโต.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ ในกัปที่ 31 แต่ภัทรกัปนี้ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาลของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า เวสสภู เจริญวัยแล้ว ถึงความสำเร็จ
ในศิลปวิทยาของพราหมณ์ทั้งหลาย ละฆราวาสวิสัยแล้ว บวชเป็นดาบส

อันหมู่ฤาษีแวดล้อมแล้วท่องเที่ยวไป วันหนึ่งเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง
พระนามว่า เวสสภู เกิดปีติโสมนัส อาศัยพระญาณสมบัติของพระศาสดา
จึงเป็นผู้มีใจเลื่อมใส ได้ทำการบูชาด้วยดอกไม้ทั้งหลาย อุทิศพระญาณ.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายบังเกิด
ในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่า
เพลัฏฐานิกะ ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา
ได้เป็นผู้มีศรัทธาจิต บวชแล้วเรียนกรรมฐานอยู่ในป่าแคว้นโกศล เป็นผู้
เกียจคร้าน มีร่างกายกำยำ มีวาจาหยาบคาย ไม่ยังจิตให้เกิดขึ้นในสมณธรรม
ได้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรวจดูความแก่กล้าของญาณแล้ว
ยังเพลัฏฐานิกภิกษุให้สลดใจ ด้วยพระคาถาชี้โทษนี้ว่า
เธอละความเป็นคฤหัสถ์มาแล้ว ยังไม่ทัน
สำเร็จกิจ เป็นผู้มีปากดังไถ เห็นแก่ท้อง เป็นคน
เกียจคร้าน เป็นคนโง่เขลา เข้าห้องบ่อย ๆ เหมือน
สุกรตัวใหญ่ที่เขาปรนปรือด้วยเหยื่อ ฉะนั้น
ดังนี้.
เธอเห็นพระศาสดา เหมือนหนึ่งประทับนั่งอยู่ตรงหน้า และฟังคาถา
นั้นแล้ว เกิดความสลดใจ แล้วเจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตต่อกาลไม่
นานนัก เพราะเหตุที่ญาณถึงความแก่กล้าแล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่าน
กล่าวไว้ในอปทานว่า
เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า
"เวสสภู" ผู้โชติช่วงดังดอกกรรณิการ์ ประทับนั่งอยู่
ณ ที่ระหว่างภูเขา ทรงยังทิศทั้งปวงให้สว่าง ดังดาว

ประกายพฤกษ์ มีมาณพ 3 คนเป็นผู้ศึกษาดี ในศิลปะ
ของตน หาบสิ่งของเต็มหาบ ไปตั้งข้างหลังเรา เรา
ผู้มีตบะใส่ดอกจำปา 7 ดอกไว้ในห่อ ถือดอกจำปา
เหล่านั้น บูชา ในพระญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า " เวสสภู " ในกัปที่ 31 แต่ภัทรกัปนี้
เราบูชาพระพุทธญาณด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น
เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระญาณ
ในกัปที่ 29 แต่ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
มีนามว่า " วิปุลาภา " สมบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการ
มีพลมาก. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอน
ของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อปฏิบัติพระโอวาทของพระ-
ศาสดาก็ดี เมื่อพยากรณ์พระอรหัตผล ด้วยมุขที่แปลกออกไปก็ดี ก็ได้กล่าวซ้ำ
พระคาถานั้นแหละ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หิตฺวา คิหิตฺตํ ความว่า สละความเป็น
คฤหัสถ์ อธิบายว่า บวชแล้ว.
บทว่า อนโวสิตตฺโต ความว่า ยังไม่สำเร็จกิจตามสมควร. อธิบายว่า
ชื่อว่ายังไม่สำเร็จกิจ คือ มีกรณียกิจยังทำไม่สำเร็จ เพราะยังไม่สำเร็จปริญญา
ตามสมควร แก่ผู้บวชในพระศาสนามุ่งหมายไว้.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อนโวสิตตฺโต ความว่า ยังไม่สำเร็จกิจ
โดยลำดับ และยังไม่ได้กระทำการอยู่จบพรหมจรรย์ ตามลำดับแห่งมรรคอัน
บริสุทธิ์ทั้งหลาย อธิบายว่า ยังไม่อยู่จบในอริยวาสครบทั้ง 10. ภิกษุชื่อว่า

มุขนังคลี เพราะมีไถกล่าวคือปาก อธิบายว่า ขุดตนอยู่ด้วยประโยคคือการ
กล่าวคำหยาบในผู้อื่นทั้งหลาย ดุจขุดดินอยู่ด้วยไถ ฉะนั้น.
บทว่า โอทริโก ความว่า ขวนขวายในเรื่องท้อง คือ เอาใจใส่แต่
เรื่องกินเป็นใหญ่.
บทว่า กุสีโต แปลว่า เกียจคร้าน คือไม่หมั่นประกอบภาวนา.
พระเถระเมื่อจะแสดงถึงความสำเร็จ ของภิกษุผู้เป็นอย่างนี้ จึงกล่าวว่า
เป็นคนโง่เขลา เข้าห้องบ่อย ๆ เหมือนสุกรตัวใหญ่ ที่เขาปรนปรือด้วยเหยื่อ
ฉะนั้น ดังนี้.
อรรถาธิบายของคาถานั้น ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในหนหลังแล้วทั้งนั้น ก็ใน
คาถานี้ พึงเข้าใจว่า ภิกษุบวชแล้ว เป็นคนโง่ ชื่อว่าย่อมเข้าห้องบ่อย ๆ
เพราะความเป็นผู้ยังไม่ได้อยู่จบพรหมจรรย์เป็นต้น เป็นสภาพ ฉันใด ภิกษุ
เช่นเราเป็นบัณฑิต ย่อมไม่เป็นฉันนั้น ก็พระเถระพยากรณ์พระอรหัตผล
ด้วยมุขที่แปลกออกไปว่า ปรินิพพาน เพราะถึงที่สุดแห่งสัมมาปฏิบัติ อันมี
สภาพตรงข้ามจากปฏิบัติดังกล่าวแล้ว ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาเพลัฏฐกานิเถรคาถา

2. เสตุจฉเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระเสตุจฉเถระ


[239] ได้ยินว่า พระเสตุจฉเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ชนทั้งหลายถูกมานะหลอกลวงแล้ว เศร้าหมอง
อยู่ในสังขารทั้งหลาย ถูกความมีลาภ และความเสื่อม
ลาภย่ำยีแล้ว ย่อมไม่ได้บรรลุสมาธิเลย.

อรรถกถาเสตุจฉเถรคาถา


คาถาของท่านพระเสตุจฉเถระ เริ่มต้นว่า มาเนน วญฺจิตา. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือน
แห่งตระกูล ในกาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ติสสะ ถึง
ความเป็นผู้รู้แล้ว วันหนึ่ง เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ติสสะ
มีใจเลื่อมใส ได้ถวายผลขนุนที่มีรสหวานสนิท (และ) ของขบเคี้ยวคือผล
มะพร้าวที่ตระเตรียมไว้.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ อยู่
ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นโอรสของพระเจ้ามัณฑลิกะพระองค์หนึ่ง
ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีพระนามว่า เสตุจฉะ เมื่อพระชนกสวรรคตแล้ว