เมนู

2. วิชยเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวิชยเถระ


[229] ได้ยินว่า พระวิชยเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ผู้ได้มีอาสวะสิ้นแล้ว ไม่ติดอยู่ในอาหาร มี
สุญญตวิโมกข์ และอนิมิตตวิโมกข์ เป็นโคจร รอยเท้า
ของผู้นั้นรู้ได้ยาก เหมือนรอยเท้าของฝูงนกในอากาศ
ฉะนั้น.

อรรถกถาวิชยเถรคาถา


คาถาของท่านพระวิชยเถระ เริ่มต้นว่า ยสฺสาสวา ปริกฺขีณา.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
เกิดในตระกูลที่สมบูรณ์ด้วยสมบัติ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง
พระนามว่า ปิยทัสสี บรรลุถึงความเป็นผู้รู้แล้ว เมื่อพระศาสดาปรินิพพาน
แล้ว ให้ช่างกระทำไพที (แท่นที่วางเครื่องสักการะ) อันขจิตด้วยรัตนะ สำหรับ
พระสถูปของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปิยทัสสี แล้วให้ทำการฉลอง
ไพทีอย่างโอฬาร ที่พระสถูปนั้น.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณี ใน
หลายร้อยอัตภาพ. เมื่อเขาท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายอย่างนี้

บังเกิดแล้วในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้
มีนามว่า วิชยะ. วิชยพราหมณ์เจริญวัยแล้ว สำเร็จการศึกษาในวิชชาของ
พราหมณ์ทั้งหลาย บวชเป็นดาบส เป็นผู้ได้ฌาน อยู่ชายป่าฟังข่าวการบังเกิด
ขึ้นของพระพุทธเจ้าแล้ว เกิดความเลื่อมใส เข้าไปสู่สำนักของพระศาสดา
ถวายบังคมพระศาสดา แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง พระศาสดาทรงแสดงธรรม
แก่เขาแล้ว เขาฟังธรรมแล้วบวช เริ่มตั้งวิปัสสนา บรรลุพระอรหัต ต่อกาล
ไม่นานนัก สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เมื่อพระโลกนาถทรงพระนามว่า ปิยทัสสี ผู้สูง
กว่านระ ปรินิพพานแล้ว เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส
ได้กระทำแท่นบูชาพระพุทธเจ้า แวดล้อมด้วยแก้วมณี
แล้ว ได้กระทำการฉลองอย่างมโหฬาร ครั้นทำการ
ฉลองแท่นบูชาแล้ว เราได้ทำกาลกิริยา ณ ที่นั้น เรา
เข้าถึงกำเนิดใด ๆ คือความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ใน
กำเนิดนั้น ๆ เทวดาทั้งหลาย ย่อมทรงแก้วมณีไว้ใน
อากาศ นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม ในกัปที่ 1,600 แต่
ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช 32 พระองค์
พระนามว่า " มณิปภา " มีพลมาก. เราเผากิเลส
ทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระ-
ทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล
ได้กล่าวคาถาว่า

ผู้ใดมีอาสวะสิ้นแล้ว ไม่ติดอยู่ในอาหาร มี
สุญญตวิโมกข์ และอนิมิตตวิโมกข์ เป็นโคจร รอยเท้า
ของผู้นั้น รู้ได้ยาก เหมือนรอยเท้าของฝูงนกในอากาศ
ฉะนั้น
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺสาสวา ปริกฺขีณา ความว่า อาสวะ
4 มีกามาสวะเป็นต้น ของบุคคลผู้สูงสุดใด สิ้นแล้วโดยประการทั้งปวง คือ
ให้สิ้นไปแล้วด้วยพระอริยมรรค.
บทว่า อาหาเร จ อนิสฺสิโต ความว่า บุคคลใดไม่ติดอยู่แล้ว
คือไม่ลุอำนาจของความอยาก ได้แก่ไม่ถึงความละโมบในอาหาร ด้วยธรรม
เป็นเครื่องติด คือ ตัณหาและทิฏฐิ บทนี้เป็นเพียงตัวอย่าง พึงทราบว่าใน
คาถานี้ ท่านถือเอาปัจจัยแม้ทั้ง 4 ไว้ด้วยศัพท์ที่เป็นประธาน คืออาหารศัพท์
อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่าในคาถานี้ อาหารศัพท์เป็นปริยายแห่งปัจจัย.
ในบทว่า สุญฺญโต อนิมิตฺโต จ นี้ ท่านหมายเอาอัปปณิหิตวิโมกข์
เข้าไว้ด้วย. ก็วิโมกข์ทั้ง 3 แม้เหล่านี้ เป็นชื่อของพระนิพพานทั้งนั้น อธิบาย
ว่า พระนิพพานชื่อว่า ว่าง เพราะไม่มีกิเลสมีราคะเป็นต้น ท่านเรียกว่า
สุญญตวิโมกข์ เพราะว่างและพ้นจากกิเลสมีราคะเป็นต้นเหล่านั้น อนึ่ง พระ-
นิพพาน ชื่อว่า หานิมิตมิได้ เพราะไม่มีนิมิตมีราคะเป็นต้น และเพราะไม่มี
สังขารนิมิต ท่านเรียกว่า อนิมิตตวิโมกข์ เพราะไม่มีกิเลสเหล่านั้นเป็นนิมิต
และว่างจากกิเลสเหล่านั้น พระนิพพานชื่อว่า หาที่ตั้งมิได้ เพราะไม่มีที่ตั้งมี
กิเลสเป็นต้น ท่านเรียกว่า อัปปณิหิตวิโมกข์ เพราะกิเลสเหล่านั้นตั้งไม่ได้
และหลุดพ้นจากกิเลสเหล่านั้น. วิโมกข์ทั้ง 3 อย่างแม้นี้ เป็นโคจรของภิกษุใด
ผู้กระทำพระนิพพานนั้นให้เป็นอารมณ์ แล้วอยู่ด้วยสามารถแห่งผลสมาบัติ.

บทว่า อากาเสเยว สกุณานํ ปทํ ตสฺส ทุรนฺวยํ ความว่า
รอยเท้าของนกทั้งหลายที่บินไปในอากาศ อันบุคคลไม่สามารถเพื่อจะรู้ได้ว่า
นกทั้งหลายใช้เท้าเหยียบในที่นี้แล้วบินไป กระทบที่ตรงนี้ด้วยท้องแล้วบินไป
กระทบที่ตรงนี้ ด้วยศีรษะแล้วบินไป กระทบที่ตรงนี้ ด้วยปีกแล้วบินไป ดังนี้
ฉันใด สำหรับภิกษุเห็นปานนี้ ก็ฉันนั้น อันบุคคลไม่สามารถเพื่อจะรู้ได้ว่า
ไปแล้วในทางทั้งหลาย มีทางนรกเป็นต้น ด้วยทางชื่อนี้ ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาวิชยเถรคาถา

3. เอรกเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระเอรกเถระ


[230] ได้ยินว่า พระเอรกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ดูก่อนเอรกะ กามเป็นทุกข์ ดูก่อนเอรกะ กาม
ไม่เป็นสุขเลย ผู้ใดใคร่กาม ผู้นั้น ชื่อว่าใคร่ทุกข์ ผู้
ใดไม่ใคร่ถาม ผู้นั้น ชื่อว่า ไม่ใคร่ทุกข์.

อรรถกถาเอรกเถรคาถา


คาถาของท่านเอรกเถระ เริ่มต้นว่า ทุกฺขา กามา เอรกา. เรื่อง
ราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ มาก บังเกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว วันหนึ่ง
เห็นพระศาสดา เป็นผู้มีใจเลื่อมใส เมื่อหาอะไร ๆ ที่ควรถวายพระบรม