เมนู

9. เทวสภเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระเทวสภเถระ


[226] ได้ยินว่า พระเทวสภะถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
กามราคะเพียงดังเปลือกตม และฉันทราคะ
เพียงดังหล่ม เราข้ามพ้นแล้ว เราเว้นทิฏฐิราคะเพียง
ดังบาดาลแล้ว เราพ้นจากโอฆะ และกิเลสเครื่อง
ร้อยรัด ทั้งกำจัดมานะหมดสิ้นแล้ว.

อรรถกถาเทวสภเถรคาถา


คาถาของท่านพระเทวสภเถระ. เริ่มต้นว่า อุตฺติณฺณา ปงฺกปลิปา.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนั้น ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้า
องค์ก่อน ๆ สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ เกิดใน
กำเนิดแห่งพรานผู้ฆ่าสัตว์ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า
สุขี วันหนึ่ง เห็นพระศาสดาแล้ว เป็นผู้มีใจเลื่อมใส ได้น้อมผลมะหาดไปถวาย.
เพื่อจะเจริญศรัทธาปสาทะของเขา พระศาสดาจึงทรงเสวยผลมะหาดนั้น. เขา
เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสเกินประมาณ ด้วยการเสวยผลมะหาดนั้น เข้าไปเฝ้าตาม
กาลเวลา ทำจิตให้เลื่อมใสแล้ว.

ด้วยบุญกรรมนั้น เขาเกิดในเทวโลก กระทำบุญไว้มาก ท่องเที่ยว
ไป ๆ มา ๆ ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นโอรสของพระราชา ทรง-
พระนามว่า มณฑลิกะ องค์หนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ
แต่ในเวลาที่ยังทรงพระเยาว์ทีเดียว เสวยความสุขในราชสมบัติ ทรงพระ-
ชราภาพ เข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่ท้าวเธอ.
พระองค์ฟังธรรมแล้ว ได้มีศรัทธาจิต เกิดความสลดพระทัย สละราชสมบัติ
ทรงผนวช แล้วเจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตต่อกาลไม่นานนัก. สมดัง
คาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
ในกาลนั้น เราเป็นพรานเที่ยวฆ่าสัตว์อื่นเป็น
อันมาก สำเร็จการนอนอยู่ที่เงื้อมเขาไม่ไกลพระ-
ศาสดาพระนามว่า สุขี เราเห็นพระพุทธเจ้าผู้เป็น
อัครนายกของโลก ทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า ก็เราไม่มี
ไทยธรรม สำหรับถวายแด่ศาสดาผู้จอมประชา ผู้คงที่
เราได้ถือเอาผลมะหาดไปสู่สำนักพระพุทธเจ้า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า เชษฐบุรุษของโลกผู้ประเสริฐกว่านระ
ทรงรับ ต่อแต่นั้น เราได้ถือเอาผลมะหาด ไปบำเรอ
พระองค์ซึ่งเป็นผู้นำที่วิเศษ ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น
เราได้ทำกาลกิริยา ณ ที่นั้นเอง ในกัปที่ 31 แต่
ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายผลมะหาดใด ด้วยกรรมนั้น
เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ ใน
กัปที่ 15 แต่ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 3
พระองค์ มีพระนามว่า ปิยาลิน สมบูรณ์ด้วย

แก้ว 7 ประการ มีพลมาก. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว
ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว

ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว บังเกิดความโสมนัสด้วย
สามารถแห่งการพิจารณาถึงกิเลสที่ละแล้ว เมื่อจะเปล่งอุทานได้กล่าวคาถาว่า
กามราคะเพียงดังเปลือกตม และฉันทราคะ
เพียงดังหล่ม เราข้ามพ้นแล้ว เราเว้นทิฏฐิราคะเพียง
ดังบาดาลแล้ว เราพ้นจากโอฆะและกิเลสเครื่องร้อย-
รัด ทั้งกำจัดมานะหมดสิ้นแล้ว
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุตฺติณฺณา ความว่า ก้าวล่วงพ้นไปแล้ว.
บทว่า ปงฺกปลิปา ได้แก่ ทั้งเปลือกตม และทั้งหล่ม. เปลือกตมโดยปกติ
ท่านเรียกว่า ปังกะ เปลือกตมใหญ่ทั้งลึกทั้งกว้าง ท่านเรียกว่า ปลิปะ แต่
ในคาถานี้ หมายเอาสภาพที่ชื่อว่า ปังกะ เพราะเป็นดุจเปลือกตม ได้แก่
กามราคะ เพราะจิตถูกฉาบทาด้วยการเพิ่มให้ซึ่งความไม่สะอาด (และหมายเอา)
สภาพที่ชื่อว่า ปลิปะ เพราะเป็นประดุจถูกลูบไล้ ได้แก่ ฉันทราคะที่หนาแน่น
มีลูกเมียเป็นต้นเป็นอารมณ์ เพราะถูกฉาบทาด้วยของไม่สะอาด และเพราะ
ข้ามพ้นได้ยาก โดยนัยดังกล่าวแล้ว ฉันทราคะเป็นต้นเหล่านั้น เราก้าวล่วง
แล้วโดยประการทั้งปวงด้วยพระอนาคามิมรรค เพราะเหตุนั้น พระเถระจึง
กล่าวว่า กามราคะเพียงดังเปลือกตม และฉันทราคะเพียงดังหล่ม เราข้ามพ้นแล้ว
ดังนี้.
บทว่า ปาตาลา ความว่า ที่ชื่อว่า ปาตาลา เพราะเป็นเหมือน
เมืองบาดาล ได้แก่ประเทศที่ต่อเนื่องกันในมหาสมุทร. ส่วนอาจารย์บางพวก

กล่าวนาคพิภพว่า บาดาล. แต่ในคาถานี้หมายเอา สภาพที่ชื่อว่าบาดาล
เพราะเป็นเหมือนเมืองบาดาล ด้วยอรรถว่า จับต้องไม่ได้ ทำให้เกิดแตก
หมู่คณะ และข้ามได้โดยยาก ได้แก่ ทิฏฐิทั้งหลาย. ก็ทิฏฐิเหล่านั้นอันเรา
เว้นแล้ว คือตัดขาดแล้ว โดยประการทั้งปวง โดยการได้บรรลุปฐมมรรค
นั่นเทียว เพราะเหตุนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า เราเว้นทิฏฐิราคะเพียงดังบาดาล
แล้ว ดังนี้.
บทว่า มุตฺโต โอฆา จ คนฺถา จ ความว่า เราพ้นแล้ว คือ
พ้นรอบแล้ว จากโอฆะมีโอฆะคือกามเป็นต้น และจากเครื่องร้อยรัด มีเครื่อง
ร้อยรัดกาย คือ อภิชฌาเป็นต้น ด้วยมรรคนั้น ๆ อธิบายว่า ก้าวล่วงแล้ว
โดยไม่มีกิเลสเครื่องวุ่นวายและกิเลสเครื่องร้อยรัดอีก.
บทว่า สพฺเพ มานา สํวิหิตา ความว่า กิเลสแม้ทั้ง 9 อย่าง
ถึงการฆ่า คือความพินาศ คือถูกถอนขึ้นโดยพิเศษ ด้วยการบรรลุมรรคชั้นสูง.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า มานวิธาหตา (มานะบางอย่างถูกฆ่าแล้ว) อธิบายว่า
ได้แก่ มานะบางส่วนถูกทำลาย. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า มานวิสา (มี
มานะเป็นพิษ) ก็บัณฑิตพึงเข้าใจความหมายของอาจารย์เหล่านั้นว่า ชื่อว่า
มีมานะเป็นพิษเพราะผลแห่งทุกข์ ที่มีมานะเป็นพิษ.
จบอรรถกถาเทวสภเถรคาถา (ที่ 1)

10. สามิทัตตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสามิทัตตเถระ


[227] ได้ยินว่า พระสามิทัตตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เบญจขันธ์ เรากำหนดรู้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว
ตั้งอยู่ ชาติสงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี.

จบวรรคที่ 9

อรรถกถาสามิทัตตเถรคาถา


คาถาของท่านพระสามิทัตตเถระเริ่มต้นว่า ปญฺจกฺขนฺธา ปริญฺญาตา.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้า
องค์ก่อน ๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง-
พระนามว่า วิปัสสี ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว เมื่อพระศาสดาเสด็จปรินิพพานแล้ว
กระทำฉัตรเป็นชั้น ๆ ด้วยดอกไม้ทั้งหลาย ไว้ที่สถูปของพระองค์ ได้ทำการ
บูชาแล้ว.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาเกิดในเทวโลก กระทำบุญแล้วท่องเที่ยว
ไป ๆ มาๆ อยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นบุตรของพราหมณ์คนหนึ่ง
ในกรุงราชคฤห์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่า สามิทัตตะ.
เขาถึงความเป็นผู้รู้โดยลำดับ ฟัง ( ข่าวเรื่อง ) อานุภาพของพระ-
พุทธเจ้าแล้ว ไปสู่วิหารพร้อมด้วยอุบาสกทั้งหลาย เห็นพระศาสดากำลังทรง
แสดงพระธรรมเทศนาอยู่ เป็นผู้มีใจเลื่อมใสแล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.