เมนู

บทว่า อปรทฺโธ ความว่า นับจำเดิมแต่ได้บรรลุพระอรหัตมรรค
ก็จักไม่หมุนไป ไม่จุติ ไม่เกิด. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า อปรฏฺโฐ ดังนี้
(ก็มี). อธิบายว่า ไม่ปราศจากความสำเร็จ คือไม่ไปปราศจากเหตุแห่งการ
ถอนกิเลสขึ้น. ก็คำเป็นคาถานี้แหละ ได้เป็นการพยากรณ์พระอรหัตผล ของ
พระเถระ.
จบอรรถกถาเมณฑสิรเถรคาถา

9. รักขิตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระรักขิตเถระ*


[216] ได้ยินว่า พระรักขิตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราละราคะได้หมดแล้ว ถอนโทสะได้หมดแล้ว
เรามีโมหะทั้งปวงไปปราศแล้ว เป็นผู้เยือกเย็น ดับ-
ความร้อนได้แล้ว.

อรรถกถารักขิตเถรคาถา


คาถาของท่านพระรักขิตเถระ เริ่มต้นว่า สพฺโพ ราโค ปหีโน เจ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า พระเถระนี้ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว วันหนึ่ง
สดับพระธรรมเทศนา ของพระศาสดา แล้วมีใจเลื่อมใส ได้กระทำการชมเชย
โดยปรารภพระญาณในเทศนา. พระศาสดาทรงตรวจดู ความเลื่อมใสแห่งจิต
* ในอปทานเรียกว่า พระโสภิต ไม่เรียกว่า พระรักขิตเถระ

ของท่านแล้ว ทรงพยากรณ์ว่า ในที่สุดแห่งแสนกัปนับแต่กัปนี้ เธอจักได้
เป็นสาวกชื่อว่า รักขิตะ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า โคตมะ.
ท่านสดับคำพยากรณ์นั้นแล้ว เป็นผู้มีใจเลื่อมใสยิ่งเกินประมาณ กระทำ
บุญเป็นอันมาก แล้วท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายบังเกิด
ในตระกูลแห่งเจ้าศากยะ ในเทวทหนิคม ในพุทธุปบาทกาลนี้. ได้มีนามว่า
รักขิตะ. ท่านเป็นราชกุมารองค์หนึ่งในบรรดาราชกุมารทั้ง 500 ที่พวกเจ้า-
ศากยะและเจ้าโกลิยะทั้งหลาย ทูลถวายเพื่อเป็นบริวารของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วบวช. ก็ราชกุมารเหล่านั้น ไม่ถูกความกระสันครอบงำ เพราะบวชด้วย
ความสังเวช ในเวลาที่พระศาสดาทรงนำไปสู่ฝั่งแม่น้ำกุณาลทหะ ทรงประกาศ
โทษในกามทั้งหลาย โดยทรงสำแดงโทษของพวกสตรี ในเทศนาว่าด้วย
กุณาลชาดกแล้ว ทรงให้ประกอบในกรรมฐาน เวลานั้น แม้พระรักขิตเถระนี้
ก็ขวนขวายกรรมฐาน เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดังคาถา
ประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
พระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ เชษฐ-
บุรุษของโลก ประเสริฐกว่านระ ทรงแสดง อมตบท
แก่หมู่ซนเป็นอันมาก เวลานั้นเราได้ฟังพระดำรัสอัน
เป็นอาสภิวาจา ที่พระองค์ทรงเปล่งแล้ว ประนม
อัญชลีเป็นผู้มีใจเป็นอารมณ์เดียว (กล่าวว่า) สมุทร
เลิศกว่าทะเลทั้งหลาย เขาสุเมรุ ประเสริฐกว่าเขา
ทั้งหลาย เป็นที่สั่งสมหิน ฉันใด ชนเหล่าใดย่อม
เป็นไปตามอำนาจจิต ชนเหล่านั้นย่อมไม่เข้าถึงเสี้ยว
แห่งพระพุทธญาณ ฉันนั้น พระพุทธเจ้า ทรงเป็นฤษี
ประกอบด้วยพระกรุณา ทรงหยุดการแสดงธรรม

ประทับนั่ง ในท่ามกลางสงฆ์แล้ว ได้ตรัสพระคาถา
เหล่านี้ว่า ผู้ใดสรรเสริญพระพุทธญาณ ผู้นำของโลก
ผู้นั้นจะต้องไม่ไปสู่ทุคติตลอดแสนกัป ผู้นั้นจักเผา
กิเลสทั้งปวงได้ จักเป็นผู้มีอารมณ์เดียว มีจิตมั่นคง
จักได้เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่า โสภิตะ
ในกัปที่ 50,000 แต่ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
7 พระองค์ พระนามว่า ยสุคคตะ สมบูรณ์ด้วย
แก้ว 7 ประการ มีพลมาก. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว
ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว

ดังนี้.
ก็พระเถระ ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อพิจารณาถึงกิเลสที่ตน
ละได้แล้ว ได้กล่าวคาถาว่า
เราละราคะได้หมดแล้ว ถอนโทสะได้หมดแล้ว
เรามีโมหะทั้งปวงไปปราศแล้วเป็นผู้เยือกเย็นดับความ
ร้อนได้แล้ว
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺโพ ราโค ได้แก่ ราคะแม้ทั้งหมด
มีกามราคะเป็นต้นเป็นประเภท.
บทว่า ปหีโน ได้แก่ ละแล้ว ด้วยสามารถแห่งสมุจเฉทปหานด้วย
อริยมรรคภาวนา.
บทว่า สพฺโพ โทโส ได้แก่ พยาบาทแม้ทั้งหมดต่างโดยประเภท
เป็นอเนก โดยความเป็นอาฆาตวัตถุเป็นต้น.
บทว่า สมูหโต ได้แก่ ถอนขึ้นแล้ว ด้วยมรรค.

บทว่า สพฺโพ เม วิกโต โมโห ได้แก่ โมหะ 8 ประเภท
โดยต่างกันทางวัตถุ มีไม่รู้ทุกข์เป็นต้น คือโมหะแม้ทั้งหมด จำแนกออกไป
ได้ไม่ใช่น้อย โดยวิภาคแห่งสังกิเลสวัตถุของเรา ชื่อว่า ไปปราศแล้ว เพราะ
ถูกเรากำจัดแล้วด้วยมรรค.
บทว่า สีติภูโตสฺมิ นิพฺพุโต ความว่า พระเถระพยากรณ์พระ-
อรหัตผลว่า ด้วยการละกิเลสที่เป็นมูลได้อย่างนี้ เราชื่อว่าถึงแล้วซึ่งความ
เยือกเย็น เพราะไม่มีความกระวนกระวาย และความเร่าร้อนหลงเหลืออยู่
เพราะความที่สังกิเลสทั้งหลาย โดยตั้งอยู่ที่เดียวกันกับกิเลสมูลนั้น สงบระงับ
แล้วโดยชอบนั่นแหละ เพราะเหตุนั้นแล เราจึงชื่อว่าเป็นผู้ปรินิพพานแล้ว
เพราะดับกิเลสได้ โดยประการทั้งปวง.
จบอรรถกถารักขิตเถรคาถา

10. อุคคเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระอุคคเถระ


[217] ได้ยินว่า พระอุคคเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
กรรมใดที่เราได้ทำไว้แล้ว น้อยหรือมากก็ตาม
กรรมทั้งหมดนั้นสิ้นไปแล้ว บัดนี้ การเกิดในภพใหม่
ไม่มี.

จบวรรคที่ 8