เมนู

8. เมณฑสิรเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระเมณฑสิรเถระ


[215] ได้ยินว่า พระเมณฑสิรเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เมื่อเรายังไม่ได้ประสบญาณ ได้ท่องเที่ยวไปใน
สงสาร สิ้นชาติมิใช่น้อย เรานั้นเกิดมาแล้วในกองทุกข์
กำจัดกองทุกข์ได้แล้ว.

อรรถกถาเมณฑสิรเถรคาถา


คาถาของท่านพระเมณฑสิรเถระ เริ่มต้นว่า อเนกชาติสํสารํ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า แม้พระเถระนั้น ก็มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธ-
เจ้าองค์ก่อน ๆ กระทำบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ไว้ในภพนั้น ๆ
เป็นอันมาก ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ เจริญวัยแล้ว
ละกามวิสัย แล้วบวชเป็นดาบส อยู่ในป่าหิมวันต์พร้อมด้วยฤาษีหมู่ใหญ่
เห็นพระบรมศาสดาแล้วมีใจเลื่อมใส ยังหมู่ฤาษีให้นำดอกปทุมมาทำพุทธบูชา
ด้วยดอกไม้ สั่งสอนสาวกทั้งหลาย ในอัปปมาทปฏิปทา ทำกาละแล้วบังเกิด
ในเทวโลก ท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ เกิดในตระกูลคฤหบดี ในเมืองสาเกต ใน
พุทธุปบาทกาลนี้ ได้สมัญญานามว่า เมณฑสิระ ดังนี้แล เพราะความที่เขา
มีศีรษะคล้ายแกะ.

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในอัญชนวนวิหาร ในเมืองสาเกต
เขาเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา ได้มีจิตศรัทธา บรรพชาแล้ว เจริญสมถกรรมฐาน
และวิปัสสนากรรมฐานได้เป็นผู้มีอภิญญาหกแล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ ที่ท่าน
กล่าวไว้ในอปทานว่า
ในที่ไม่ไกลจากภูเขาหิมวันต์มีภูเขาชื่อว่าโคตมะ
ดารดาษด้วยต้นไม้นานาพรรณ เป็นที่อยู่ของหมู่มหา-
ภูต (ยักษ์) ในท่ามกลางภูเขานั้น มีอาศรมที่เรา
สร้างไว้ เราแวดล้อมด้วยหมู่ศิษย์ของตนอยู่ในอาศรม
ได้สั่งศิษย์ทั้งหลายว่า คณะศิษย์ของเรา (เมื่อมาหาเรา)
ขอจงนำเอาดอกบัวมาให้เรา เราจักทำพุทธบูชา แด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้จอมประชา ผู้คงที่ ศิษย์เหล่านั้น
รับคำที่เราสั่งอย่างนี้แล้ว นำเอาดอกบัวมาให้เรา เรา
กระทำดอกบัวให้เป็นนิมิตอย่างนั้นแล้ว บูชาพระ-
พุทธเจ้า ในกาลนั้นเราประชุมศิษย์ทั้งหลายแล้ว พร่ำ
สอนด้วยดีว่า ท่านทั้งหลายอย่าประมาทนะ เพราะว่า
ความไม่ประมาทนำสุขมาให้ ครั้นเราพร่ำสอน
บรรดาศิษย์ของตน ผู้อดทนต่อคำสอนอย่างนี้แล้ว
ประกอบตนในคุณ คือ ความไม่ประมาท ได้ทำกาละ
ในกาลนั้น ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้ เราบูชาพระ-
พุทธเจ้า ด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จัก
ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัปที่ 51 แต่
ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช มีนามว่า

ชลุตตมะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการ มีพลมาก.
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า
เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
พระเถระ เมื่อระลึกถึงขันธบัญจก ที่ตนเคยอาศัยมาในก่อนของตน
ได้กล่าวคาถาว่า
เมื่อเรายังไม่ได้ประสบญาณ ได้ท่องเที่ยวไปใน
สงสาร สิ้นชาติมิใช่น้อย เรานั้นเกิดมาแล้วในกองทุกข์
กำจัดกองทุกข์ได้แล้ว
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเนกชาติ สํสารํ ความว่า สังสารวัฏ
นี้ นับจำนวนตั้งแสนชาติมิใช่น้อย บทนี้เป็นทุติยาวิภัตติเอกวจนะ เพราะ
หมายถึงการเดินทางไกล.
บทว่า สนฺธาวิสฺสํ แปลว่า แล่นไปแล้ว ได้แก่ หมุนไปแล้ว
ไป ๆ มา ๆ ด้วยสามารถแห่งการจุติ และอุปบัติ.
บทว่า อนิพฺพิสํ ความว่า เมื่อไม่ประสบ คือไม่ได้ซึ่งญาณเป็น
เครื่องหยุดวัฏฏะนั้น.
บทว่า ตสฺส เม ความว่า แก่เราผู้ท่องเที่ยวไปอยู่อย่างนี้.
บทว่า ทุกฺขชาตสฺส ได้แก่ ทุกข์ที่เกิดแล้วด้วยสามารถแห่งชาติ
เป็นต้น อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ มีทุกข์เป็นสภาพด้วยสามารถแห่งความเป็นทุกข์
3 อย่าง.
บทว่า ทุกฺขกฺขนฺโธ ได้แก่ กองแห่งทุกข์ ต่างด้วยกรรมวัฏ
กิเลสวัฎ และวิปากวัฏ.

บทว่า อปรทฺโธ ความว่า นับจำเดิมแต่ได้บรรลุพระอรหัตมรรค
ก็จักไม่หมุนไป ไม่จุติ ไม่เกิด. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า อปรฏฺโฐ ดังนี้
(ก็มี). อธิบายว่า ไม่ปราศจากความสำเร็จ คือไม่ไปปราศจากเหตุแห่งการ
ถอนกิเลสขึ้น. ก็คำเป็นคาถานี้แหละ ได้เป็นการพยากรณ์พระอรหัตผล ของ
พระเถระ.
จบอรรถกถาเมณฑสิรเถรคาถา

9. รักขิตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระรักขิตเถระ*


[216] ได้ยินว่า พระรักขิตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราละราคะได้หมดแล้ว ถอนโทสะได้หมดแล้ว
เรามีโมหะทั้งปวงไปปราศแล้ว เป็นผู้เยือกเย็น ดับ-
ความร้อนได้แล้ว.

อรรถกถารักขิตเถรคาถา


คาถาของท่านพระรักขิตเถระ เริ่มต้นว่า สพฺโพ ราโค ปหีโน เจ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า พระเถระนี้ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว วันหนึ่ง
สดับพระธรรมเทศนา ของพระศาสดา แล้วมีใจเลื่อมใส ได้กระทำการชมเชย
โดยปรารภพระญาณในเทศนา. พระศาสดาทรงตรวจดู ความเลื่อมใสแห่งจิต
* ในอปทานเรียกว่า พระโสภิต ไม่เรียกว่า พระรักขิตเถระ