เมนู

2. อาตุมเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระอาตุมเถระ


[209] ได้ยินว่า พระอาตุมเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
หน่อไม้มียอดอันงอกงาม เจริญด้วยกิ่งก้านโดย-
รอบ ย่อมเป็นของที่บุคคลขุดขึ้นได้โดยยาก ฉันใด
เมื่อโยมมารดานำภรรยามาให้ฉันแล้ว ถ้าฉันมีบุตร
หรือธิดาขึ้น ก็ยากที่จะถอนตนออกบวชได้ฉันนั้น
เพราะฉะนั้น ฉันจึงบวชแล้วในบัดนี้.

อรรถกถาอาตุมเถรคาถา


คาถาของท่านพระอาตุมเถระ เริ่มต้นว่า ยถา กฬีโร สุสุ
วฑฺฒิตคฺโค
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้ท่านก็มีอธิการอันกระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ สั่งสมบุญ
อันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้ บังเกิด
ในเรือนแห่งตระกูล ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนาม
ว่า วิปัสสี ทรงดำเนินไปในระหว่างถนน มีใจเลื่อมใส ได้ทำการบูชาด้วย
น้ำหอม และด้วยจุณแห่งของหอม. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านบังเกิดในเทวโลก
ท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ อยู่ในเทวโลกเท่านั้น บวชในศาสนาของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสปะ แล้วบำเพ็ญสมณธรรม แต่ไม่สามารถจะ
ทำคุณพิเศษให้เกิดขึ้นได้ เพราะญาณยังไม่แก่กล้า.

ครั้นในพุทธุปบาทกาลนี้ เกิดเป็นเศรษฐีบุตร ในพระนครสาวัตถี
ได้มีนามว่า " อาตุมะ" เมื่อท่านเจริญวัยแล้ว มารดาปรึกษากับหมู่ญาติว่า
พวกเราจักนำภรรยามาให้บุตรของเรา เขาพิจารณาใคร่ครวญดูเหตุนั้นแล้ว
อันเหตุสมบัติทักท้วงไว้ จึงคิดว่า ประโยชน์อะไรด้วยการอยู่ครองเรือนแก่เรา
เราจักบวชในบัดนี้แหละ ดังนี้แล้ว ไปยังสำนักของภิกษุทั้งหลายบวชแล้ว.
มารดามีความประสงค์จะยังท่านผู้แม้บวชแล้วให้สึก เล้าโลมโดยนัยต่าง ๆ.
ท่านไม่ยอมให้โอกาสแก่มารดา เมื่อจะประกาศอัธยาศัยของตน ได้กล่าวคาถาว่า
คนหนุ่มเหมือนหน่อไม้มียอดอันงอกงาม เจริญ
ด้วยกิ่งก้านโดยรอบ ย่อมเป็นของที่บุคคลขุดขึ้นได้
โดยยาก ฉันใด เมื่อโยมมารดานำภรรยามาให้อาตมา
แล้ว ถ้าอาตมามีบุตรหรือธิดาขึ้น ก็ยากที่จะถอนตน
ขึ้นออกบวชได้ ฉันนั้น เพราะฉะนั้น อาตมาจึงไม่
ยินยอม บวชแล้ว ในบัดนี้ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กฬีโร แปลว่า หน่อไม้. แต่ในคาถานี้
หมายเอาหน่อคือเชื้อสาย.
บทว่า สุสุ แปลว่า คนหนุ่ม.
บทว่า วฑฺฒิตคฺโค ความว่า มีกิ่งก้านเจริญงอกงาม.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สุสุวฑฺฒิตคฺโค ความว่า แผ่กิ่งก้านสาขา
ออกไปด้วยดี คือ มีใบและกิ่งเกิดแล้ว.
บทว่า ทุนฺนิกฺขโม ความว่า ไม่สามารถเพื่อจะถอน คือนำออก
จากกอไผ่ได้. บทว่า ปสาขชาโต ความว่า มีกิ่งเล็กกิ่งใหญ่เกิดแล้ว คือ
แม้แต่ละกิ่ง ก็เกิดกิ่งเล็ก ๆ ขึ้นทุก ๆ ปล้อง.

บทว่า เอวํ อหํ ภริยายานีตาย ความว่า หน่อคือยอดที่แตกกอ
ได้แก่กิ่งเล็กกิ่งน้อย ที่เกี่ยวประสานกันในระหว่างหน่อ ย่อมเป็นของนำออก
ได้โดยยาก จากพุ่มไผ่ ฉันใด แม้ตัวอาตมาเองก็ฉันนั้น เมื่อโยมมารดานำ
ภรรยามาให้ พึงเป็นผู้มีหน่อเจริญงอกงาม โดยเป็นบุตรและธิดาเป็นต้น
พึงเป็นของยาก ที่จะปลีกตนออกจากฆราวาสวิสัยได้ ด้วยอำนาจแห่งตัณหา
(รัดรึงไว้).
ก็หน่อคือเชื้อสาย ที่เนื่องกับกิ่งที่ยังไม่เกิด ย่อมนำออกจากพุ่มไม้ไผ่
ได้ง่ายฉันใด แม้เราก็ฉันนั้น เนื่องด้วยหน่อมีบุตรและธิดา ที่ยังไม่เกิดแล้ว
เป็นต้น ย่อมนำออกได้ง่าย เพราะฉะนั้น เมื่อมารดายังไม่นำภรรยามามอบให้
ข้าพเจ้าจึงไม่ยินดี คือไม่ยอมรับรู้ด้วยตนเอง.
บทว่า ปพฺพชิโตมฺหํ ทานิ ความว่า พระเถระประกาศความยินดี
ในการออกบวชของตนว่า ก็บัดนี้ ข้าพเจ้าบวชแล้ว คือการที่ข้าพเจ้าบวชแล้ว
นั้น เป็นการดีคือดีแล้ว. อีกอย่างหนึ่ง พระเถระบอกแก่มารดาว่า ข้าพเจ้า
ไม่ยินดี จึงออกบวชในบัดนี้. ก็ในบาทคาถานี้ มีอธิบายดังนี้ แม้ถ้าโยม
มารดาไม่ยินยอมในตอนต้น แต่บัดนี้ ข้าพเจ้าก็ได้บวชแล้ว เพราะฉะนั้น
ท่านจงยินยอมอนุญาต เพื่อให้ข้าพเจ้าดำรงอยู่ในสมณภาพนั่นแล. ก็เมื่อ
พระเถระกล่าวอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่นั่นแหละ เจริญวิปัสสนา ยังกิเลสให้
สิ้นไปตามลำดับแห่งมรรค ได้เป็นผู้มีอภิญญา 6 แล้ว. สมดังคาถาประพันธ์
ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เรานั่งอยู่ในปราสาทอันประเสริฐ ได้เห็นพระ-
ชินเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี งามดังไม้รกฟ้า ผู้
เป็นสัพพัญญู เป็นผู้นำอันอุดม พระองค์ผู้นำของโลก

เสด็จดำเนินไปในที่ไม่ไกลปราสาท รัศมีของพระองค์
สว่างไสว ในเมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว เราประคอง
น้ำหอม ประพรม (บูชา) พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น เราทำกาลกิริยา ณ ที่นั้น ใน
กัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ประพรมน้ำหอมใด ด้วย
กรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา
ในกัปที่ 31 แต่ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
จอมกษัตริย์ พระนามว่า สุคนธ์ สมบูรณ์ด้วยแก้ว
7 ประการ มีพลมาก. เราทำลายกิเลสทั้งหลายแล้ว
ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.

ก็พระเถระเป็นผู้ได้อภิญญา 6 แล้ว อำลามารดา เมื่อมารดาจ้อง
มองดูอยู่นั่นแล เหาะหลีกไปทางอากาศ. แม้เลยเวลาที่ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว
ท่านก็ได้กล่าวแต่คาถานั้นอย่างเดียวในระหว่าง ๆ.
บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยการชี้ (บท) นี้ว่า ปพฺพชิโตมฺหิ แม้คาถานี้
ก็จัดว่าเป็นคาถาพยากรณ์พระอรหัตผลของพระเถระ เพราะแสดงถึงความที่
แห่งมลทินมีราคะเป็นต้น ในสันดานของตน อันพระเถระละเว้นทั่วแล้ว.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ผู้ที่ไล่มลทินของตนได้ ฉะนั้น
จึงเรียกว่า บรรพชิต ดังนี้.
จบอรรถกถาอาตุมเถรคาถา

3. มาณวเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมาณวเถระ


[210] ได้ยินว่า พระมาณวเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ฉันเห็นคนแก่ คนเจ็บหนัก และคนตายตาม
อายุขัยแล้ว จึงละได้ซึ่งกามารมย์ อันเป็นของรื่นรมย์
ใจ แล้วออกบวชเป็นบรรพชิต.

อรรถกถามาณวเถรคาถา


คาถาของท่านพระมาณวเถระ เริ่มต้นว่า ชิณฺณญฺจ ทิสฺวา ทุกฺขิ-
ตญฺจ พฺยาธิตํ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถรนี้ ก็มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
เข้าไปสั่งสมกุศล อันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ไว้ในภพนั้น ๆ เกิดใน
ตระกูลพราหมณ์ ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้ เป็นหมอดูลักษณะ ตรวจดู
ลักษณะ แห่งพระอภิชาติของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี
ประกาศบุรพนิมิต แล้วพยากรณ์ว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าโดยส่วนเดียว
ดังนี้ แล้วชมเชยโดยนัยต่าง ๆ ถวายบังคมแล้ว การทำประทักษิณแล้วหลีกไป.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวอยู่แต่ในสุคติอย่างเดียว เกิดในเรือน
แห่งพราหมณ์มหาศาล ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้ เจริญเติบโต
อยู่แต่ภายในเรือนอย่างเดียว จนถึง 7 ปี ในปีที่ 7 พวกบริวารนำพาไป