เมนู


อรรถกถาปักขเถรคาถา


คาถาของท่านพระปักขเถระ เริ่มต้นว่า จุตา ปตนฺติ. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้ท่านก็มีอธิการอันกระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ กระทำ
บุญไว้ในภพนั้น ๆ ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้ (เกิด) เป็นยักษ์ผู้เสนาบดี
เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี มีใจเลื่อมใส ได้ทำการบูชา
ด้วยผ้าทิพย์. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เกิดในตระกูลแห่งเจ้าศากยะ ในเทวทหนิคม ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนาม
ว่า สัมโมทกุมาร.
ในเวลาที่ท่านยังเล็ก เท้าเดินไม่ได้ด้วยโรคลม (อัมพาต) เขาเที่ยว
ไปเหมือนคนง่อย ตลอดเวลาเล็กน้อย. ด้วยเหตุนั้นเขาจึงมีนามใหม่ว่า ปักขะ.
ภายหลังในเวลาที่หายโรค คนทั้งหลายก็ยังเรียกชื่อเขาอย่างนั้นเหมือนกัน.
เขาเห็นปาฏิหาริย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในสมาคมแห่งพระญาติ ได้ศรัทธา
บรรพชาแล้ว กระทำกิจเบื้องต้นเสร็จแล้ว เรียนกรรมฐานอยู่ในป่า.
ครั้นวันหนึ่ง ท่านเดินทางเข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต นั่งอยู่ที่โคนไม้
แห่งหนึ่งในระหว่างทาง. ก็ในสมัยนั้น เหยี่ยวตัวหนึ่ง คาบชิ้นเนื้อบินไปทาง
อากาศ, เหยี่ยวเป็นอันมากบินตามเหยี่ยวตัวนั้น รุมแย่งจนเนื้อตกลงมา.
เหยี่ยวตัวหนึ่ง คาบเอาชิ้นเนื้อที่ตกบินไป. เหยี่ยวตัวอื่นชิงเอาชิ้นเนื้อนั้น
คาบต่อไป พระเถระเห็นดังนั้น ก็คิดว่า ชิ้นเนื้อนี้ฉันใด ขึ้นชื่อว่า กาม
ทั้งหลายก็ฉันนั้น ทั่วไปแก่คนหมู่มาก มีทุกข์มาก คับแค้นมาก ดังนี้ แล้ว
พิจารณาเห็นโทษในกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในการออกบวช เริ่มตั้งวิปัสสนา

มนสิการอยู่โดยนัยมีอาทิว่า อนิจจัง เที่ยวไปบิณฑบาต กระทำภัตกิจเสร็จ
แล้ว นั่งในที่พักกลางวัน เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดังคาถา
ประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ ในอปทานว่า
ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า
วิปัสสี เชษฐบุรุษของโลก เป็นพระผู้องอาจ กับภิกษุ
สงฆ์ 68,000 เสด็จเข้าไปสู่พันธุมวิหาร เราออกจาก
นครแล้ว ได้ไปที่ทีปเจดีย์ ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้
ปราศจากธุลี สมควรรับเครื่องบูชา พวกยักษ์ในสำนัก
ของเรา มีประมาณ 84,000 บำรุงเราโดยเคารพ
ดังหมู่เทวดาชาวไตรทศ บำรุงพระอินทร์ โดยเคารพ
ฉะนั้น เวลานั้น เราถือผ้าทิพย์ออกจากที่อยู่ไปอภิวาท
ด้วยเศียรเกล้า และได้ถวายผ้าทิพย์นั้น แด่พระพุทธ-
เจ้า โอพระพุทธเจ้า โอพระธรรม โอความถึงพร้อม
แห่งพระศาสดาหนอ ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า
แผ่นดินนี้ หวั่นไหว เราเห็นความอัศจรรย์ อันไม่
เคยมี ชวนให้ขนพองสยองเกล้า นั้นแล้ว จึงยังจิตให้
เลื่อมใส ในพระพุทธเจ้า ผู้เป็นจอมมนุษย์ ผู้คงที่
ครั้งนั้น เรายังจิตให้เลื่อมใส และถวายผ้าทิพย์ แด่
พระศาสดาแล้ว พร้อมทั้งอำมาตย์ และบริวารชน
ยอมนับถือพระพุทธเจ้าเป็นสมณะ ในกัปที่ 91 แต่
ภัทรกัปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรม
นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ใน

กัปที่ 15 แต่ภัทรกัปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ 16
พระองค์ มีพระนามว่า วาหนะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว
7 ประการ มีพลมาก เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ
คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระอรหัตผล ที่พระเถระ ผู้บรรลุพระอรหัต กระทำสังเวควัตถุ
ใดแล ให้เป็นขอสับ แล้วเจริญวิปัสสนา บรรลุแล้ว พระเถระเมื่อพยากรณ์
พระอรหัตผล โดยมุขคือการประกาศสังเวควัตถุนั้น จึงได้กล่าวคาถาว่า
เหยี่ยวทั้งหลายโฉบลง ชิ้นเนื้อหลุดจากปากของ
เหยี่ยวตัวหนึ่ง ตกลงพื้นดิน และเหยี่ยวอีกพวกหนึ่ง
มาคาบ เอาไว้อีก ฉันใด สัตว์ทั้งหลายผู้หมุนเวียนไป
ในสงสาร ก็ฉันนั้น เคลื่อนจากกุศลธรรมแล้ว ไป
ตกในนรกเป็นต้น ความสุขย่อมติดตามเราผู้สำเร็จกิจ
แล้วผู้ยินดีต่อนิพพาน ด้วยความสุข ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จุตา แปลว่า หลุดแล้ว. บทว่า ปตนฺติ
แปลว่า โฉบลง. บทว่า ปติตา ความว่า ชิ้นเนื้อตกลงที่พื้นดิน ด้วยสามารถ
แห่งการพลัดหล่น หรือตกลง ด้วยสามารถแห่งการหลุดร่วงไปในอากาศ.
บทว่า คิทฺธา ความว่า ถึงความยินดี. บทว่า ปุนราคตา ความว่า เข้า
มาคาบไปอีก. พึงประกอบ จ ศัพท์ควบไปด้วยทุก ๆ บท มีคำอธิบายว่า
เหยี่ยวทั้งหลายในที่นี้ โฉบลงและร่อนลง และชิ้นเนื้อก็หลุดจากปากของเหยี่ยว
นอกนี้ ก็ชิ้นเนื้อที่หลุดแล้ว ก็ตกลงไปที่พื้นดิน เหยี่ยวทั้งหลาย อยากได้ชิ้น
เนื้อ (ถึงความอยาก) เหยี่ยวทั้งหมดนั่นแหละ จึงมารุมคาบเอาไปอีก. ก็
เหยี่ยวเหล่านี้ มีอุปมาฉันใด เหล่าสัตว์ที่หมุนไปในสงสาร ก็ฉันนั้น สัตว์

เหล่าใด เคลื่อนจากธรรมที่เป็นกุศล สัตว์เหล่านั้น ย่อมตกลงไปในอบายมี
นรกเป็นต้น ก็เหล่าสัตว์ที่ตกลงไปแล้วอย่างนี้ ผู้ที่ตั้งอยู่ในสัมปัตติภพ ถึงความ
ยินดีและย้อนกลับมาอีก ด้วยสามารถแห่งความใคร่ในภพ ทั้งในกามภพ
รูปภพ และอรูปภพ โดยยังข้องอยู่ ในกามสุขัลลิกานุโยค ในภพนั้น ๆ
ชื่อว่า กลับมาสู่ทุกข์ ที่หมายรู้กันว่าภพนั้น ๆ อีก ด้วยกรรมที่ทำให้ถึงภพ
นั้น ๆ เพราะยังไม่หลุดพ้นจากภพไปได้. สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ เป็นอย่างนี้.
ส่วนเราเอง กระทำกิจมีปริญญากิจเป็นต้นแล้ว แม้กิจทั้ง 16 อย่าง เราก็
ทำสำเร็จแล้ว บัดนี้ไม่มีกิจนั้นที่เราจะต้องทำอีก.
พระนิพพาน อันเป็นแดนที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสลัดสังขตธรรมได้
ทั้งหมด ที่น่ายินดี น่าอภิรมย์ น่ารื่นรมย์ เรายินดีแล้ว อภิรมย์แล้ว
รื่นรมย์แล้ว. ก็ด้วยบทว่า รตํ รมฺมํ นั้น พึงทราบอธิบายว่า ความสุข
ย่อมติดตามเราผู้สำเร็จกิจแล้ว โดยสะดวก คือพระนิพพาน อันเป็นสุขโดย
ส่วนเดียว ติดตามมา คือ เข้าถึงโดยเป็นสุขเกิดแต่ผลสมาบัติ อีกอย่างหนึ่ง
ได้แก่ ผลสุขและนิพพานสุข อันติดตามมา ด้วยสุขเกิดแต่วิปัสสนา และสุข
เกิดแต่มรรค โดยสะดวก.
จบอรรถกถาปักขเถรคาถา

4. วิมลโกณฑัญญเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวิมลโกณฑัญญเถระ


[201] ได้ยินว่า พระวิมลโกณฑัญญเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า
ภิกษุผู้เป็นบุตรของนางอัมพปาลี ที่หมู่ชนเรียก
กันว่า ทุมะ เกิดเพราะพระเจ้าพิมพิสาร ท่านเป็น
บุตรของท่านผู้ทรงไว้ซึ่งธงคือพระเจ้าแผ่นดิน ทำลาย
ธงใหญ่ คือกิเลสได้ด้วยปัญญาแล้ว.

อรรถกถาวิมลโกณฑัญญเถรคาถา


คาถาของท่านพระวิมลโกณฑัญญเถระ เริ่มต้นว่า ทุมวฺหยาย
อุปปนฺโน.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในตระกูลที่
สมบูรณ์ด้วยสมบัติ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี
ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้ ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว วันหนึ่ง เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า วิปัสสี อันบริษัทใหญ่ห้อมล้อมแล้ว ทรงแสดงธรรมอยู่
มีใจเลื่อมใส แล้วบูชาด้วยดอกไม้ทอง 4 ดอก. เพื่อจะเจริญศรัทธาปสาทะ
ของเขา พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้มีรูปอย่างรัศมี
ทองคำ ปกคลุมทั่วประเทศนั้นทั้งสิ้น. เขาเห็น พุทธลักษณะอันสำเร็จด้วย