เมนู

2. วัชชีปุตตกเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวัชชีปุตตกเถระ


[199] ได้ยินว่า พระวัชชีปุตตกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว เหมือนท่อนไม้ที่เขาทิ้งไว้
ในป่า ชนเป็นอันมากพากันรักใคร่เรา เหมือนสัตว์-
นรก พากันรักใคร่บุคคลผู้ไปสู่สวรรค์ฉะนั้น.

อรรถกถาวัชชีปุตตกเถรคาถา


คาถาของท่านพระวัชชีปุตตกเถระ เริ่มต้นว่า เอกกา มยํ อรญฺเญ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ก็พระเถระนี้ เป็นผู้มีอธิการอันเคยกระทำไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ เกิดแล้วในเรือนมี
ตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี ในกัปที่
91 แต่ภัทรกัปนี้ ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว วันหนึ่ง เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า วิปัสสี เป็นผู้มีใจเลื่อมใสแล้ว ได้ทำการบูชาด้วยเกสรดอก-
กระถินพิมาน. ท่านท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยบุญกรรมนั้น
เห็นพุทธานุภาพ ในคราวเสด็จไปพระนครไพศาลี ในพุทธุปบาทกาลนี้ มี
ศรัทธา บวชแล้ว กระทำบุรพกิจเสร็จแล้ว เรียนกัมมัฏฐานอยู่ในไพรสณฑ์
แห่งหนึ่ง ไม่ไกลพระนครไพศาลี.

สมัยนั้น ได้มีมหรสพในพระนครไพศาลี การฟ้อนรำ ขับร้อง
ประโคมดนตรี ได้มีไปทั่วทุกแห่งหน. มหาชนพากันรื่นเริงยินดี ชื่นชม
ความสมบูรณ์ของมหรสพ ภิกษุนั้นฟังเสียงนั้นแล้ว ดื่มด่ำตามไปโดยไม่แยบ-
คาย ขาดวิเวก สละกรรมฐาน เมื่อจะประกาศความไม่ยินดียิ่งของตน จึงกล่าว
คาถาว่า
เราอยู่ในป่าแต่เพียงผู้เดียว เหมือนท่อนไม้ที่เขา
ทอดทิ้งไว้ในป่า ใครเล่าหนอจะเลว ไปยิ่งกว่าเราใน
ยามราตรีเช่นนี้ ดังนี้.

เทวดาผู้สิงสถิตอยู่ในไพรสณฑ์ ฟังคำเป็นคาถานั้นแล้ว จะอนุเคราะห์
ภิกษุนั้น เมื่อจะแสดงความนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ ถ้าท่านถูกพวกที่อยู่ในป่า
เบียดเบียนบีบคั้น จึงกล่าว ส่วนผู้มีปรีชา ปรารถนาวิเวก ย่อมนับถือท่าน
เป็นอันมากทีเดียว ดังนี้ จึงกล่าวคาถาว่า
ท่านอยู่ในป่า แต่ผู้เดียว เหมือนท่อนไม้ที่เขา
ทอดทิ้งไว้ในป่า คนเป็นอันมาก ย่อมกระหยิ่ม ยินดี
ต่อท่าน เหมือนเหล่าสัตว์นรก ชื่นชมยินดีต่อผู้ที่ไปสู่
สวรรค์ ฉะนั้น ดังนี้.

แล้วขู่สำทับให้เธอสลดใจว่า ดูก่อนภิกษุ ก็เธอบวชในศาสนาของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนำสัตว์ออกไปจากทุกข์ จักตรึกถึงวิตก ที่ไม่นำสัตว์
ออกไปจากทุกข์ อย่างไรเล่า ?
ภิกษุนั้นอันเทวดานั้นให้สลดใจแล้วอย่างนี้ ได้เป็นเหมือนม้าอาชาไนย
ตัวเจริญ ที่ถูกนายสารถีหวดแล้วด้วยแส้ฉะนั้น หยั่งลงสู่แนวแห่งวิปัสสนา
ขวนขวายวิปัสสนาบรรลุพระอรหัตแล้ว ต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถา
ประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า

เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้า มีพระฉวีวรรณดัง
ทองคำ มีพระรัศมีเปล่งปลั่ง ดุจพระอาทิตย์ ยังทิศ
ทั้งปวงให้สว่างไสว ดังพระจันทร์วันเพ็ญ อันพระสาวก
ทั้งหลายแวดล้อม ดุจแผ่นดินอันแวดล้อมด้วยสาคร
จึงถือเอาดอกกระถินพิมานไปบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า วิปัสสี ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้
เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกกระถินพิมานได้ ด้วย
กรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา
ในกัปที่ 45 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
จอมกษัตริย์ พระนามว่า เรณุ สมบูรณ์ด้วยแก้ว
5 ประการ มีพลมาก เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ
คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระวัชชีปุตตกเถระ ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว คิดว่า คาถานี้
เป็นขอสับ สำหรับบรรลุพระอรหัตของเรา ดังนี้แล้ว หวนระลึกถึงนัยอันเทวดา
กล่าวแล้วแก่ตน ได้กล่าวคาถาว่า
เราอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว เหมือนท่อนไม้ที่เขาทอด-
ทิ้งไว้ในป่า คนเป็นอันมากกระหยิ่มต่อเรา เหมือน
สัตว์นรกกระหยิ่มยินดีต่อผู้ไปสวรรค์ ฉะนั้น ดังนี้.

คาถานั้น มีใจความดังนี้ แม้ถึงเราจะเป็นผู้ ๆ เดียววังเวง ไม่มีเพื่อน
อยู่ในป่า อุปมาเหมือนท่อนไม้ที่เขาทอดทิ้งไว้ในป่า เพราะไม่มีคนเหลียวแล
แต่คนเป็นอันมากย่อมกระหยิ่มต่อเราผู้อยู่อย่างนี้ คือยังมีกุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์
เป็นอันมาก ปรารถนาเรายิ่งนักว่า โอหนอ แม้เราทั้งหลาย พึงละเครื่อง
ผูกพันในเรือนแล้ว อยู่ในป่าเหมือนพระวัชชีปุตตกเถระ ดังนี้.

เหมือนอะไร ? เหมือนสัตว์นรกกระหยิ่มยินดีต่อผู้ไปสวรรค์ ฉะนั้น
อธิบายว่า เปรียบเหมือน สัตว์นรก ต่อสัตว์ผู้เกิดแล้วในนรก ด้วยบาปกรรม
ของตน ย่อมยินดีต่อผู้ไปสวรรค์ คือผู้เข้าถึงสวรรค์ว่า โอหนอ แม้พวกเรา
ละทุกข์ในนรกแล้ว พึงเสวยความสุขในสวรรค์ ชื่อฉันใด ข้ออุปมานี้ก็ฉันนั้น
ก็ในคาถานี้ เพราะท่านมุ่งทำประโยคเป็นพหุพจน์ แสดงความหนัก
ในตนว่า เอกกา มยํ วิหราม จึงทำประโยคเป็นเอกพจน์อีกว่า ตสฺส เม
โดยที่ความของบทนั้น หมายความอย่างเดียวกัน พึงทราบการแสดงจตุตถีวิภัตติ
ในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ โดยเพ่ง แม้บททั้งสองที่ว่า ตสฺส เม และสคฺคคามินํ
(และ) บทว่า ปิหยนฺติ. ก็บทว่า อภิปตฺเถนฺติ นั้น ข้าพเจ้ากล่าวไว้
โดยกระทำอธิบายว่า คนเป็นอันมาก ชื่อว่า ย่อมปรารถนา คุณมีการอยู่ป่า
เป็นต้น เช่นนั้น ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ตสฺส เม มีอธิบายว่า ซึ่งคุณทั้งหลายใน
สำนักของเรานั้น
จบอรรถกถาวัชชีปุตตกเถรคาถา

3. ปักขเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระปักขเถระ


[200] ได้ยินว่า พระปักขเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เหยี่ยวทั้งหลาย ย่อมโฉบลง ชิ้นเนื้อหลุดจาก
ปากของเหยี่ยวตัวหนึ่งตกลงพื้นดินและเหยี่ยวอีกพวก-
หนึ่ง มาคาบเอาไว้อีก ฉันใด สัตว์ทั้งหลายผู้หมุนเวียน
ไปในสงสาร ก็ฉันนั้น เคลื่อนจากกุศลธรรมแล้ว ไปตก
ในนรกเป็นต้น ความสุขย่อมติดตามเราผู้สำเร็จกิจแล้ว
ผู้ยินดีต่อพระนิพพาน ด้วยความสุข.