เมนู

10. สีวลีเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสีวลีเถระ


[197] ได้ยินว่า พระสีวลีเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราเข้าไปสู่กุฎีเพื่อประโยชน์อันใด เมื่อเราแสวง
หาวิชชา และวิมุตติได้ถอนขึ้นซึ่งมานานุสัย ความ-
ดำริของเราเหล่านั้นสำเร็จแล้ว.

จบวรรควรรณนาที่ 6

อรรถกถาสีวลีเถรคาถา


คาถาของท่านพระสีวลีเถระ. เริ่มต้นว่า เต เม อิชฺฌึสุ สงฺกปฺปา.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ แม้
พระเถระนี้ ก็ไปสู่พระวิหาร โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง ยืนฟังธรรมอยู่
ท้ายบริษัท เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศ
กว่าภิกษุผู้มีลาภทั้งหลาย คิดว่า ในอนาคตกาล แม้เราก็ควรเป็นผู้เช่นนี้
ดังนี้แล้ว นิมนต์พระทศพลแล้วถวายมหาทานแด่พระบรมศาสดา พร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์ตลอด 7 วัน แล้วตั้งความปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ด้วยการกระทำอธิการนี้ ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาสมบัติอย่างอื่น แต่ใน
อนาคตกาล ขอให้ข้าพระองค์พึงเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีลาภ ดุจภิกษุ
ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ในเอตทัคคะ.

พระศาสดา ทรงเห็นความปรารถนาไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์ว่า
ความปรารถนาของท่านนี้จักสำเร็จในสำนักของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า
โคตมะ ดังนี้แล้ว เสด็จหลีกไป แม้กุลบุตรนั้น ก็กระทำกุศลจนตลอดชีวิต
ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ถือปฏิสนธิในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ไม่ไกลพระนครพันธุมดี ในกาลของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี.
ในสมัยนั้น ชาวเมืองพันธุมดีนคร แข็งขันกับพระราชา ถวายทานแด่พระ-
ทศพล. วันหนึ่ง ชาวเมืองเหล่านั้นทั้งหมด ร่วมใจกันถวายทาน พูดกันว่า
อะไรหนอแล ไม่มี ในทานพิธีของพวกเรา แล้วไม่เห็นน้ำอ้อยงบและนมส้ม..
คนเหล่านั้นจึงพูดกันว่า พวกเราจักหามาจากที่ใดที่หนึ่ง แล้ววางบุรุษไว้ที่
หนทางอันผู้มาจากชนบทจะต้องผ่าน ครั้งนั้น กุลบุตรนั้น ถือเอาน้ำอ้อยงบ
และหม้อนมส้ม มาจากบ้าน คิดว่า เราจักไปเอาของบางอย่าง จึงเดินเข้าเมือง
แล้วคิดว่า เราล้างหน้าล้างมือล้างเท้าแล้วจึงจักเข้าไป มองหาที่เป็นที่ผาสุก
เห็นรังผึ้ง ที่ปราศจากตัวอ่อน ขนาดเท่างอนไถ คิดว่า ผึ้งรังนี้เกิดแก่เรา
ด้วยบุญ ดังนี้แล้ว จึงถือเอาแล้วเข้าไปยังเมือง. บุรุษที่ชาวเมืองตั้งไว้
เห็นเขาแล้ว จึงถามว่า พ่อมหาจำเริญ ท่านนำของนี้ไปให้ใคร ? เขาตอบว่า
นาย เราไม่ได้นำของนี้มาให้ใคร แต่นำมาเพื่อจะขาย. บุรุษนั้นจึงพูดว่า
พ่อมหาจำรูญ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงรับกหาปณะนี้ไป แล้วขายน้ำผึ้งและน้ำอ้อย
งบให้เรา เขาคิดว่า ของนี้มีราคาไม่มาก แต่บุรุษนี้ให้ราคามาก โดยตีราคา
หนเดียวเท่านั้น ควรเราจะลองดู . ลำดับนั้น เขาจึงพูดกับบุรุษนั้นว่า เราไม่ขาย
ด้วยราคากหาปณะเดียว. บุรุษนั้นกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น จงรับไป 2 กหาปณะ
แล้วขายเถิด. แม้สองกหาปณะก็ไม่ขาย. โดยอุบายนี้ บุรุษนั้น ขึ้นราคาไป
จนถึงหนึ่งพันกหาปณะ.

เขาคิดว่า ของนี้ไม่ควรจะมีราคามาก. ข้อนี้จงยกไว้ก่อน เราจักถาม
ถึงกิจการที่เขาต้องทำด้วยของนี้. ลำดับนั้น เขาจึงถามชายผู้นั้นว่า ของนี้มีราคา
ไม่มากแต่ท่านให้ราคามาก ท่านจะซื้อของนี้ไปทำอะไร ? ชายผู้นั้นตอบว่า
พ่อมหาจำเริญ ชาวพระนครในเมืองนี้ พนัน กับพระราชา ถวายทานแด่
พระทศพลทรงพระนามว่า วิปัสสี ไม่เห็นของสองอย่างนี้ ในทานพิธีจึงแสวง
หา ถ้าไม่ได้ของสองสิ่งนี้ไป ชาวเมืองจะแพ้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้า จึงซื้อ
ให้ราคาถึงพันกหาปณะ. เขาถามว่า ก็ทานนี้ควรแก่ชาวเมืองเท่านั้นไม่สมควร
แก่คนอื่นหรือ ? บุรุษนั้นตอบว่า ทานนี้ใคร ๆ จะถวายก็ได้ไม่มีข้อห้าม.
เขาถามว่า ในการถวายทานของชาวเมือง วันหนึ่ง ๆ มีคนให้ทรัพย์ตั้งพัน
กหาปณะ บ้างหรือไม่ ? ไม่มีเลยสหาย. ก็ท่านรู้ว่า ของสองอย่างนี้ มีราคา
ถึงพันกหาปณะมิใช่หรือ ? ใช่แล้ว ข้าพเจ้ารู้. ถ้าเช่นนั้น ท่านจงไป จง
บอกแก่ชาวเมืองทั้งหลายว่า บุรุษคนหนึ่งไม่ยอมขายของสองอย่างนี้ โดยราคา
ประสงค์จะถวายด้วยมือของตนเท่านั้น พวกท่านก็จะหมดวิตกกังวล เพราะเหตุ
แห่งของสองอย่างนี้ ส่วนท่านจงเป็นประจักษ์พยาน ข้อที่เราเป็นหัวหน้าใน
ทานพิธีนี้. เขาถือ ปัญจกฏุฐกะ (เครื่องเผ็ดทั้ง 5) ด้วยเงินมาสกที่พกติด
มาเพื่อเป็นเสบียงเดินทาง แล้วบดจนละเอียด ใส่น้ำส้มคั้นรวงผึ้งลงไปในน้ำ
ส้มนั้น ผสมกับปัญจกฏุกะที่บดละเอียด ใส่ไว้ในบัวใบหนึ่ง บรรจงจัดใบบัว
นั้น ถือไปแล้วนั่งในที่ไม่ไกลพระทศพล เมื่อมหาชนนำสักการะมา ก็คอยดู
วาระที่ถึงตน ไม่ไกลกัน ได้โอกาส ก็เข้าไปใกล้พระศาสดา กราบทูลว่า นี้
เป็นทุคตบรรณาการบังเกิดแล้ว ขอพระองค์ทรงอาศัยความอนุเคราะห์ จง
รับทุคตบรรณาการนี้ของข้าพระองค์ด้วยเถิด. พระศาสดา ทรงอาศัยความ
อนุเคราะห์เขา ทรงรับบรรณาการนั้น ด้วยบาตรศิลา ที่ท้าวจตุมหาราชถวายไว้
แล้ว ทรงอธิษฐานไม่ให้ไทยธรรมที่ถวายแก่ภิกษุ 6,800,000 รูป หมดสิ้นไป.

กุลบุตรนั้น ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้การทำภัตกิจเสร็จแล้ว
ยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า สักการะที่
ชาวเมืองพันธุมดี นำมาถวายพระองค์ ข้าพระองค์ ประสบแล้วในวันนี้ ด้วย
ผลแห่งกรรมนี้ ขอข้าพระองค์ พึงเป็นผู้ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความเป็นผู้มี
ลาภ ในภพที่เกิดแล้ว ๆ ดังนี้. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกุลบุตร ความ
ปรารถนาของท่านจงสำเร็จอย่างนั้น ดังนี้แล้ว ทรงกระทำภัตตานุโมทนาแก่เขา
และชาวเมืองแล้วเสด็จหลีกไป.
แม้กุลบุตรนั้น กระทำกุศลจนตลอดชีวิตท่องเที่ยวไปในเทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย ถือปฏิสนธิในครรภ์ของราชธิดา นามว่า สุปปวาสา ใน
พุทธุปบาทกาลนี้. นับแต่วันที่เขาถือปฏิสนธิ มีคนถือเอาเครื่องบรรณาการมา
ให้นางสุปปวาสา วันละร้อยเล่มเกวียน ทั้งในเวลาเย็นและในเวลาเช้า. ครั้ง
นั้น เพื่อจะทดลองบุญนั้น คนทั้งหลาย จึงให้นางเอามือจับกระเช้าพืช.
พืชแต่ละเมล็ด ผลิตผลออกมาเป็นพืชดังร้อยกำ พันกำ พืชที่หว่าน
ลงไปในที่นาแต่ละกรีส ก็เกิดผลประมาณ 50 เล่มเกวียนบ้าง 60 เล่มเกวียน
บ้าง. แม้ในเวลาขนข้าวใส่ยุ้ง คนทั้งหลาย ก็ให้นางเอามือจับประตูยุ้ง. ด้วย
บุญของราชธิดา เมื่อมีคนมารับของไป ที่ซึ่งคนถือเอาของไปแล้ว ๆ กลับ
เต็มเหมือนเดิม. เมื่อคนทั้งหลายพูดว่า บุญของราชธิดา แล้วให้ของแก่ใคร ๆ
จากภาชนภัตรที่เต็มบริบูรณ์ ภัตรย่อมไม่สิ้นไป จนกว่าจะยกของพ้นจากที่ตั้ง
เพราะทารกยังอยู่ในท้องนั่นแหละ เวลาล่วงไปถึง 7 ปี.
ก็เมื่อครรภ์แก่รอบแล้ว นางเสวยทุกข์หนักตลอด 7 วัน. นางเรียก
สามีมาพูดว่า ดิฉัน ยังมีชีวิตจักถวายทานก่อนแต่จะตาย แล้วส่งสามีไปยังสำนัก
พระศาสดา ว่า ท่านจงไป จงกราบทูลความเป็นไปนี้ แด่พระศาสดา จงทูล
เชิญพระศาสดา ถ้าพระศาสดาตรัสคำใด จงกำหนดคำนั้นให้ดี แล้วรีบมาบอก
แก่ดิฉัน. สามีไปกราบทูลข่าวของนาง แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.

พระศาสดาตรัสว่า นางสุปปวาสา ธิดาของเจ้าโกลิยะ จงมีความสุข
หาโรคมิได้ จงประสูติโอรส ผู้ไม่มีโรค. พระราชาสดับดังนั้นแล้ว ถวาย
อภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง ของพระองค์. เด็ก
คลอดจากครรภ์ของนางสุปปวาสา ง่ายเหมือนเทน้ำออกจากธรมกรก (ที่กรอง-
น้ำ) ก่อนหน้าพระราชาเสด็จมาถึงหน่อยเดียวเท่านั้น ผู้คนที่นั่งแวดล้อม
กำลังมีน้ำตานองหน้า ก็เริ่มหัวเราะได้ มหาชนพากันยินดีร่าเริง ได้พากันไป
ส่งข่าวพระราชา.
พระราชา ทอดพระเนตรเห็นการมาของคนเหล่านั้น ทรงพระดำริว่า
ชะรอยถ้อยคำที่พระทศพลตรัสไว้ จักเป็นผลสำเร็จ. พระองค์รีบเสด็จมา แจ้ง
ข่าวของพระศาสดา ต่อราชธิดา. ราชธิดากราบทูลว่า ชีวิตภัต ที่พระองค์
จัดนิมนต์ไว้นั่นแหละจักเป็นมงคลภัต ขอพระองค์จงไปนิมนต์พระทศพล
(ให้เสวย) ตลอด 7 วัน. พระราชาทรงกระทำอย่างนั้น. คนทั้งหลายพา
กันบำเพ็ญมหาทาน แก่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขตลอด 7 วัน
ทารกผู้ยังจิตที่เร่าร้อนของหมู่ญาติทั้งปวงให้ดับลงได้ ประสูติแล้ว เพราะ
ฉะนั้น คนทั้งหลายจึงขนานทารกว่า สีวลีทารก ดังนี้แล. เพราะอยู่ใน
ท้องมารดามานานถึง 7 ปี ทารกนั้น จึงแข็งแรง (อดทนต่องานทุกชนิด).
พระธรรมเสนาบดี สารีบุตร ได้ทำการสนทนาปราศัยกับเขา ในวันที่ 7
แม้พระบรมศาสดา ก็ได้ทรงภาษิตพระคาถาไว้ในธรรมบทว่า
เรากล่าวผู้ล่วงทางลื่น ทางไปได้ยาก สงสาร
และโมหะนี้เสียได้ เป็นผู้ข้ามแล้ว ถึงฝั่ง เพ่ง (ฌาน)
ไม่หวั่นไหว ไม่มีความเคลือบแคลงสงสัย ดับแล้ว
ด้วยไม่ยึดถือ ว่าเป็นพราหมณ์ ดังนี้.

ลำดับนั้น พระเถระกล่าว (ชวน) เขาอย่างนี้ว่า ก็การที่เธอเสวย
กองทุกข์เห็นปานนี้ แล้วบวช ไม่สมควรหรือ ? ทารกตอบว่า (ถ้า) ได้รับ
อนุญาต ก็บวชท่านเจ้าข้า. พระนางสุปปวาสา เห็นทารกพูดกับพระเถระ
แล้วคิดในใจว่า บุตรของเรา พูดกับท่านพระธรรมเสนาบดี ว่าอย่างไรหนอ
แล จึงเข้าไปหาพระเถระแล้วเรียนถามว่า ท่านเจ้าข้า บุตรของดิฉันพูดอะไร
กับท่าน. พระเถระตอบว่า บุตรของท่านกล่าวถึงทุกข์ที่อยู่ในครรภ์ อันตน
เสวยแล้ว พูดว่า ถ้าท่านอนุญาตก็จักบวช. นางตอบว่า ท่านเจ้าข้า ดีแล้ว
ขอท่านจงให้เขาบวชเถิด. พระเถระนำสีวลีกุมารไปวิหารเมื่อบอกตจปัญจก-
กรรมฐานแล้ว ให้บวช กล่าวสอนว่า ดูก่อนสีวลี การให้โอวาทอย่างอื่น
ไม่มีแก่เธอ เธอจงพิจารณา ถึงทุกข์ที่เธอเสวยมาตลอด 7 ปี เท่านั้น
สีวลีสามเณร กล่าวว่า ท่านขอรับ ภาระของท่าน คือการให้ข้าพเจ้าบวช
ส่วนกิจกรรมอันใด ที่ข้าพเจ้าสามารถที่จะทำได้ ข้าพเจ้าจักรู้กิจกรรมนั้นเอง.
ก็สีวลีสามเณรตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ในขณะที่ขมวดผมปมแรก ถูกตัดออก
นั่นเทียว ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล ในขณะที่เกลียวผมปมที่ 2 ถูกตัดออก
ตั้งอยู่ในอนาคามิผล ในขณะที่เกลียวผมปมที่ 3 ถูกนำออก ส่วนการปลงผม
สำเร็จ และการกระทำให้แจ้งพระอรหัต ได้มีไม่ก่อนไม่หลังกัน. จำเดิมแต่
วันที่สีวลีสามเณรบรรลุพระอรหัต ปัจจัย 4 ย่อมเกิดแก่ภิกษุสงฆ์ เพียง
พอแก่ความต้องการ. ในข้อนี้ มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างนี้ ในเวลาต่อมา พระ
บรมศาสดาได้เสด็จไปยังพระนครสาวัตถี. พระสีวลีเถระถวายอภิวาทพระบรม
ศาสดาแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักทดลองบุญของ
ข้าพระองค์ ขอพระองค์จงมอบภิกษุ 500 รูปแก่ข้าพระองค์ พระศาสดา
ตรัสสั่งว่า จงรับไปเถิด สีวลี.

ท่านพาภิกษุ 500 รูป เดินทางบ่ายหน้าไปสู่หิมวันตประเทศ เดิน
ทางผ่านดง เทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นไทร ที่ท่านเห็นเป็นครั้งแรก ได้ถวายทาน
ตลอด 7 วัน. เทวดาทั้งหลายได้ถวายทานทุก ๆ 7 วัน ในสถานที่ทั่ว ๆ
ไป ที่ท่านเห็นต่างกรรม ต่างวาระ กันดังนี้ คือ
ท่านเห็นต้นไทรเป็นครั้งแรก เห็นภูเขาชื่อว่า
ปัณฑวะเป็นครั้งที่ 2 เห็นแม่น้ำอจิรวดี เป็นครั้งที่ 3
เห็นแม่น้ำวรสาครเป็นครั้งที่ 4 เห็นภูเขาหิมวันต์เป็น
ครั้งที่ 5 ถึงป่าฉัททันต์ เป็นครั้งที่ 6 ถึงภูเขาคันธ-
มาทน์เป็นครั้งที่ 7 และพบพระเรวตะ เป็นครั้งที่ 8.

ส่วนเทวดาผู้พระราชาทรงพระนามว่า นาคทัตตะ สถิตอยู่ ณ ภูเขา
คันธมาทน์ ได้ถวายทานในวันทั้ง 7 (คือ) ถวายขีรบิณฑบาต ในวันหนึ่ง
ถวายสัปปิบิณฑบาตในวันหนึ่ง (สลับกันไป). ภิกษุสงฆ์ถามว่า แม่โคที่จะ
รีดนม ของเทวดาผู้พระราชานี้ก็ไม่ปรากฏ การกวนนมส้มก็ไม่ปรากฏ ดูก่อน
เทวดาผู้พระราชา ของนี้เกิดขึ้นแก่ท่านได้อย่างไร ? ท้าวเทวราชตอบว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นี้เป็นผลแห่งการถวายสลากภัตรน้ำนมแด่พระทศพล ทรง
พระนามว่า กัสสปะ. ในกาลต่อมา พระศาสดาทรงกระทำการต้อนรับ ของ
พระขทิรวนิยเรวตเถระให้เป็นอัตถุปบัติ (เหตุเกิดแห่งเรื่อง) ทรงแต่งตั้ง
พระสีวลีเถระไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศ ในบรรดาภิกษุผู้เลิศด้วยลาภ และ
เลิศด้วยยศทั้งหลาย ในศาสนาของพระองค์.

ส่วนอาจารย์บางพวก กล่าวถึงการบรรลุพระอรหัตของพระเถระนี้
ผู้บรรลุถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภ เลิศด้วยศอย่างนี้ไว้ดังนี้ว่า เมื่อพระธรรม
เสนาบดีสารีบุตร ให้โอวาทโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง เมื่อสีวลีกุมาร
กล่าวว่า กระผมจักรู้กิจกรรมที่กระผมสามารถจักกระทำได้ (ด้วยตนเอง)
ดังนี้แล้ว บรรพชาเรียนวิปัสสนากรรมฐาน เห็นกุฏีหลังหนึ่งว่าง (สงบสงัด)
จึงเข้าไปสู่กุฏินั้นในวันนั้นแหละ ระลึกถึงทุกข์ที่ตนเสวยแล้ว ในท้องมารดา
ตลอด 7 ปี แล้วพิจารณาทุกข์นั้น ในอดีตและอนาคต โดยทำนองนั้นแหละ
อยู่ ภพทั้ง 3 ก็ปรากฏว่า เป็นเสมือนไฟติดทั่วแล้ว. สีวลีสามเณรหยั่งลงสู่
วิปัสสนาวิถี เพราะญาณถึงความแก่รอบ ทำอาสวะแม้ทั้งปวงให้สิ้นไป ตาม
ลำดับมรรค บรรลุพระอรหัตแล้ว ในขณะนั้นเอง. การบรรลุพระอรหัต
ของพระเถระนั้นแล ท่านประกาศ (ระบุไว้) โดยสภาพแม้ทั้งสอง ส่วน
พระเถระก็เป็นผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ได้อภิญญา 6. สมดังคาถาประพันธ์
ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
ในกาลนั้น เราเป็นท้าวเทวราช มีนามว่า วรุณะ
พรั่งพร้อมด้วยยาน พลทหารและพาหนะ บำรุงพระ-
สัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระโลกนาถ ทรงพระนามว่า
อรรถทัสสี ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ เสด็จนิพพานแล้ว เราได้
นำเอาดนตรีทั้งปวงไปประโคมไม้โพธิ์อันอุดม เรา
ประกอบด้วยการประโคม การฟ้อนรำ และกังสดาล
ทุกอย่าง บำรุงไม้โพธิ์พฤกษ์อันอุดม ดังบำรุงพระ

สัมมาสัมพุทธเจ้า เฉพาะพระพักตร์ ครั้นบำรุง
โพธิพฤกษ์ อันงอกขึ้นที่ดิน ดื่มรสด้วยรากนั้นแล้ว
นั่งคู้บัลลังก์ แล้วทำกาลกิริยา ณ ที่นั่นเอง เราปรารภ
ในกรรมของตน เลื่อมใสในโพธพฤกษ์อันอุดม ได้
อุบัติยังชั้นนิมมานรดี ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น ดนตรี
หกหมื่นแวดล้อมเราทุกเมื่อ เป็นรูปในภพน้อยภพใหญ่
ทั้งในมนุษย์และเทวดา ไฟ 3 กองของเราดับแล้ว
ภพทั้งปวงเราถอนขึ้นได้แล้ว เราทรงกายสุดท้ายใน
ศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกัปที่ 500 แต่
ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์ 34
พระองค์ มีพระนามว่า สุพาหุ สมบูรณ์ด้วยแก้ว
7 ประการ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของ
พระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระสีวลีเถระ ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อเปล่งอุทาน ด้วย
กำลังแห่งปีติ ได้กล่าวคาถาว่า
เราเข้าไปสู่กุฏิ เพื่อประโยชน์อันใด เมื่อเรา
แสวงหาวิชชาและวิมุตติ ได้ถอนขึ้นซึ่งมานุสัย ความ
ดำริของเราเหล่านั้น สำเร็จแล้ว ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เต เม อิชฺฌึสุ สงฺกปฺปา ยทตฺโถ ปาวิสึ
กุฏึ วิชฺชาวิมุตฺตึ ปจฺเจสฺสํ
ความว่า ความดำริในการออกจากกามเป็นต้น
ที่กระทำการถอนขึ้น ซึ่งความดำริในกามเป็นต้น ในกาลก่อนเหล่าใด อันเรา
ปรารถนายิ่งนักว่า เมื่อไรหนอแล เราจักเข้าไปสงบ ตทายตนะ (พระนิพพาน)
ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายเข้าถึงแล้วในปัจจุบัน คือความดำริที่มุ่งวิมุตติ ที่หมายรู้

กันว่าเป็นความประสงค์เพื่อความหลุดพ้น ได้แก่มโนรถ เราไม่ประมาทเนื่องๆ
เข้าไปสู่กุฎี คือ สุญญาคาร เพื่อต้องการสิ่งใด คือ เพื่อประโยชน์อันใด
คือ เพื่อยังประโยชน์อันใดให้สำเร็จ ได้แก่เพื่อเห็นแจ้ง มุ่งแสวงหาวิชชา 3 และ
ผลวิมุตติ ความดำริเหล่านั้นสำเร็จแล้วแก่เรา คือความดำริเหล่านั้นสำเร็จแล้ว
คือสมบูรณ์สงค์เราแล้ว ทุกประการในบัดนี้ อธิบายว่า เป็นผู้มีความดำริที่เป็น
กุศลสำเร็จแล้ว คือมีมโนรถบริบูรณ์แล้ว เพื่อจะแสดงถึงความสำเร็จ แห่ง
ความดำริเหล่านั้น ท่านจึงกล่าวบทว่า มานานุสยมฺชฺชหํ (เราได้ถอนขึ้น
ซึ่งมานานุสัย) ดังนี้. ประกอบความว่า เพราะเหตุที่เราถอนขึ้น คือละ ได้แก่
ตัดขาดซึ่งมานานุสัย ฉะนั้น ความดำริทั้งหลายเหล่านั้น ของเราจึงสำเร็จ.
อธิบายว่า เมื่อละมานานุสัยได้แล้ว ขึ้นชื่อว่า อนุสัยที่ยังละไม่ได้ไม่มี และ
พระอรหัต ย่อมชื่อว่าเป็นอันได้บรรลุแล้วอีกด้วย เพราะฉะนั้น การละ
มานานุสัย ท่านจึงกล่าวกระทำให้เป็นเหตุ แห่งความสำเร็จของความดำริ
ตามที่กล่าวแล้ว.
จบอรรถกถาสีวลีเถรคาถา
จบวรรควรรณนาที่ 6
แห่งอรรถกถาเถรคาถา ชื่อว่า ปรมัตถทีปนี

ในวรรคนี้รวมพระเถระได้ 10 รูป คือ


1. พระโคธิกเถระ 2. พระสุพาหุเถระ 3. พระวัลลิยเถระ 4.
พระอุตติยเถระ 5 พระอัญชนวนิยเถระ 6. พระกุฎิวิหารีเถระ 7. พระทุติย-
กุฎิวิหารีเถระ 8. พระรมณียกุฏิกเถระ 9. พระโกสัลลวิหารีเถระ 10.
พระสีวลีเถระ และอรรถกถา.