เมนู

9. โกสัลลวิหารีเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระโกสัลลวิหารีเถระ


[196] ได้ยินว่า พระโกสัลสวิหารีเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราบวชแล้วด้วยศรัทธา เราทำกุฎีไว้ในป่า เรา
เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ.

อรรถกถาโกสลวิหารีเถรคาถา


คาถาของท่านพระโกสลวิหารีเถระ เริ่มต้นว่า สทฺธายาหํ ปพฺพชิโต.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็หว่านพืช คือ กุศลไว้ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า ปทุมตตระ ได้กระทำบุญนั้น ๆ ไว้ เรื่องที่เหลือก็คล้ายกัน
กับเรื่องของพระอัญชนวนิยเถระนั่นแหละ. ส่วนข้อที่แปลกออกไป มีดังนี้
ได้ยินว่า พระเถระนี้ บวชโดยนัยดังกล่าวแล้ว กระทำบุพกิจเสร็จแล้ว
อยู่ในป่า โดยอาศัยตระกูลของอุบาสกคนหนึ่ง ในบ้านหลังหนึ่งในแคว้นโกศล.
อุบาสกนั้นเห็นพระเถระอยู่ที่โคนไม้ จึงสร้างกุฏิถวาย พระเถระอยู่ในกุฏิ
ได้สมาธิ เพราะมีอาวาสเป็นที่สบาย ขวนขวายวิปัสสนา บรรลุพระอรหัต
ต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราอยู่บนเครื่องลาดใบไม้ ในที่ไม่ไกลภูเขา-
หิมวันต์ในกาลนั้น เราถึงความลำบากในการหาอาหาร
จึงมีการนอนเป็นปกติ เราขุดจาวมะพร้าว มันอ้วน

มันมือเสือ และมันนกมาไว้ เรานำเอาผลพุทรา ไม่
รกฟ้า ผลมะตูม มาจัดแจงไว้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ทรงรู้แจ้งโลก สมควร-
รับเครื่องบูชา ทรงทราบความดำริของเราแล้ว เสด็จมา
สู่สำนักเรา เราได้เห็นพระองค์ผู้มหานาค ประเสริฐ
กว่าเทวดาเป็นนราสภ เสด็จมาแล้ว จึงหยิบเอามันมือ
เสือมาใส่ลงในบาตร ในกาลนั้น พระสัพพัญญูมหา-
วีรเจ้า จะทรงยังเราให้ยินดีจึงเสวย ครั้นเสวยเสร็จแล้ว
ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า ท่านยังจิตให้เลื่อมใสแล้ว ได้
ถวายมันมือเสือแก่เรา ท่านจะไม่เข้าถึงทุคติตลอด-
แสนกัป ภพที่สุดย่อมเป็นไปแก่เรา เราถอนภพขึ้นได้
หมดแล้ว เราทรงกายที่สุดไว้ในศาสนาของพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้าในกัปที่ 54 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็น
พระเจ้าจักรพรรดิ พระนามว่า สุเมขลิยะ สมบูรณ์
ด้วยแก้ว 7 ประการ มีพลมาก. เราเผากิเลสทั้งหลาย
แล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เราทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.

ก็ครั้นท่านสำเร็จพระอรหัตแล้ว เมื่อจะเปล่งอุทาน ด้วยกำลังแห่ง
ปิติอันบังเกิดแล้ว ด้วยการเสวยวิมุตติสุข จึงได้กล่าวคาถาว่า
เราบวชแล้วด้วยศรัทธา เราทำกุฎีไว้ในป่า เรา
เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีสติสัมปชัญญะ
ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สทฺธาย ความว่า เราเห็นอานุภาพใน
การเสด็จเข้าไปยังพระนครเวสาลีของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงบวช คือ เข้าถึง
เพศบรรพชา ด้วยสามารถแห่งศรัทธาที่เกิดขึ้นแล้วว่า ศาสนานี้ นำสัตว์ออก
จากทุกข์ โดยส่วนเดียว เพราะฉะนั้น เราจักพ้นจากชราและมรณะได้ ด้วย
ข้อปฏิบัตินี้แน่แท้ ดังนี้.
ด้วยบทว่า อรญฺเญ เม กุฏิกา กตา นี้ พระเถระแสดงว่า
เราผู้อยู่ในป่า สร้างกุฏิไว้ โดยเหมาะสมแก่เพศบรรพชานั้น คือ เราเป็นผู้มี
ปกติอยู่ในป่า หลีกออกจากหมู่ อยู่ตามสมควรแก่เพศบรรพชา ด้วยเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า เราเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีสติสัมปชัญญะ ดังนี้.
พระเถระ เมื่อขวนขวายชาคริยธรรม ด้วยกายวิเวกอันได้จากการ
อยู่ในป่า จึงชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว โดยการไม่อยู่ปราศจากสติในป่านั้น.
ชื่อว่าปรารภความเพียร เพราะมีความเพียรอันปรารภแล้ว เจริญวิปัสสนาโดย
บริบูรณ์ไปด้วยสติและสัมปชัญญะอันเป็นธรรมส่วนเบื้องต้น ชื่อว่า เป็นผู้มีสติ
มีสัมปชัญญะอยู่โดยส่วนเดียวเท่านั้น เพราะถึงความไพบูลย์ด้วยปัญญาและสติ
โดยบรรลุพระอรหัตผล ก็คาถานี้แหละ ได้เป็นการพยากรณ์พระอรหัตผลของ
พระเถระในการประกาศความเป็นผู้ไม่ประมาทเป็นต้น ก็เพราะเหตุที่ท่านอยู่
แคว้นโกศลมาเป็นเวลานาน จึงเกิดเป็นสมัญญานามว่า โกสลวิหารีเถระ
ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาโกสลวิหารีเถรคาถา

10. สีวลีเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสีวลีเถระ


[197] ได้ยินว่า พระสีวลีเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราเข้าไปสู่กุฎีเพื่อประโยชน์อันใด เมื่อเราแสวง
หาวิชชา และวิมุตติได้ถอนขึ้นซึ่งมานานุสัย ความ-
ดำริของเราเหล่านั้นสำเร็จแล้ว.

จบวรรควรรณนาที่ 6

อรรถกถาสีวลีเถรคาถา


คาถาของท่านพระสีวลีเถระ. เริ่มต้นว่า เต เม อิชฺฌึสุ สงฺกปฺปา.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ แม้
พระเถระนี้ ก็ไปสู่พระวิหาร โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง ยืนฟังธรรมอยู่
ท้ายบริษัท เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศ
กว่าภิกษุผู้มีลาภทั้งหลาย คิดว่า ในอนาคตกาล แม้เราก็ควรเป็นผู้เช่นนี้
ดังนี้แล้ว นิมนต์พระทศพลแล้วถวายมหาทานแด่พระบรมศาสดา พร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์ตลอด 7 วัน แล้วตั้งความปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ด้วยการกระทำอธิการนี้ ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาสมบัติอย่างอื่น แต่ใน
อนาคตกาล ขอให้ข้าพระองค์พึงเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีลาภ ดุจภิกษุ
ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ในเอตทัคคะ.