เมนู

อรรถกถารมณียกุฎิกเถรคาถา


คาถาของท่านพระรมณียกุฏิกเถระ เริ่มต้นว่า รมณียา เม กุฏิกา.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า แม้พระเถระนั้น กระทำการหว่านพืช คือ กุศลไว้ในกาล
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่องเที่ยวไปในเทวดา
และมนุษย์ทั้งหลาย เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า อัตถทัสสี ในที่สุดแห่งกัป 1,800 จำเดิมแต่ภัทรกัปนี้ ถึง
ความเป็นผู้รู้แล้ว ได้ถวายอาสนะอันสมควรแก่พระพุทธเจ้า แด่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า และบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยดอกไม้ทั้งหลาย ถวายบังคมด้วย
เบญจางคประดิษฐ์ กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป ข้อความที่เหลือคล้ายกับที่
กล่าวไว้แล้ว ในเรื่องของพระอัญชนวนิยเถระนั่นแหละ. ส่วนความที่พิเศษ
ออกไป มีดังนี้.
ได้ยินว่า พระเถระนี้ บวชโดยนัยดังกล่าวแล้ว กระทำบุพกิจแล้ว
อยู่ในกระท่อมในอาวาสใกล้บ้านแห่งหนึ่ง ในแคว้นวัชชี กระท่อมหลังนั้น
จัดเป็นกระท่อมสวยงาม น่าดู น่าเลื่อมใส มีฝาและพื้น ตกแต่งเรียบร้อย
สมบูรณ์ด้วยทัศนียภาพ มีสวนรื่นรมย์และสระโบกขรณีเป็นที่น่ายินดีเป็นต้น มี
ภูมิภาคดาษเต็มไปด้วยทรายคล้ายข่ายแห่งแก้วมุกดา เป็นสถานที่น่ารื่นรมย์
ยิ่งกว่าประมาณ โดยมีบริเวณลานที่กวาดเกลี้ยงเกลาดีแล้วเป็นต้น เพราะ
พระเถระเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวัตร ตั้งอยู่. พระเถระอยู่ในกระท่อมนั้น เริ่มตั้ง
วิปัสสนา แล้วบรรลุพระอรหัตต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่าน
กล่าวไว้ในอปทานว่า

เราเข้าป่าชัฏ สงัดเสียง ไม่อาดูร ได้ถวายอาสนะ
อันสมควรแก่พระพุทธเจ้า ผู้สีหะแด่พระผู้มีพระภาค-
เจ้า ทรงพระนามว่า อัตถทัสสี ผู้คงที่ เราถือดอกไม้
กำหนึ่ง แล้วทำประทักษิณพระองค์ เข้าเฝ้าพระศาสดา
แล้ว กลับมุ่งหน้าไปทางทิศอุดร ข้าแต่พระองค์ผู้เป็น
จอมประชา เชษฐบุรุษของโลกประเสริฐกว่านระ ด้วย
กรรมนั้น ข้าพระองค์ยังตนให้ดับ (กิเลส) ถอนภพได้
ทั้งหมดแล้ว ในกัปที่ 1,800 ข้าพระองค์ได้ถวายทาน
ใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้นข้าพระองค์ไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายสีหาสนะ ในกัปที่ 700 แต่
ภัทรกัปนี้ ข้าพระองค์ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ จอม-
กษัตริย์พระนามว่า สันนิพาปกะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว
7 ประการ มีพลมาก เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ
คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็เมื่อพระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว ยังคงอยู่ที่กระท่อมนั้น
มนุษย์ทั้งหลายผู้อยากจะดูวิหาร เพราะกระท่อมเป็นสถานที่ ๆ น่ารื่นรมย์
มาจากที่นั้น ๆ ดูชมกระท่อม.
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พวกผู้หญิงที่มีนิสัยนักเลงจำนวนเล็กน้อย ไปที่
กระท่อมนั้น เห็นความที่กระท่อมเป็นสถานน่ารื่นรมย์ จึงกล่าวว่า ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ สถานที่อยู่ของพระคุณเจ้าน่ารื่นรมย์ แม้พวกดิฉันทั้งหลาย ก็มี
รูปร่างน่าเล้าโลม ตั้งอยู่ในวัยสาวรุ่นกำดัด ดังนี้ โดยมีประสงค์ว่า พระเถระ
ผู้อยู่ในกระท่อมรูปนี้ พึงเป็นผู้มีใจอันพวกเราทั้งหลายเหนี่ยวรั้งมาได้ แล้วเริ่ม

แสดงอาการต่าง ๆ มีมายาหญิงเป็นต้น พระเถระเมื่อจะประกาศความที่ตน
เป็นผู้ปราศจากราคะแล้ว จึงได้กล่าวคาถาว่า
กุฏีของเรา น่ารื่นรมย์บันเทิงใจ เป็นกุฎีที่ทายก
ให้ด้วยศรัทธา ดูก่อนนารีทั้งหลาย เราไม่ต้องการด้วย
กุมารีทั้งหลาย ชนเหล่าใดมีความต้องการ เธอ
ทั้งหลายก็จงไปในสำนักของชนเหล่านั้นเถิด ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รมณียา เม กุฏิกา ความว่า คำที่
พวกเธอทั้งหลายกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า กุฏิของท่านน่ารื่นรมย์ ดังนี้นั้น เป็น
ความจริง กุฏิที่อยู่ของเราหลังนี้ น่ารื่นรมย์ชื่นชมยินดี ก็กุฏิหลังนั้นแล
แม้นกุฏิที่ทายกถวายด้วยศรัทธา คือชื่อว่าเป็นสัทธาไทยธรรม เพราะทายก
เชื่อกรรมและผลแห่งกรรมว่า ผลชื่อนี้ ย่อมมีแก่ทายกผู้ถวายกุฏิแก่บรรพชิต
เพราะทำความพอใจให้ในกุฏิเห็นปานนี้ แล้วจึงถวายด้วยศรัทธา คือด้วยความ
พอใจในธรรม มิใช่ให้เกิดด้วยทรัพย์. กุฏิชื่อว่า มโนรมา เพราะทำใจของ
ผู้ที่เห็นสัทธาไทยธรรมที่ให้แล้วอย่างนั้นให้ยินดีเอง และทำใจของผู้บริโภค
ให้ยินดีอีกด้วย.
อธิบายว่า ก็กุฏิชื่อว่า มโนรมา เพราะเป็นของที่เขาถวายด้วยศรัทธา
นั่นเอง คือทายกบรรจงจัดไทยธรรมด้วยความเคารพ ถวายด้วยศรัทธาจิตเป็น
ต้น และสัตบุรุษผู้บริโภค ของที่ทายกถวายด้วยศรัทธา ย่อมเป็นผู้สมบูรณ์
ด้วยประโยคสมบัติและอาสยสมบัติ ไม่ทำให้ทายกผิดหวัง ไม่ใช่วิบัติด้วยประ-
โยคสมบัติ และอาสยสมบัติ โดยอาการอย่างที่ท่านทั้งหลายคิด.
บทว่า น เม อตฺโถ กุมารีหิ ความว่า เพราะเหตุที่เรามีใจ
หันออกจากกามทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง ฉะนั้น เราจึงไม่มีความต้องการ
ด้วยกุมารีทั้งหลาย.

อธิบายว่า ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลายจะมาช่วยทำประโยชน์ แม้โดยทำ
หน้าที่กัปปิยการก ก็ย่อมไม่มีแก่คนเช่นเรา จะป่วยกล่าวไปไย ถึงประโยชน์
ด้วยการปลดเปลื้องราคะเล่า เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ต้องการด้วยกุมารีทั้งหลาย.
ก็กุมารีศัพท์ในคาถานี้ พึงเห็นเป็นการกำหนด. พระเถระเมื่อจะแสดงว่า กิริยา
อย่างนี้ จะพึงงามก็ต่อหน้าของตนที่มีอัธยาศัยเหมือนกับพวกท่าน ผู้กระทำ
กรรมอันไม่สมควรโดยคิดว่า ต้องปฏิบัติอย่างนี้ในสำนักของคนเช่นเราจนเกิด
ผิดพลาดขึ้น ดังนี้ (แล้ว) กล่าวว่า ชนเหล่าใดมีความต้องการ เธอทั้งหลาย
ก็จงไปสำนักของคนเหล่านั้นเถิด ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เยสํ ได้แก่ ของคนที่ยังไม่ปราศจาก
ความกำหนัดในกามทั้งหลาย.
บทว่า อตฺโถ แปลว่า ประโยชน์.
บทว่า ตหึ แปลว่า ในที่นั้น คือ สำนักของคนเหล่านั้น.
บทว่า นาริโย เป็นอาลปนะ. หญิงทั้งหลายฟังคำเป็นคาถานั้นแล้ว
เป็นผู้เก้อเขิน คอตก หลีกไปตามทางที่ตนมาแล้วนั่นแหละ ก็คำว่า เราไม่มี
ความต้องการด้วยกุมารีทั้งหลายในคาถานี้ พึงทราบว่า อันพระเถระพยากรณ์
พระอรหัตผลแล้ว เพราะกล่าวถึงความที่ตนไม่ต้องการด้วยกามทั้งหลายนั่นแล.
จบอรรถกถารมณียกุฏิกเถรคาถา

9. โกสัลลวิหารีเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระโกสัลลวิหารีเถระ


[196] ได้ยินว่า พระโกสัลสวิหารีเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราบวชแล้วด้วยศรัทธา เราทำกุฎีไว้ในป่า เรา
เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ.

อรรถกถาโกสลวิหารีเถรคาถา


คาถาของท่านพระโกสลวิหารีเถระ เริ่มต้นว่า สทฺธายาหํ ปพฺพชิโต.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็หว่านพืช คือ กุศลไว้ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า ปทุมตตระ ได้กระทำบุญนั้น ๆ ไว้ เรื่องที่เหลือก็คล้ายกัน
กับเรื่องของพระอัญชนวนิยเถระนั่นแหละ. ส่วนข้อที่แปลกออกไป มีดังนี้
ได้ยินว่า พระเถระนี้ บวชโดยนัยดังกล่าวแล้ว กระทำบุพกิจเสร็จแล้ว
อยู่ในป่า โดยอาศัยตระกูลของอุบาสกคนหนึ่ง ในบ้านหลังหนึ่งในแคว้นโกศล.
อุบาสกนั้นเห็นพระเถระอยู่ที่โคนไม้ จึงสร้างกุฏิถวาย พระเถระอยู่ในกุฏิ
ได้สมาธิ เพราะมีอาวาสเป็นที่สบาย ขวนขวายวิปัสสนา บรรลุพระอรหัต
ต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราอยู่บนเครื่องลาดใบไม้ ในที่ไม่ไกลภูเขา-
หิมวันต์ในกาลนั้น เราถึงความลำบากในการหาอาหาร
จึงมีการนอนเป็นปกติ เราขุดจาวมะพร้าว มันอ้วน