เมนู

อรรถกถารามเณยยกเถรคาถา


คาถาของท่านพระรามเณยยกเถระ เริ่มต้นว่า จิหจิหาภินทิเต.
เรื่องราวของท่านเป็นมาอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ เป็นอันมาก เกิดในเรือนแห่งตระกูลในกาลของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สิขี. บรรลุถึงความเป็นผู้รู้แล้ว เห็น
พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เลื่อมใสแล้ว ได้ทำการบูชาด้วยดอกไม้ทั้งหลาย.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านบังเกิดแล้วในเทวโลก กระทำบุญแล้ว เกิด
หมุนเวียนไป ๆ มา ๆ อยู่แต่ในสุคติภพเท่านั้น ในพุทธุปบาทกาลนี้ เกิดใน
ตระกูลอันมั่งคั่งในพระนครสาวัตถี เจริญวัยแล้ว เป็นผู้มีความเลื่อมใสเกิดแล้ว
บรรพชา ในกาลที่ทรงรับมอบพระวิหารชื่อว่า เชตวัน เรียนกรรมฐาน
อันสมควรแก่จริต แล้วอยู่ในป่า. ท่านได้มีชื่อว่า รามเณยยกะ เพราะ
สมบัติของตน และข้อปฏิบัติอันสมควร แก่บรรพชิตของท่านเป็นเหตุนำมา
ซึ่งความเลื่อมใส. วันหนึ่ง มารประสงค์ จะหลอกให้พระเถระสะดุ้ง จึงได้
ส่งเสียงร้องน่ากลัว.
พระเถระฟังเสียงนั้นแล้ว ไม่สะดุ้งกลัว เพราะเสียงนั้น รู้ทันว่า นี้
เป็นมาร เมื่อจะแสดงความไม่อาทรในเสียงนั้น ได้กล่าวคาถาว่า
ดูก่อนมารผู้ลามก จิตของเรานั้นย่อมไม่หวั่น
ไหวดิ้นรน เพราะเสียงร้องของนกกระจาบ และเพราะ
เสียงร้องของลิงทั้งหลาย เพราะจิตของเรายินดียิ่งแล้ว
ในพระนิพพาน ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จิหจิหาภินทิเต ความว่า เพราะเหตุ
แห่งการส่งเสียงร้องของนกกระจาบ ที่ได้นามว่า จิหะ จิหะ เพราะส่งเสียง
ร้องอยู่เนือง ๆ ว่า จิหะ จิหะ อธิบายว่า มีเสียงร้องเป็นเหตุ. บทว่า
สิปฺปิกาภิรุเต จ ความว่า ลิงที่มีอาการเหมือนเด็กผอมโซอมโรค มีชื่อ
อย่างอื่น คือขี้เล่น ท่านเรียกว่า สิปปิกะ. บางอาจารย์เรียกว่า มหากลันทกร
เพราะลิงทั้งหลาย อ้าปากกว้าง ร้องตัวสั่น ก็บทนี้เป็นตติยาวิภัตติลงในอรรถ
แห่งเหตุ อธิบายว่า การร้องของลิงนั่นเป็นเหตุ. บทว่า น เม ตํ ผนฺทติ
จิตฺตํ
ความว่า จิตของเราย่อมไม่ดิ้นรน คือไม่หวั่นไหว.
ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ดูก่อนมารผู้ลามก จิตของเราย่อมไม่ตกไป
จากกรรมฐาน เพราะเหตุแห่งการส่งเสียงร้องของท่าน ดุจเพราะเหตุแห่งการ
ร้อง คือเพราะเหตุแห่งการส่งเสียงร้องของลิงในป่า. พระเถระกล่าวถึงเหตุใน
การที่จิตไม่ตกไปจากกรรมฐานว่า เอกตฺตํ นิรตํ หิ เม เพราะจิตของ
เรายินดียิ่งแล้วในพระนิพพาน. หิ ศัพท์ มีเหตุเป็นอรรถ ได้แก่
เพราะเหตุที่จิตของเรา ละการคลุกคลีด้วยหมู่ อยู่ในความเป็นผู้ ๆ เดียว คือ
ในเอกีภาพ หรือเพราะเหตุที่จิตของเรา ละความฟุ้งซ่านในภายนอก แล้วถึง
ความเป็นหนึ่งในเอกัคคตารมณ์ หรือเพราะเหตุที่จิตของเรายินดียิ่งแล้ว คือ
อภิรมย์แล้วใน เอคัคตารมณ์ คือในเอกีภาพ ได้แก่ ในพระนิพพาน ฉะนั้น
จิตของเราจึงไม่ดิ้นรน คือไม่ขาดจากกรรมฐาน ได้ยินว่า พระเถระเมื่อ
กล่าวคาถานี้อยู่นั่นแล เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดังคาถา
ประพันธ์ ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สิขี มีพระ
ฉวีวรรณดังทอง มีพระรัศมีอันประเสริฐดังพระอาทิตย์

มีพระหฤทัยเมตตา มีพระสติ เสด็จขึ้นที่จงกรม เรา
มีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ชมเชยพระญาณอันอุดม
แล้ว ถือดอกเทียนขาวไปบูชา แด่พระพุทธเจ้า ใน
กัปที่ 31 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วย
ดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้
เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัปที่ 29 แต่ภัทรกัปนี้ ได้
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ นามว่า สุเมฆฆนะ สมบูรณ์
ด้วยแก้ว 7 ประการ มีพลมาก เราเผากิเลสทั้งหลาย
แล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เราทำสำเร็จ
แล้ว ดังนี้.

ก็แลคาถานี้นั่นแหละ ได้เป็นคาถาพยากรณ์พระอรหัตผลของพระเถระ.
จบอรรถกถารามเณยยเถรคาถา

10. วิมลเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวิมลเถระ


[187] ได้ยินว่า พระวิมลเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
แผ่นดินชุ่มฉ่ำด้วยน้ำฝน ลมก็พัด สายฟ้าก็แลบ
อยู่ทั่วไปในท้องฟ้า วัตถุทั้งหลาย ย่อมสงบไป จิต
ของเราตั้งมั่นแล้ว เป็นอันดี.

จบวรรคที่ 5