เมนู

8. สัญชยเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสัญชยเถระ


[185] ได้ยินว่า พระสัญชยเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ตั้งแต่เราออกบวช เป็นบรรพชิต เราไม่รู้สึกถึง
ความดำริ อันไม่ประเสริฐ ประกอบด้วยโทษเลย.

อรรถกถาสัญชยเถรคาถา


คาถาของท่านพระสัญชยเถระเริ่มต้นว่า ยโต อหํ. เรื่องราวของท่าน
เป็นอย่างไร ?
แม้ท่านก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ สั่งสม
บุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ ในกาลของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี ได้รวบรวมสิ่งของที่เรี่ยราดกระจัดกระจายอยู่
ในที่ประชุมใหญ่ ๆ กระทำบุญอุทิศพระรัตนตรัย ตัวเองเป็นคนจน จึงได้เป็น
ผู้ขวนขวายในการบำเพ็ญบุญของหมู่คณะเป็นต้นเหล่านั้น ท่านเข้าไปเฝ้าพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ตามกาลเวลา ถวายบังคมแล้ว มีจิตเลื่อมใสได้ทำหน้าที่
ไวยาวัจกร ต่าง ๆ ต่อภิกษุทั้งหลาย ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านไปบังเกิดใน
เทวโลก กระทำบุญไว้มาก ท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ อยู่ในสุคติภพด้วยเท่านั้น ใน
พุทธุปบาทกาลนี้ เกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ ผู้สมบูรณ์ด้วยสมบัติ ในพระ-
นครราชคฤห์ โดยนามมีชื่อว่า สัญชัย. เขาเจริญวัยแล้ว เห็นพราหมณ์ผู้มี

ชื่อเสียง มีพรหมายุพราหมณ์ และโปกขรสาติพราหมณ์เป็นต้น เลื่อมใสใน
พระศาสนา ก็บังเกิดความเลื่อมใส เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา.
พระบรมศาสดา ทรงแสดงธรรมแก่เขาแล้ว เขาฟังธรรมแล้วได้เป็น
พระโสดาบัน แล้วบรรพชาในเวลาต่อมา ก็และเมื่อบรรพชา พอปลายมีดจด
เท่านั้น ก็ได้อภิญญา 6. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
ได้มีการประชุมใหญ่ (มหาสันนิบาต) แห่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี เราได้
เป็นไวยาวัจกรผู้รับใช้ในกิจทุกอย่าง ก็ไทยธรรม
ที่จะถวายแด่พระสุคตเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ของเราไม่มี เรามีจิตผ่องใสได้ถวายบังคมพระบาท
ของพระศาสดา ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้
กระทำไวยาวัจกร ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการทำหน้าที่ไวยาวัจกร และในกัปที่ 8
แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ นามว่า
สุจินตติะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการ มีพลมาก.
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธ-
เจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ท่านเป็นผู้มีอภิญญา 6 เมื่อพยากรณ์พระอรหัตผล ได้กล่าวคาถาว่า
ตั้งแต่เราออกบวชเป็นบรรพชิต เราไม่รู้สึกถึง
ความดำริอันไม่ประเสริฐ ประกอบด้วยโทษเลย ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโต อหํ ปพฺพชิโต ความว่า
จำเดิมแต่ คือนับแต่เราได้บวชแล้ว.

(อธิบายว่า) จำเดิมแต่เวลาที่เราบวชแล้ว เราไม่รู้จักความดำริอันไม่
ประเสริฐ ประกอบด้วยโทษเลย โดยความหมายก็ว่า เราไม่รู้จักความดำริ
ที่ประกอบด้วยโทษมีราคะเป็นต้น เพราะเหตุนั้นแล จึงชื่อว่าไม่ประเสริฐ คือ
เลว อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าไม่ใช่ของพระอริยเจ้า เพราะพระอริยะเจ้าทั้งหลาย
ไม่ประพฤติ และเพราะผู้ที่ไม่ใช่พระอริยประพฤติ คือเป็นของลามก ได้แก่
มิจฉาวิตก มีกามวิตกเป็นต้น อันได้นามว่า สังกัปปะ เพราะดำริถึงคุณที่
ไม่มีจริงเป็นต้นในอารมณ์ อันตนให้เกิดแล้ว พระเถระพยากรณ์พระอรหัตผล
ว่า เราบรรลุพระอรหัตแล้ว ในเวลาที่ปลายมีดโกนจดเท่านั้น.
จบอรรถกถาสัญชยเถรคาถา

9. รามเณยยกเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระรามเณยยกเถระ


[186] ได้ยินว่า พระรามเณยยกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ดูก่อนมาร บุคคลบางจำพวก ย่อมสะดุ้งกลัว
เพราะเสียงคำรามของท่าน และเสียงร้องคำรามแห่ง
เทวดา แต่จิตของเราไม่หวั่นไหว เพราะเสียงเหล่านั้น
เพราะจิตของเรายินดีความเป็นผู้เดียว.