เมนู

6. สมิทธิเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสมิทธิเถระ


[183] ได้ยินว่า พระสมิทธิเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราออกบวชเป็นบรรพชิต ด้วยศรัทธา มีสติ
และปัญญาอันเจริญ มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ดูก่อนมาร
ถึงท่านจักบันดาลรูปต่าง ๆ ที่น่ากลัวให้เกิดขึ้น แต่ก็
ไม่สามารถทำให้เราสะดุ้งกลัวได้เลย.

อรรถกถาสมิทธิเถรคาถา


คาถาของท่านพระสมิทธิเถระ เริ่มต้นว่า สทฺธายาหํ ปพฺพชิโต.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
สั่งสมบุญไว้เป็นอันมากในภพนั้น ๆ ในกัปที่ 94 แต่ภัทรกัปนี้ เป็นผู้มีใจ
เลื่อมใสแล้ว ถือเอาดอกไม้พร้อมทั้งขั้ว ผูกให้เป็นช่อบูชาแล้ว.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาเกิดในเทวโลก การทำบุญเป็นอันมาก ท่องเที่ยว
ไป ๆ มา ๆ อยู่แต่ในสุคติภพ เกิดในเรือนมีตระกูล ในพุทธุปบาทกาลนี้.
จำเดิมแต่เขาเกิดแล้ว ตระกูลนั้นก็เจริญมั่งคั่ง ด้วยทรัพย์และข้าวเปลือกเป็นต้น
และอัตภาพของเขา ก็สวยงาม น่าดู มีคุณสมบัติ. เพราะฉะนั้น เขาจึงมีนาม

ปรากฏว่า " สมิทธิ " เพราะเจริญรุ่งเรืองด้วยทรัพย์สมบัติ และสมบูรณ์
ด้วยคุณสมบัติ.
เขาเห็นพุทธานุภาพ ในสมาคมของพระเจ้าพิมพิสาร ได้มีศรัทธา
บวชแล้ว หมั่นขวนขวายในภาวนาอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ใน
ตโปทาราม วันหนึ่งท่านคิดอย่างนี้ว่า เป็นลาภแล้วหนอ พระศาสดาของเรา
เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และเราก็บวชในพระธรรมวินัย ที่พระองค์
ตรัสดีแล้ว ทั้งเพื่อนสพรหมจารี ของเราก็เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม เมื่อ
ท่านคิดอยู่อย่างนี้ ก็เกิดปีติโสมนัสเป็นล้นพ้น. มารผู้ลามก ไม่พอใจ จึง
ส่งเสียงร้องดังน่ากลัว ในที่ไม่ห่างพระเถระ ได้เป็นประหนึ่งว่าแผ่นดินจะถล่ม.
พระเถระกราบทูลความนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มารจงใจทำลวงตาเธอ ไปเถิดภิกษุ
เธอไม่ต้องคิดในข้อนั้น จงอยู่ไปเถิด. พระเถระไปในที่นั้น แล้วอยู่ขวนขวาย
วิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว ต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่
ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า
สิทธัตถะ เป็นสารถีฝึกนระ ผู้โชติช่วงดังดอก-
กรรณิการ์ ประทับนั่งในระหว่างภูเขา ยังทิศทั้งปวง
ให้สว่างอยู่ ในกาลนั้น เราเอาธนูพาดสายแล้ว ยิง
ลูกธนูไป ตัดดอกไม้พร้อมทั้งขั้ว บูชาแด่พระพุทธเจ้า
ในกัปที่ 94 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วย
ดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็น
ผลแห่งพุทธบูชา ในกัปที่ 51 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็น
พระเจ้าจักรพรรดิองค์หนึ่ง พระนามว่า ชุตินธระ

ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการ มีพลมาก. เราเผา
กิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า
เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ส่วนมารไม่รู้ว่าพระเถระผู้อยู่ในที่นั้น บรรลุพระอรหัตแล้ว เป็น
พระขีณาสพ ก็ได้ส่งเสียงร้องดังน่ากลัว โดยนัยก่อนนั่นแหละ. พระเถระฟัง
เสียงนั้นแล้วไม่สะดุ้งกลัว ไม่หวาดเสียว กล่าวว่า มารเช่นท่านตั้งร้อย ตั้งพัน
ก็ไม่ทำให้แม้ขนของเราหวั่นไหวได้ ดังนี้แล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล
ได้ภาษิตคาถาว่า
เราออกบวชเป็นบรรพชิต ด้วยศรัทธา มีสติและ
ปัญญาเจริญ มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ดูก่อนมาร ถึงท่านจัก
บันดาลรูปต่าง ๆ ที่น่ากลัวให้เกิดขึ้น แต่ก็ไม่อาจทำ
เราให้สะดุ้งกลัวได้เลย ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สทฺธาย ความว่า ด้วยความเชื่อกรรม
และผลแห่งกรรม และด้วยความเชื่อในพระรัตนตรัย อันมีความพอใจในธรรม
เป็นสมุฏฐาน.
พระเถระเรียก (แสดง) ตนเอง ด้วยบทว่า อหํ. บทว่า ปพฺพชิโต
ความว่า เข้าถึง (บรรพชา).
บทว่า อคารสฺมา ความว่า จากเรือน หรือจากการอยู่ครองเรือน.
บทว่า อนคาริยํ ได้แก่ บรรพชา. ก็บรรพชานั้น ท่านเรียกว่า
อนคาริยะ เพราะไม่มีกสิกรรมแลพาณิชยกรรมเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง อัน
เป็นประโยชน์ต่อการครองเรือน ซึ่งเป็นเหตุให้ชื่อว่า "อคาริยะ".
ด้วยบทว่า สติ ปญฺญา จ เม วุฑฺฒา นี้ พระเถระแสดงว่า
จำเดิมแต่ขณะแห่งวิปัสสนา จนถึงพระอรหัตตามลำดับมรรคธรรมเหล่านี้

คือ สติที่มีการระลึกได้เป็นลักษณะ ปัญญาที่มีการรู้ทั่วเป็นลักษณะ เจริญแล้ว
คืองอกงามแล้วแก่เรา บัดนี้ จะมีธรรมที่ต้องเจริญ (อีก) ก็หามิได้ สติปัญญา
ของเราถึงความไพบูลย์แล้ว ดังนี้.
ด้วยบทว่า จิตฺตญฺจ สุสมาหิตํ นี้ พระเถระแสดงว่า จิตของเรา
ตั้งมั่นดีแล้ว ด้วยสามารถแห่งสมาบัติ 8 และด้วยสามารถแห่งโลกุตรสมาธิ
บัดนี้ไม่มีกิจที่จะต้องทำจิตนั้นให้ตั้งมั่น (เพราะ) สมาธิถึงความไพบูลย์แล้ว.
บทว่า กามํ กรสฺสุ รูปานิ ความว่า ดูก่อนมารผู้ลามก เพราะ
ฉะนั้น ท่านมากระทำอาการที่น่ารังเกียจอย่างใดอย่างหนึ่ง หลอกเราตาม-
ชอบใจ แต่อาการที่น่ารังเกียจเหล่านั้น ไม่อาจทำให้เราสะดุ้งกลัวได้เลย คือ
ไม่สามารถจะกระทำ แม้เพียงควานหวั่นไหวแห่งร่างกายของเราได้เลย ที่ไหน
จักทำจิตให้เป็นอย่างอื่นไปได้. พระเถระคุกคามมารว่า เพราะฉะนั้น กิริยานั้น
จะมีผลเพียงทำความคับแค้น แก่จิตของท่านเท่านั้น. มารฟังดังนั้นแล้ว คิดว่า
พระเถระรู้ทันเรา แล้วหายไปในที่นั้นเอง.
จบอรรถกถาสมิทธิเถรคาถา

7. อุชชยเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระอุชชยเถระ


[184] ได้ยินว่า พระอุชชยเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ช้าแต่พระพุทธเจ้า ผู้แกล้วกล้า ข้าพระองค์
ขอนอบน้อมแด่พระองค์ พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว
จากสิ่งทั้งปวง เมื่อข้าพระองค์อยู่ในพระบัญชาของ
พระองค์ จึงเป็นผู้ไม่มีอาสวะ อยู่เป็นสุขสำราญ.

อรรถกถาอุชชยเถรคาถา


คาถาของท่านพระอุชชยเถระเริ่มต้นว่า นโม เต พุทฺธ วีรตฺถุ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
กระทำบุญเป็นอันมากไว้ในภพนั้น ๆ ในกัปที่ 92 แต่ภัทรกัปนี้ เห็นพระผู้มี-
พระภาคเจ้า พระนามว่า ติสสะ มีใจเลื่อมใส ทำการบูชาด้วยดอกกรรณิการ์
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านบังเกิดในเทวโลก กระทำบุญแล้วท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ
ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ ชื่อว่า โสตถิยะ
คนใดคนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่า อุชชยะ.
เขาเจริญเติบใหญ่แล้ว เป็นผู้เรียนจบไตรเพท มองไม่เห็นสาระใน
ไตรเพทนั้น อันอุปนิสยสมบัติ ตักเตือนอยู่ ไปยังเวฬุวันวิหาร ฟังธรรมใน