เมนู

อรรถกถาขทิรวนิยเรตเถรคาถา


คาถาของท่านพระขทิรวนิยเรวตเถระ* เริ่มต้นว่า จาเล อุปจาเล.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ในกายของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ
พระเถระนี้เกิดในตระกูลของนายเรือประจำท่า ณ เมืองหงสาวดี ทำงานอยู่
ในเรือประจำท่า ณ ท่าน้ำชื่อว่า ปยาคะ วันหนึ่งเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
พร้อมด้วยหมู่สาวก เสด็จไปสู่ฝั่งแม่น้ำคงคา เป็นผู้มีใจเลื่อมใสแล้ว ประกอบ
เรือขนาน ส่งเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยสาวกให้ถึงฝั่งโน้น แล้วเห็น
ภิกษุรูปหนึ่ง อันพระศาสดาทรงแต่งตั้งไว้ ในต่ำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศ กว่า
บรรดาภิกษุผู้อยู่ในป่า ตั้งความปรารถนาเพื่อได้ตำแหน่งนั้น บำเพ็ญมหาทาน
ถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า และภิกษุสงฆ์.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพยากรณ์ความปรารถนาของเขาว่าไม่เป็น
หมัน. จำเดิมแต่นั้น เขาบำเพ็ญกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ไว้ใน
ภพนั้น ๆ ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในพุทธุปบาทกาลนี้
เกิดในต้องของนางพราหมณี ชื่อว่า รูปสารี ในนาลกคาม แคว้นมคธ. มารดา
บิดาของเขามีความประสงค์จะผูกพันเขาผู้เจริญวัยแล้ว ด้วยเครื่องผูกคือ
เรือน เขาสดับความที่พระสารีบุตรเถระบวชแล้ว คิดว่า พระคุณเจ้าอุปติสสะ
ผู้เป็นพี่ใหญ่ของเรา ทิ้งสมบัตินี้ไว้บวชแล้ว เราจักกลืนกินก้อนเขฬะ ที่พระ
คุณเจ้าอุปติสสะนั้นบ้วนทิ้งไว้ในภายหลังอย่างไรได้ ดังนี้แล้ว เกิดความสลดใจ
ทำเป็นเหมือนเนื้อที่กำลังเข้าไปติดบ่วง ลวงหมู่ญาติอันเหตุสมบัติเตือนอยู่
ไปสู่สำนักของภิกษุทั้งหลาย แจ้งความที่ตนเป็นน้องชายของพระธรรมเสนาบดี
* พระสูตรเรียกว่า พระขทิรวนิยเถระ

บอกความพอใจในบรรพชาของตน. ภิกษุทั้งหลายให้บรรพชาแล้ว พอเขา
อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ก็ให้อุปสมบท แนะนำกรรมฐาน. ท่านเรียน
กรรมฐานแล้วเข้าไปสู่ป่าไม้ตะเคียน คิดว่า เราบรรลุพระอรหัตแล้ว
จึงจะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า และพบพระธรรมเสนาบดี ดังนี้แล้ว เพียร-
พยายามอยู่ ได้เป็นผู้มีอภิญญา 6 ต่อกาลไม่นานนัก เพราะมีญาณถึงความ
แก่รอบ. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
แม่น้ำคงคา ชื่อภาคีรถี เกิดแต่ประเทศหิมวันต์
เราเป็นนายเรืออยู่ที่ท่าอันขรุขระ ข้ามส่งคนจากฝั่งนี้
ไปฝั่งโน้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า
ปทุมุตตระ ผู้เป็นนายกของโลก สูงสุดกว่าสรรพสัตว์
กับพระขีณาสพหนึ่งแสน จักข้ามกระแสแม่น้ำคงคา
เรานำเรือมารวมไว้เป็นอันมาก แล้วทำประทุนเรือที่
นายช่างตกแต่งเป็นอันดี ไว้ต้อนรับพระนราสภ ก็
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว เสด็จขึ้นเรือ พระ-
ศาสดาประทับยืนอยู่ท่ามกลางวารี ได้ตรัสพระคาถา
เหล่านี้ว่า ผู้ใดข้ามส่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ
พระสงฆ์ผู้ไม่มีอาสวะ ผู้นั้นจักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลก
ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น วิมานอันบุญกรรมทำไว้อย่าง
สวยงาม มีสัณฐานดังเรือจักเกิดแต่ท่าน หลังคาดอกไม้
จักกั้นอยู่บนอากาศทุกเมื่อ ในกัปที่ 58 ผู้นี้จักได้เป็น
กษัตริย์ พระนามว่า ตารกะ จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ทรงครอบครองแผ่นดิน มีสมุทร 4 เป็นขอบเขต ใน
กัปที่ 57 จักได้เป็นกษัตริย์ พระนามว่า จัมมกะ

ทรงพระกำลังมาก จักรุ่งเรือง ดังพระอาทิตย์อุทัย
ฉะนั้นในกัปที่แสน พระศาสดาทรงพระนามว่า โคดม
โดยพระโคตร ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกากราช
จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นี้เคลื่อนจากไตรทศแล้ว จัก
ถึงความเป็นมนุษย์ จักเป็นบุตรแห่งพราหมณ์ มีนาม
ชื่อว่าเรวตะ อันกุศลมูลตักเตือนแล้ว จักออกจากเรือน
บวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนาม
ว่า โคดม ภายหลังเขาบวชแล้ว จักประกอบความเพียร
เจริญวิปัสสนา กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว จักไม่มี
อาสวะ นิพพาน เรามีความเพียรอันนำไปซึ่งธุระ อัน
นำมาซึ่งธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะ เราทรงกายอัน
มีในที่สุด ในศาสนาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กรรม
ที่เราทำไว้ในแสนแห่งกัป แสดงผลแก่เราในชาตินี้
ช่วยเผากิเลสของเราให้ไหม้ ดุจลูกศรที่พ้นจากแล่ง
ไปอย่างรวดเร็ว ลำดับนั้น พระมุนีผู้เป็นมหาปราชญ์
รู้ที่สุดแห่งโลก เห็นเรายินดีแล้วในป่า จึงทรงแต่งตั้ง
เราเป็นยอดแห่งภิกษุผู้อยู่ป่า เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว
คำสอน ของพระพุทธเจ้า เราทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระเถระได้อภิญญา 6 แล้ว จัดเก็บเสนาสนะ ถือบาตรจีวรไปเพื่อ
จะเฝ้าพระศาสดาและพบพระธรรมเสนาบดี ถึงพระนครสาวัตถี โดยลำดับ
เข้าไปสู่พระเชตวันวิหารแล้ว ถวายบังคมพระบรมศาสดา และไหว้พระธรรม
เสนาบดีแล้ว อยู่ในพระเชตวันวิหาร สิ้นวันเล็กน้อย.

ลำดับนั้น พระศาสดาประทับอยู่กลางหมู่พระอริยสงฆ์ ทรงแต่งตั้ง
ท่านไว้ในฐานะที่เป็นยอดของภิกษุผู้อยู่ป่าทั้งหลาย ด้วยพระพุทธดำรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเรวตะ ขทิรวนิยะ เลิศกว่าพวกภิกษุผู้สาวกของเรา
ผู้อยู่ปา ดังนี้. ต่อมาท่านกลับไปยังบ้านเกิดของตน นำหลาน 3 คน คือ
เด็กชื่อจาลา ชื่ออุปจาลา ชื่อสีสูปจาลา ผู้เป็นบุตรของพี่สาวทั้ง 3 คือ นาง
จาลา นางอุปจาลา และนางสีสูปจาลา มาแล้วให้บวช แนะนำกรรมฐาน
ทารกทั้ง 3 ก็ประกอบเนือง ๆ ซึ่งกรรมฐานอยู่.
ก็ในสมัยนั้น อาพาธบางอย่างเกิดแก่พระเถระ. พระสารีบุตรเถระ
ฟังข่าวนั้นแล้ว เข้าไปหาพระเรวตะ ด้วยคิดว่า เราจักถามอาการไข้และถาม
มรรคผลที่พระเรวตะได้บรรลุ. พระเรวตเถระ เห็นพระธรรมเสนาบดีเดินมา
แต่ไกล เมื่อจะกล่าวสอนสามเณรเหล่านั้น โดยจะให้เกิดสติ จึงกล่าวคาถาว่า
ดูก่อนสามเณร จาลา อุปจาลา สีสูปจาลา
เธอทั้ง 3 เป็นผู้มีสติเฉพาะหน้าอยู่หรือ พระสารีบุตร
ผู้เป็นลุงของพวกเธอ มีปัญญาว่องไว หยั่งรู้เหตุผลได้
โดยถูกต้องแม่นยำ เปรียบดัง นายขมังธนู ผู้ชำนาญ
ยิงปลายขนทรายมาแล้ว ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จาเล อุปจาเล สีสูปจาเล เป็นคำ
เรียกสามเณรเหล่านั้น อธิบายว่า ทารกทั้ง 3 เหล่านั้น ได้ชื่อด้วยสามารถ
แห่งเพศหญิงว่า จาลา อุปจาลา สีสูปจาลา แม้บวชแล้ว ก็เรียกกันอย่างนั้น.
แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ชื่อของสามเณรเหล่านั้นว่า จาลี อุปจาลี สีสูปจาลี
การเรียกชื่อด้วยคำเป็นต้นว่า จาเล ดังนี้ เพื่อประโยชน์อันใด พระเถระ
เมื่อจะแสดงประโยชน์อันนั้น จึงกล่าวว่า เธอทั้ง 3 เป็นผู้มีสติเฉพาะหน้า

อยู่หรือ ดังนี้แล้ว แสดงเหตุในการเรียกนั้นว่า พระสารีบุตรผู้เป็นลุงของ
พวกเธอ มีปัญญาว่องไว หยั่งรู้เหตุผลได้โดยถูกต้องแม่นยำ เปรียบดังนาย
ขมังธนู ผู้ชำนาญยิงปลายขนทรายมาแล้ว ดังนี้. บทว่า ปติสฺสตา แปลว่า
มีสติเฉพาะหน้า. ศัพท์ว่า โข เป็นนิบาต ลงในอวธารณะ.
บทว่า อาคโต แปลว่า มาแล้ว. บทว่า โว แปลว่า ของท่าน
ทั้งหลาย.
บทว่า วาลํ วิย เวธิ ความว่า ดุจนายขมังธนูยิงปลายขนทราย.
ในบาทแห่งคาถานี้ มีความย่อดังนี้ พระเถระผู้เป็นลุงของเธอทั้งหลาย ผู้ชื่อว่า
เหมือนนายขมังธนูผู้ยิงปลายขนทราย เพราะมีปัญญากล้า มีปัญญาไว
มีปัญญาแทงตลอด ผู้เป็นที่สองรองพระศาสดา มาแล้ว เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลาย
จงเข้าไปตั้งสมณสัญญา เป็นผู้ประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะอยู่เถิด คือจงเป็น
ผู้ไม่ประมาท ในวิหารธรรม ที่ตนได้บรรลุแล้วอย่างไร.
สามเณรเหล่านั้น ฟังดังนั้นแล้ว กระทำวัตร มีการลุกขึ้นต้อนรับ
พระธรรมเสนาบดีเป็นต้น แล้วนั่งเข้าสมาธิ ในที่ไม่ไกล ในเวลาปฏิสัณฐาร
ของพระเถระผู้เป็นลุงทั้งสอง พระธรรมเสนาบดีกระทำปฏิสัณฐารอยู่กับพระ-
เรวตเถระ ลุกจากอาสนะแล้ว เข้าไปหาสามเณรเหล่านั้น. สามเณรเหล่านั้น
ลุกขึ้นไหว้พระเถระผู้กำลังเดินเข้าไปหาอยู่ทีเดียว ยืนอยู่แล้ว เพราะทำการ
กำหนดเวลาไว้อย่างนั้น. พระเถระถามว่า พวกเธออยู่ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่
อย่างไหน ๆ เมื่อสามเณรเหล่านั้นตอบว่า ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่ ชื่อนี้ ชื่อนี้
สรรเสริญพระเถระว่า พระเถรผู้เป็นน้องชายของเรา แนะนำอย่างนี้ แม้กับ
สามเณรผู้ยังเล็ก ชื่อว่า ถึงเฉพาะแล้วซึ่งธรรมสมควรแก่ธรรมหนอ ดังนี้แล้ว
หลีกไป.
จบอรรถกถาขทิรวนิยเรวตเถรคาถา

3. สุมังคลเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสุมังคลเถระ


[180] ได้ยินว่า พระสุมังคลเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราพ้นดีแล้ว เราเป็นผู้พ้นดีแล้ว จากความ
ค่อมทั้ง 3 คือ เราพ้นแล้วจากการเกี่ยวข้าว จากการ
ไถนา จาลการถางหญ้า ถึงแม้ว่ากิจมีการเกี่ยวหญ้า
เป็นต้น จะอยู่ในที่ใกล้ ๆ เรานี่เอง แต่ก็ไม่สมควร
แก่เราทั้งนั้น ท่านจงเจริญฌานไปเถิดสุมังคละ จง
เจริญฌานไปเถิดสุมังคละ ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาท
อยู่เถิด สุมังคละ.

อรรถกถาสุมังคลเถรคาถา


คาถาของท่านพระสุมังคลเถระเริ่มต้นว่า สุมุตฺติโก. เรื่องราวของท่าน
เป็นมาอย่างไร ?
แม้พระเถระนั้น ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้า
องค์ก่อนๆ สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ไว้ในภพนั้น ๆ เกิดเป็น
รุกขเทวดา ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ
ในวันหนึ่ง เขาเห็นพระศาสดา สรงน้ำแล้วทรงจีวรผืนเดียว ยืนอยู่ มีใจโสมนัส
ปรบมือแล้ว.