เมนู

7. กุมาปุตตสหายเถร คาถา
ว่าด้วยคาถาของพระกุมาบุตรสหายเถระ


[174] ได้ยินว่า พระกุมาบุตรสหายเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่าง
นี้ว่า
ภิกษุทั้งหลายไม่สำรวม กาย วาจา ใจ พากัน
เที่ยวไปสู่ชนบทต่าง ๆ ทอดทิ้งสมาธิ การเที่ยวไปสู่
แคว้นต่าง ๆ จักสำเร็จประโยชน์อะไรเล่า เพราะฉะนั้น
ภิกษุพึงกำจัดความแข่งดี อย่าให้มิจฉาวิตกและกิเลส
มีตัณหาเป็นต้นครอบงำ พึงเจริญฌาน.

อรรถกถากุมาปุตตสหายเถรคาถา


คาถาของท่านพระกุมาบุตรสหายเถระ เริ่มต้นว่า นานาชนปทํ
ยนฺติ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ท่านมีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
เข้าไปสั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือน
มีตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ
ในกัปที่ 94 แต่ภัทรกัปนี้ ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว เข้าไปสู่ป่า ตัดท่อนไม้เป็น
อันมาก ทำไม้เท้าถวายสงฆ์. และเขาการทำบุญตามสมควรแก่สมบัติอย่างอื่น
(อีก) แล้วเกิดในหมู่เทพ จำเดิมแต่นั้นก็ท่องเที่ยวอยู่ในสุคติอย่างเดียวเท่านั้น

เกิดในตระกูลที่มั่งคั่ง ในเวฬุกัณฎกนคร ในพุทธุปบาทกาลนี้ เขาได้มีนามว่า
" สุทันตะ". อาจารย์บางพวกเรียกว่า "วาสุละ". เขาเป็นสหายรักของท่าน
พระกุมาบุตรเถระ (เคย) ท่องเที่ยว (มาด้วยกัน ) ฟังข่าวว่า กุมาบุตรกุมาร
บวชแล้ว คิดว่า ก็กุมาบุตรกุมารบวชแล้วในพระธรรมวินัยใด ธรรมวินัย
นั้นคงไม่ต่ำต้อยเป็นแน่ ดังนี้แล้ว ด้วยความผูกพันในท่านพระกุมาบุตรเถระ
ผู้เคยเป็นสหายรักนั้น ก็มีความประสงค์จะบวชแม้ด้วยตนเอง เข้าไปสู่สำนัก
ของพระบรมศาสดาแล้ว. พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมแก่เขาแล้ว เขาเกิดมี
ฉันทะในบรรพชาเหลือประมาณ บวชแล้ว เป็นผู้ขวนขวายในภาวนาอยู่ท้ายภูเขา
ร่วมกับพระกุมาบุตรเถระนั่นแหละ. ก็โดยสมัยนั้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน เที่ยว
จาริกไปยังชนบท ในชนบทต่าง ๆ ไปบ้าง มาบ้าง เข้าไปถึงที่นั้นแล้ว.
ด้วยเหตุนั้น จึงเกิดโกลาหลขึ้นที่ท้ายภูเขานั้น. พระสุทันตเถระเห็นดังนั้น ก็
เกิดความสลดใจว่า ภิกษุเหล่านี้ บวชในพระศาสนาที่เป็นนิยยานิกธรรม
ระเริงไปกับวิตกในชนบท ย่อมทำจิตที่เป็นสมาธิให้เคลื่อนคลาด กระทำความ
สังเวชนั้นแหละให้เป็นขอสับ ฝึกจิตของตนได้ภาษิตคาถาว่า
ภิกษุทั้งหลายไม่สำรวม กาย วาจา ใจ พากัน
เที่ยวไปสู่ชนบทต่าง ๆ ทอดทิ้งสมาธิ การเที่ยวไปสู่
แคว้นต่าง ๆ จักสำเร็จประโยชน์อะไรเล่า เพราะ
ฉะนั้น ภิกษุพึงกำจัดความแข่งดี อย่าให้มิจฉาวิตก
และกิเลส มีตัณหาเป็นต้นครอบงำ พึงเจริญฌาน
ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นานาชนปทํ ได้แก่ชนบทที่แตกต่างกัน
ลักษณะต่าง ๆ กัน. อธิบายว่า ได้แก่แคว้นเป็นอเนก มีแคว้นกาสี และ
แคว้นโกศลเป็นต้น.

บทว่า ยนฺติ แปลว่า ย่อมไป. บทว่า วิจรนฺตา ความว่า
เที่ยวจาริกไปสู่ชนบท ด้วยสามารถแห่งวิตก มีอาทิว่า ชนบทโน้นหาภิกษา
ได้ง่าย หาอาหารได้ง่าย ชนบทโน้นปลอดภัย ไม่มีโรค.
บทว่า อสญฺญตา ความว่า ชื่อว่ามีจิตไม่สำรวมแล้ว เพราะละไม่ได้
ซึ่งวิตกในชนบทนั้นนั่นแหละ.
บทว่า สมาธิญฺจ วิราเธนฺติ ความว่า และชื่อว่ายังสมาธิ อันต่าง
ด้วยอุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ อันเป็นพื้นฐานของอุตริมนุสธรรม
แม้ทั้งปวงให้เคลื่อนคลาด. จ ศัพท์ใช้ในอรรถ แห่งความสรรเสริญ. เมื่อไม่ได้
บรรลุสมาธิที่ยังไม่ได้บรรลุ เพราะไม่มีโอกาสเพื่อจะเพ่ง โดยมัวท่องเที่ยวไป
ระหว่างประเทศ ทั้งยังชื่อว่า ทำสมาธิที่ถึงแล้วให้เคลื่อนคลาด เพราะเสื่อมไป
โดยยังไม่ถึงความชำนาญ.
บทว่า สุ ในบาทคาถาว่า กึสุ รฏฺฐจริยา กริสฺสติ เป็นเพียง
นิบาต. พระเถระเมื่อจะตำหนิ จึงกล่าวว่า การท่องเที่ยวไปสู่แว่นแคว้น คือ
ท่องเที่ยวไปตามชนบท ของภิกษุผู้เป็นอย่างนี้ จักกระทำอะไรได้ คือ จักยัง
ประโยชน์อย่างไหนให้สำเร็จ เพราะเป็นสิ่งไร้ประโยชน์.
บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะการเที่ยวไปสู่ประเทศอื่นเช่นนี้ ย่อมไม่
นำประโยชน์มาให้แก่ภิกษุ ทั้งยังชื่อว่า นำซึ่งความฉิบหายมาให้โดยแท้แล
เพราะทำให้พลาดจากสมบัติทั้งหลาย.
บทว่า วิเนยฺย สารมฺภํ ความว่า กำจัดคือเข้าไปสงบระงับความ
แข็งดี อันได้แก่ความเศร้าหมองแห่งจิตที่บังเกิดขึ้น ด้วยสามารถแห่งความ
ยินดีในประเทศที่อยู่ ด้วยการพิจารณาอันสมควรแก่ความเศร้าหมองแห่งจิตนั้น.

บทว่า ฌาเยยฺย ความว่า พึงเพ่งด้วยฌานแม้ทั้งสองอย่าง คือ
อารัมมณูปนีชฌาน และลักขณูปนิชฌาน.
บทว่า อปุรกฺขโต ความว่า ไม่ยอมให้มิจฉาวิตก หรือกิเลสมีตัณหา
เป็นต้นครอบงำได้. อธิบายว่า ไม่เข้าไปสู่อำนาจแห่งกิเลสเหล่านั้น พึงกระทำ
ไว้ในใจ เฉพาะกรรมฐานอย่างเดียว.
ก็พระเถระครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว กระทำความสังเวชนั้นแหละให้เป็น
ขอสับ เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่าน
กล่าวไว้ในอปทานว่า
ครั้งนั้น เราเข้าไปยังป่าใหญ่ ตัดเอาไม้ไผ่มา
ทำเป็นไม้เท้า ถวายแด่พระสงฆ์ เรากราบไหว้ท่าน
ผู้มีวัตรอันงาม ด้วยจิตเลื่อมใสนั้น เราถวายไม้เท้าแล้ว
เดินบ่ายหน้าไปทางทิศอุดร ในกัปที่ 94 แต่ภัทรกัปนี้
เราได้ถวายไม้เท้าใดในกาลนั้น ด้วยการถวายไม้เท้า
นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายไม้เท้า
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระ-
พุทธเจ้า เราทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระเถระนี้ กระทำเนื้อความใดให้เป็นขอสับ บรรลุพระอรหัตแล้ว
ท่านตั้งใจเฉพาะเนื้อความนี้เท่านั้น ถึงบรรลุพระอรหัตแล้ว ก็ได้กล่าว
คาถานี้แหละ. เพราะเหตุนั้น การกล่าวคาถานั้นแหละ จึงเป็นการพยากรณ์
พระอรหัตของพระเถระนั้น ฉะนี้แล.
จบอรรถกถากุมาปุตตสหายเถรคาถา

8. ควัมปติเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระควัมปติเถระ


[175] ได้ยินว่า พระควัมปติเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พากันนอบน้อม
พระควัมปติ ผู้ห้ามแม่น้ำสรภูให้หยุดไหลได้ด้วยฤทธิ์
ไม่ติดอยู่ในกิเลส และตัณหาไร ๆ ไม่หวั่นไหวต่อสิ่ง
อะไรทั้งสิ้น เป็นผู้ผ่านพ้นเครื่องข้องทั้งปวง เป็น
มหามุนี ผู้ถึงฝั่งแห่งภพ.

อรรถกถาควัมปติเถรคาถา


คาถาของท่านพระควัมปติเถระเริ่มต้นว่า โย อิทฺธิยา สรภุํ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ท่านเป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ ในกัปที่ 31 แต่ภัทรกัปนี้ เห็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า สิขี
มีใจเลื่อมใส ได้ทำการบูชาด้วยดอกไม้. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านบังเกิดใน
เทวโลก กระทำบุญไว้มากอย่าง ให้สร้างฉัตร และไพรที ไว้บนเจดีย์ของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า โกนาคมนะ. ก็ท่านบังเกิดในเรือนมี
ตระกูลแห่งใดแห่งหนึ่ง ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า
กัสสปะ. ก็ในตระกูลนั้น ได้มีฝูงโคเป็นอันมาก. พวกนายโคบาลก็เฝ้ารักษา