เมนู

6. กุมาปุตตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระกุมาบุตรเถระ


[173] ได้ยินว่า พระกุมาบุตรเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
การฟังเป็นความดี ความประพฤติมักน้อยเป็น
ความดี การอยู่โดยไม่ห่วงใยเป็นความดีทุกเมื่อ การ-
ถามสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นความดี การทำตามโอวาท
โดยเคารพ เป็นความดี กิจมีการฟังเป็นต้นนี้ เป็น
เครื่องสงบของผู้ไม่มีกังวล.


อรรถกถากุมาปุตตเถรคาถา


คาถาของท่านพระกุมาบุตรเถระ เริ่มต้นว่า สาธุ สุตํ. เรื่องราวของ
ท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ท่านเป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้ เป็นดาบสผู้นุ่งห่มหนึ่งเสือ อยู่ในราช
อุทยาน ณ พันธุมตีนคร เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี
เป็นผู้มีใจเลื่อมใสแล้ว ได้ถวายน้ำมันสำหรับนวดพระบาท.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านบังเกิดในเทวโลก. จำเดิมแต่นั้นมา ท่านก็
ท่องเที่ยวอยู่ เฉพาะในสุคติภพเท่านั้น บังเกิดในตระกูลคหบดี ในเวฬุกัณฏก-
นคร แคว้นอวันตี ในพุทธุปบาทกาลนี้. คนทั้งหลายได้ขนานนามเขาว่า

นันทะ. ส่วนมารดาของนันทกุมารนี้ ชื่อว่า กุมา. ด้วยเหตุนั้น เขาจึงมี
ชื่อปรากฏว่า กุมาปุตตะ. เขาฟังธรรมในสำนักของท่านพระสารีบุตร ได้ความ
เลื่อมใสแล้วบวช กระทำบุรพกิจเสร็จแล้ว บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่ท้ายภูเขา
ไม่สามารถจะยังคุณพิเศษให้เกิดขึ้นได้ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ฟังธรรม
ชำระกรรมฐานแล้ว อยู่ในที่ ๆ เป็นสัปปายะ ยังวิปัสสนาให้เจริญแล้ว
กระทำให้แจ้งพระอรหัต. สมดังคาถาประพันธ์ ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราอยู่ใกล้พระราชอุทยาน ในพระนครพันธุมดี
ครั้งนั้นเรานุ่งหนังเสือเหลือง ถือคณโฑน้ำ เราได้พบ
พระสยัมภูพุทธเจ้า ผู้ปราศจากกิเลสธุลี ผู้ไม่ทรงพ่าย
แพ้อะไร ๆ มีความเพียรเผากิเลส มีพระหฤทัยแน่ว
แน่ มีปกติเพ่งพินิจ ยินดีในฌาน เป็นนักบวชผู้สำเร็จ
ความประสงค์ทั้งปวง ข้ามพ้นโอฆะแล้ว ไม่มีอาสวะ
ครั้นเราพบแล้วก็เลื่อมใสโสมนัส ได้ถวายน้ำมัน
สำหรับนวด. ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวาย
น้ำมันสำหรับนวด ด้วยทานนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งน้ำมันสำหรับนวด. เราเผากิเลสทั้งหลาย
แล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำสำเร็จ
แล้ว
ดังนี้.
ก็ครั้นท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว เห็นภิกษุทั้งหลายมีร่างกายกำยำ
ล่ำสันเป็นอันมาก ในป่า กล่าวสอนภิกษุเหล่านั้นอยู่ เมื่อจะประกาศความที่
พระศาสนาเป็นนิยยานิกธรรม จึงได้ภาษิตคาถาว่า

การฟังเป็นความดี ความประพฤติมักน้อยเป็น
ความดี การอยู่โดยไม่มีห่วงใย เป็นความดีทุกเมื่อ
การถามสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นความดี การทำตาม
โอวาทโดยเคารพ เป็นความดี กิจมีการฟังเป็นต้นนี้
เป็นเครื่องสงบของผู้ไม่มีกังวล ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาธุ แปลว่า เป็นความดี. บทว่า สุตํ
แปลว่า การฟัง. ก็ฟังกถาวัตถุ 10 อันปฏิสังยุตด้วยความเป็นผู้มีความปรารถนา
น้อยเป็นต้น โดยพิเศษอันเข้าไปอาศัยพระนิพพานนั้นแล ท่านประสงค์เอา
แล้วในคาถานี้.
บทว่า สาธุ จริตกํ ความว่า ความประพฤติมีความมักน้อยเป็นต้น
นั้นแหละ ที่ประพฤติแล้ว เป็นความดี อธิบายว่า ความประพฤติดีนั้นแหละ
ท่านเรียกว่า จริตกะ. พระเถระแสดงพาหุสัจจะ และความปฏิบัติอันสมควร
แก่พาหุสัจจะนั้น ว่าเป็นความดี แม้ด้วยบททั้งสอง.
บทว่า สทา ความว่า ในกาลทั้งปวง คือในกาลที่เป็นพระนวกะ
มัชฌิมะ และเถระ หรือในขณะแห่งอิริยาบถทั้งปวง.
บทว่า อนิเกตวิหาโร ความว่า กามคุณ 5 หรือธรรมคืออารมณ์
6 อันเป็นโลกิยะ ชื่อว่า นิเกตะ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้ง โดยเป็นที่อยู่อาศัย
ของกิเลสทั้งหลาย. เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า ดูก่อนคฤหบดี ผู้ที่มีความ
ผูกพันในเบญจกามคุณที่มีรูปเป็นนิมิต อย่างกว้างขวาง เรากล่าวว่า นิเกตสารี
ดังนี้เป็นอาทิ ข้อปฏิบัติเพื่อจะละเบญจกามคุณเหล่านั้น ชื่อว่า อนิเกตวิหาโร.
บทว่า อตฺถปุจฺฉนํ ความว่า การถามของผู้ที่อยากจะรู้ความนั้น
เข้าไปหากัลยาณมิตร แล้วถามถึงประโยชน์ อันต่างด้วยทิฎฐธัมมิกประโยชน์

สัมปรายิกประโยชน์ และปรมัตถประโยชน์ หรือการถามถึงประโยชน์ของ
สภาวธรรม ต่างโดยกุศลเป็นต้น โดยนัยมีอาทิว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อะไร
เป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ ดังนี้ ชื่อว่า การ
ถามสิ่งที่เป็นประโยชน์.
บทว่า ปทกฺขิณกมฺมํ ความว่า ก็ครั้นถามสิ่งที่เป็นประโยชน์นั้น
แล้ว ตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน โดยความเคารพ ชื่อว่า เป็นการปฏิบัติชอบ.
บทว่า สาธุ แม้ในคาถานี้พึงนำมาประกอบเข้าด้วย.
บทว่า เอตํ สามญฺญํ ความว่า การฟังใดที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยมี
อาทิว่า สาธุ สุตํ ดังนี้ ก็ดี ความประพฤติมักน้อยใดก็ดี การอยู่โดย
ไม่มีห่วงใยใดก็ดี การถามสิ่งที่เป็นประโยชน์ใดก็ดี การกระทำตามโอวาท
โดยเคารพใดก็ดี นี้เป็นเครื่องหมายของสมณะ คือ บ่งถึงความเป็นสมณะ.
เพราะความเป็นสมณะ ย่อมมีด้วยปฏิปทานี้เท่านั้น ไม่มีด้วยปฏิปทาอื่น ฉะนั้น
บทว่า สามญฺญํ จึงเป็นชื่อของมรรคและผลโดยตรง. ก็หรือข้อปฏิบัตินี้
ชื่อว่า อปัณณกปฏิปทา (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด) สำหรับภิกษุนั้น. ก็คุณคือ
เครื่องหมายแห่งความเป็นสมณะนี้นั้น ย่อมเกิดมีแก่ภิกษุเช่นใด เพื่อจะแสดง
ภิกษุเช่นนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อกิญฺจนสฺส (ผู้ไม่มีกังวล) ดังนี้ ได้แก่
ผู้ไม่เข้าไปยึดถือเกี่ยวข้อง อธิบายว่า เว้นจากการถือครอบครองสมบัติ
มี นา สวน เงิน ทอง ทาสี และทาสเป็นต้น.
จบอรรถกถากุมาปุตตเถรคาถา

7. กุมาปุตตสหายเถร คาถา
ว่าด้วยคาถาของพระกุมาบุตรสหายเถระ


[174] ได้ยินว่า พระกุมาบุตรสหายเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่าง
นี้ว่า
ภิกษุทั้งหลายไม่สำรวม กาย วาจา ใจ พากัน
เที่ยวไปสู่ชนบทต่าง ๆ ทอดทิ้งสมาธิ การเที่ยวไปสู่
แคว้นต่าง ๆ จักสำเร็จประโยชน์อะไรเล่า เพราะฉะนั้น
ภิกษุพึงกำจัดความแข่งดี อย่าให้มิจฉาวิตกและกิเลส
มีตัณหาเป็นต้นครอบงำ พึงเจริญฌาน.

อรรถกถากุมาปุตตสหายเถรคาถา


คาถาของท่านพระกุมาบุตรสหายเถระ เริ่มต้นว่า นานาชนปทํ
ยนฺติ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ท่านมีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
เข้าไปสั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือน
มีตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ
ในกัปที่ 94 แต่ภัทรกัปนี้ ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว เข้าไปสู่ป่า ตัดท่อนไม้เป็น
อันมาก ทำไม้เท้าถวายสงฆ์. และเขาการทำบุญตามสมควรแก่สมบัติอย่างอื่น
(อีก) แล้วเกิดในหมู่เทพ จำเดิมแต่นั้นก็ท่องเที่ยวอยู่ในสุคติอย่างเดียวเท่านั้น