เมนู

2. จิตตกเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระจิตตกเถระ


[159] ได้ยินว่า พระจิตตกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
นกยูงทั้งหลายมีขนเขียว ขนคองาม หงอน
งาม พากันร่ำร้องอยู่ในป่าการวี นกยูงเหล่านั้น
พากันร่ำร้องในเวลามีลมหนาว เจือด้วยฝน ย่อมปลุก
บุคคลผู้เจริญฌานซึ่งหลับอยู่ให้ดิน.

อรรถกถาจิตตกเถรคาถา


คาถาของท่านพระจิตตกเถระเริ่มต้นว่า นีลา สุคีวา. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ท่านสั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน จำเดิมแต่
กาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ในกัปที่ 91 นับ
แต่ภัทรกัปนี้ เกิดในกำเนิดมนุษย์ รู้เดียงสาเสียแล้ว เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า วิปัสสี มีใจเลื่อมใสแล้ว กระทำการบูชาด้วยดอกไม้ ถวาย
บังคมแล้ว น้อมใจเชื่อในพระบรมศาสดาและในพระนิพพานว่า ขึ้นชื่อว่า
ธรรมอันสงบระงับแล้ว พึงมีในพระศาสนานี้ ดังนี้. ด้วยบุญกรรมนั้น เขา
จุติจากนั้นแล้ว เกิดในภพดาวดึงส์ หมั่นการทำบุญบ่อย ๆ ท่องเที่ยวไปใน
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย แล้วเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ ผู้สมบูรณ์ด้วยสมบัติ
ในพระนครราชคฤห์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ โดยนามมีชื่อว่า จิตตกะ เมื่อ
พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปสู่พระนครราชคฤห์ ประทับอยู่ในเวฬุวันวิหาร

เขาเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ฟังธรรมแล้วได้ศรัทธา บรรพชาแล้วเรียน
กัมมัฏฐาน ที่เหมาะแก่จริต เข้าไปสู่ราวป่า หมั่นเจริญภาวนาทำฌาน
ให้เกิด แล้วเจริญวิปัสสนาที่มีฌานเป็นบาท บรรลุพระอรหัต โดยกาล
ไม่นานเลย. สมดังคาถาประพันธ์ ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี ทรงพระ-
นามว่า วิปัสสี ผู้เป็นนายกของโลก โชติช่วงเหมือนต้น
กรรณิการ์ ประทับนั่งที่ซอกเขา เราเก็บดอกกระดึง
ทอง 3 ดอกมาบูชา ครั้นบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วเดินบ่ายหน้าไปทางทิศทักษิณ ด้วยกรรมที่ทำไว้
ดีแล้วนั้น และด้วยเจตน์จำนงที่ตั้งไว้ เราละร่าง
มนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในกัปที่ 91
แต่ภัทรกัปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ด้วย
พุทธบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธ-
บูชา. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของ
พระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็ท่านครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เข้าไปสู่พระนครราชคฤห์ เพื่อ
ถวายบังคมพระบรมศาสดา อันภิกษุทั้งหลายในวิหารนั้น ถามว่า อาวุโส
ท่านเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว อยู่ในป่าหรือ ? เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล
โดยประกาศถึงการอยู่อย่างไม่ประมาทของตน จึงได้ภาษิตคาถาว่า
นกยูงทั้งหลาย มีขนเขียว ขนคองาม พากัน
ร่ำร้องอยู่ในป่าการวี นกยูงเหล่านั้น พากันร่ำร้อง
ในเวลามีลมหนาวเจือด้วยฝน ย่อมปลุกบุคคลผู้เจริญ
ฌาน ซึ่งหลับอยู่ให้ตื่น ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นีลาสุคีวา ถอดออกเป็น นีลสุคีวา.
แต่ในคาถานี้ ท่านทำเป็นทีฆะ เพื่อสะดวกในการประพันธ์คาถา. อธิบายว่า
ประกอบด้วยคออันงดงาม เพราะมีขนเป็นแนวยาว. ก็นกยูงเหล่านั้น ชื่อว่า
มีสีเขียว เพราะโดยมากจะมีสีเขียว. ชื่อว่า สุคีวา เพราะเป็นสัตว์ที่มีลำคองาม.
บทว่า สิขิโน ความว่า มีหงอนโดยความมีสิริงามที่หงอน ซึ่งเกิดที่
ศีรษะ. บทว่า โมรา ได้แก่ นกยูงทั้งหลาย. บทว่า การวิยํ ความว่า
ที่ต้นกาลัมพะ. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า การมฺพิยํ เป็นชื่อของป่านั้น. เพราะฉะนั้น
บทว่า การมฺพิยะ จึงได้ความว่า ในป่าชื่อว่า การัมพะ.
บทว่า อภินนฺทนฺติ ความว่า นกยูงเหล่านั้นฟังเสียงฟ้าร้อง ใน
เวลาใกล้ฝนจะตก จะพากันส่งเสียงร้องระงม ดุจจะข่มสรรพสัตว์ มีหงส์เป็นต้น
ด้วยเสียงประสานขานรับความถึงพร้อมของฤดูกาล. บทว่า เต ได้แก่
นกยูงเหล่านั้น.
บทว่า สีตวาตกีฬิตา ความว่า นกยูงเหล่านั้น อันความหนาว
คือลมฝน โชยมาชวนให้ร่าเริง จึงร้องระงมอย่างไพเราะ.
บทว่า สุตฺตํ ได้แก่ หลับเพื่อจะบรรเทาความเมาอาหาร หรือหลับ
เพื่อระงับความเหมื่อยล้าแห่งร่างกาย ในเวลาที่ทรงอนุญาตไว้.
บทว่า ฌานํ ความว่า ผู้มีปกติเพ่งด้วยฌานคือสมถะและวิปัสสนา
ได้แก่ประกอบเนือง ๆ ซึ่งภาวนา.
บทว่า นิโพเธนฺติ ความว่า ปลุกให้ตื่น. อธิบายว่า ปลุกให้ลุกจาก
ที่นอน ด้วยการยังสัมปชัญญะให้เกิดอย่างนี้ว่า แม้นกยูงเหล่านี้ ยังไม่นอน
ตื่นอยู่ ย่อมกระทำกิจที่คนควรกระทำ ส่วนตัวเราเล่า จะนอนเอาประโยชน์อะไร
ดังนี้.
จบอรรถกถาจิตตกเถรคาถา

3. โคสาลเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระโคสาลเถระ


[160] ได้ยินว่า พระโคสาลเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราฉันข้าวมธุปายาส ที่พุ่มกอไผ่ แล้วพิจารณา
ความเกิดและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย โดย
เคารพ จักกลับไปสู่สานุบรรพตที่เราเคยอยู่ แล้วเจริญ
วิเวกต่อไป.

อรรถกถาโคสาลเถรคาถา


คาถาของท่านพระโคสาลเถระเริ่มต้นว่า อหํ โข เวฬุคุมฺพสฺมึ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้า
องค์ก่อน ๆ สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานในภพนั้น ๆ ในกัปที่
91 แต่ภัทรกัปนี้ เห็นบังสุกุลจีวรของพระปัจเจกพุทธเจ้า ห้อยอยู่ที่โคนไม้
ที่ภูเขาลูกใดลูกหนึ่ง มีจิตเลื่อมใสว่า ผ้าบังสุกุลนี้ เป็นธงชัยของพระอรหันต์
หนอ ดังนี้แล้ว บูชาด้วยดอกไม้. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านไปบังเกิดในดาวดึงส์
พิภพ. จำเดิมแต่นั้น ก็ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดใน
ตระกูลที่มั่งคั่ง แคว้นมคธ ในพุทธุปบาทกาลนี้ โดยนามมีชื่อว่า โคสาล
ก็เพราะเหตุที่ท่านมีความคุ้นเคย อันการทำไว้กับพระโสณโกฏิกัณณะ ครั้น
สดับว่า พระโสณโกฏิกัณณะนั้นบวชแล้ว เกิดความสลดใจว่า ก็ขึ้นชื่อว่า