เมนู

เถรคาถา เอกนิบาตวรรคที่ 3


1. นิโครธเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระนิโครธเถระ


[158] ได้ยินว่า พระนิโครธเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราไม่กลัวภัย พระศาสดาของเราทั้งหลาย เป็น
ผู้ฉลาดในธรรมอันไม่ตาย ภัยย่อมไม่ตั้งอยู่ในหน
ทางใด ภิกษุทั้งหลาย ย่อมไป โดยหนทางนั้น.

วรรควรรณนาที่ 3


อรรถกถานิโครธเถรคาถา


คาถาของท่านพระนิโครธเถระเริ่มต้นว่า นาหํ ภยสฺส ภายามิ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ในกัปที่ 118 นับแต่ภัทรกัปนี้ ท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์
มหาศาล เจริญวัยแล้ว เห็นโทษในกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในการออกบวช
ละสิ่งผูกพันในเรือน เข้าไปสู่ราวป่า กระทำบรรณศาลาในหมู่ไม้สาละในป่า
บวชเป็นดาบส มีมูลผลาผลในป่าเป็นอาหารอยู่.
สมัยนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปิยทัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
ในโลก ทรงยังความเร่าร้อน คือกิเลส ของโลกพร้อมทั้งเทวโลก ให้ดับได้

ด้วยสามารถแห่งน้ำอมฤต คือ พระธรรม วันหนึ่ง ด้วยมีพุทธประสงค์จะทรง
อนุเคราะห์ดาบส จึงเสด็จเข้าไปสู่หมู่ไม้สาละนั้น ประทับนั่งแล้ว เข้านิโรธ-
สมาบัติ.
ดาบสเดินไปหามูลผลาผลในป่า เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว มีใจ
เลื่อมใส ถือเอากิ่งรังซึ่งมีดอกบานสะพรั่งทำเป็นปะรำกิ่งไม้ คลุมปะรำนั้น
ทั้งหมด ด้วยดอกรังล้วน ๆ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ไม่ออกไปหา
อาหาร ยืนนมัสการอยู่แล้ว ด้วยอำนาจแห่งปีติและโสมนัสนั้นเอง พระศาสดา
เสด็จออกจากนิโรธแล้ว เพื่อจะทรงอนุเคราะห์ดาบสนั้น จึงทรงพระดำริว่า
ขอภิกษุสงฆ์จงมา โดยมีพุทธประสงค์ว่า ดาบสจักยังจิตให้เลื่อมใสแม้ในพระ-
ภิกษุสงฆ์ ดังนี้. ภิกษุสงฆ์มาแล้วในทันใดนั้นเอง แม้ดาบสเห็นภิกษุสงฆ์แล้ว
มีใจเลื่อมใส ไหว้แล้วประคองอัญชลียืนอยู่แล้ว.
พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศสมบัติอันเป็นส่วนของดาบสนั้น
โดยทรงอ้างถึงการทำความแย้มให้ปรากฏ ทรงแสดงธรรมแล้วหลีกไปพร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์ ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานเป็นอันมาก แล้วบังเกิดในตระกูล
พราหมณ์มหาศาล ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้ เขาได้มีนามว่า
นิโครธ. เขาเกิดความเลื่อมใส ด้วยการเห็นพุทธานุภาพ ในวันที่ทรงรับ
พระวิหารเชตวัน บวชแล้วปรารภวิปัสสนา ได้เป็นผู้มีอภิญญา 6 โดยกาล
ไม่นานเลย. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราเข้าสู่ป่ารัง สร้างอาศรมอย่างงดงาม มุงบัง
ด้วยดอกรัง ครั้งนั้น เราอยู่ในป่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้เป็นสยัมภู เอกอัครบุคคล ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
พระนามว่า ปิยทัสสี ทรงพระประสงค์ความสงัด จึง

ได้เสด็จเข้าสู่ป่ารัง เราออกจากอาศรมในป่า เที่ยว
แสวงหามูลผลาผลป่า ในเวลานั้น ณ ที่นั้น เราได้เห็น
พระสัมพุทธเจ้า พระนามว่า ปิยทัสสี ผู้มีพระยศใหญ่
ประทับนั่ง เข้าสมาบัติ รุ่งโรจน์อยู่ในป่าใหญ่ เรา
ปักเสา 4 เสาทำปะรำอย่างเรียบร้อย แล้วเอาดอกรัง
มุงเหนือพระพุทธเจ้า เราทรงปะรำซึ่งมุงด้วยดอกรังไว้
7 วัน ยังจิตให้เลื่อมใสในกรรมนั้น ได้ถวายบังคม
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด สมัยนั้น พระผู้มีพระภาค-
เจ้าผู้อุดมบุรุษ เสด็จออกจากสมาธิประทับนั่ง ทอด-
พระเนตรดูเพียงชั่วแอก สาวกของพระศาสดา พระ
นามว่า ปิยทัสสี ชื่อว่า วรุณ กับพระอรหันตขีณาสพ
แสนองค์ ได้เข้ามาเฝ้าพระบรมศาสดา ผู้เป็นนายก
วิเศษสุด ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้พิชิตมาร พระ-
นามว่า ปิยทัสสี เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่า
นรชน ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์แล้ว ได้ทรง
กระทำการแย้มพระสรวลให้ปรากฏ พระอนุรุทธเถระ
ผู้อุปัฏฐาก ของพระศาสดาพระนามว่า ปิยทัสสี ห่ม
จีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูลถามพระมหามุนีว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า อะไรเล่าหนอ เป็นเหตุให้
พระศาสดาทรงแย้มพระสรวลให้ปรากฏ เพราะเมื่อมี
เหตุ พระศาสดาจึงจะทรงแย้มพระสรวลให้ปรากฏ
พระศาสดาตรัสว่า มาณพใดทรงปะรำที่มุงด้วยดอกไม้
ไว้ตลอด 7 วัน เรานึกถึงกรรมของมาณพนั้น จึงได้

ทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ เราไม่พิจารณาเห็นช่องทาง
ที่ไม่ควรที่บุญจะไม่ให้ผล ช่องทางที่ควรในเทวโลก
หรือในมนุษยโลก ย่อมไม่ระงับไปเลย เขาผู้เพรียบ-
พร้อมด้วยบุญกรรมอยู่ ในเทวโลกมีบริษัทเท่าใด
บริษัทเท่านั้นจักถูกบังด้วยดอกรัง เขาเป็นผู้ประกอบ
ด้วยบุญกรรม จักรื่นเริงอยู่ในเทวโลกนั้น ด้วยการ
ฟ้อน การขับ การประโคม อันเป็นทิพย์ในกาลนั้น
ทุกเมื่อ บริษัทของเขาประมาณเท่าที่มี จักมีกลิ่น
หอมฟุ้ง และฝนดอกรังจักตกลงทั่วไปในขณะนั้น
มาณพนี้จุติจากเทวโลกแล้วจักมาสู่ความเป็นมนุษย์แม้
ในมนุษยโลกนี้ หลังคาดอกรังก็จักทรงอยู่ตลอดกาล
ทั้งปวง ณ มนุษยโลกนี้ การฟ้อน และการขับที่
ประกอบไปด้วยกังสดาล จักแวดล้อมมาณพนี้อยู่เป็น-
นิตย์ นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา และเมื่อพระอาทิตย์อุทัย
ฝนดอกรังก็จัดตกลง ฝนดอกรังที่บุญกรรมปรุงแต่ง
แล้ว จักตกลงทุกเวลา ในกัปที่ 1,800 พระศาสดา
ทรงพระนามว่า โคดม ซึ่งสมภพในวงศ์ของพระเจ้า
โอกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก มาณพนี้จักเป็น
ทายาทในธรรมของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรส
อันธรรมเนรมิต จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มี
อาสวะจักนิพพาน เมื่อเขาตรัสรู้ธรรมอยู่ จักมีหลังคา
ดอกรัง เมื่อลูกทำฌาปนกิจอยู่ บนเชิงตะกอน ที่เชิง
ตะกอนนั้น ก็จักมีหลังคาดอกรัง พระมหามุนี ทรง

พระนามว่า ปิยทัสสี ทรงพยากรณ์วิบากแล้ว ทรง
แสดงธรรมแก่บริษัท ให้อิ่มหนำด้วยฝน คือ ธรรม
เราได้เสวยราชสมบัติ ในเทวโลก ในหมู่เทวดา 30 กัป
ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 67 ครั้ง เราออกจากเทวโลก
มาในมนุษยโลกนี้ ได้ความสุขอันไพบูลย์ แม้ใน
มนุษยโลกนี้ ก็มีหลังคาดอกรัง นี้เป็นผลแห่งปะรำ
นี้เป็นความเกิดครั้งหลังของเรา ภพสุดท้ายกำลัง
เป็นไป แม้ในภพนี้ หลังคาดอกรังก็จักมีตลอดกาล
ทั้งปวง เรายังพระมหามุนีทรงพระนามว่า โคดม
ผู้ประเสริฐกว่าศากยราชให้ทรงยินดีได้ ละความมีชัย
และความปราชัยเสียแล้ว บรรลุถึงฐานะที่ไม่หวั่นไหว
ในกัปที่ 118 เราได้บูชาพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ด้วย
พุทธบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง
พุทธบูชา เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพขึ้นได้
หมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกดังช้างตัดเชือกแล้ว เป็น
ไม่มีอาสวะอยู่ การที่เราได้มาในสำนักของพระ-
พุทธเจ้าของเรานี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา 3
เราได้บรรลุแล้วโดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้า
เราได้ทำสำเร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา 4
วิโมกข์ 8 และอภิญญา 6 เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำ
สอนของพระพุทธเจ้า เราทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็ท่านเป็นผู้มีอภิญญา 6 อย่างนี้ ยังคืนและวันให้ล่วงไปด้วยผลสุข
เพื่อจะประกาศความที่พระศาสนาเป็นนิยยานิกธรรม โดยเป็นการพยากรณ์
พระอรหัตผล จึงภาษิตคาถาว่า

เราไม่กลัวภัย พระศาสดาของพวกเราทั้งหลาย
เป็นผู้ฉลาดในธรรมอันไม่ตาย ภัยย่อมไม่ตั้งอยู่ในหน
ทางใด ภิกษุทั้งหลาย ย่อมไป โดยหนทางนั้น ดังนี้.

ในคาถานั้น ที่ชื่อว่า ภัย เพราะเป็นแดงแห่งความกลัว ได้แก่
ชาติและชราเป็นต้น. บทว่า ภยสฺส เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ลงในอรรถแห่งปัญจมี-
วิภัตติ อธิบายว่า เราไม่กลัว นิมิตอันพึงกลัวโดยเป็นภัย ด้วยเหตุมีชาติ
ชราและมรณะเป็นต้น พระเถระกล่าวถึงเหตุไว้ในคาถานั้นว่า สตฺถา โน
อมตสฺส โกวิโท
พระศาสดาของพวกเราทั้งหลายเป็นผู้ฉลาด ในธรรมอัน
ไม่ตาย คือ พระศาสดา ของพวกเราทั้งหลาย เป็นผู้ฉลาดในอมตธรรม
ได้แก่ ฉลาดในการให้ธรรมที่เป็นอมฤต แก่ไวเนยสัตว์ทั้งหลาย. บทว่า
ยตฺถ ภยํ นาวติฏฐติ ความว่า ภัยตามที่กล่าวแล้ว ย่อมไม่ตั้งอยู่ คือ
ไม่ได้โอกาสในพระนิพพานใด.
บทว่า เตน ได้แก่ พระนิพพานนั้น. บทว่า วชนฺติ ความว่า
ย่อมถึงที่ ๆ เป็นภัยทีเดียว. อธิบายว่า พระนิพพาน ชื่อว่าที่ ๆ ไม่มีภัย. ถามว่า
ด้วยเหตุไร พระเถระจึงกล่าวว่า วชนฺติ ย่อมไป ตอบว่า เพราะว่า
ภิกษุทั้งหลายย่อมไปโดยทางนั้น อธิบายว่า ภิกษุทั้งหลาย คือผู้ที่เห็นภัยใน
สงสาร ผู้การทำตามโอวาทของพระบรมศาสดา ย่อมไป โดยทางของพระ-
อริยเจ้ามีองค์ 8. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ยตฺถ ความว่า ภัยแม้ทั้ง 25 อย่าง
มีการเข้าไปตำหนิตนเองเป็นต้น ย่อมไม่ตั้งลง คือ ไม่ได้ที่พำนัก เพราะ
การบรรลุอริยมรรคใด ภิกษุในพระศาสนา ย่อมไปสู่ที่ ๆ ไม่มีภัย ด้วยอริย-
มรรคนั้น แม้เราเองก็ไปแล้วโดยทางนั้น. เพราะเหตุนั้น พระเถระจึงพยากรณ์
พระอรหัตว่า เราไม่กลัวภัย ดังนี้.
จบอรรถกถานิโครธเถรคาถา

2. จิตตกเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระจิตตกเถระ


[159] ได้ยินว่า พระจิตตกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
นกยูงทั้งหลายมีขนเขียว ขนคองาม หงอน
งาม พากันร่ำร้องอยู่ในป่าการวี นกยูงเหล่านั้น
พากันร่ำร้องในเวลามีลมหนาว เจือด้วยฝน ย่อมปลุก
บุคคลผู้เจริญฌานซึ่งหลับอยู่ให้ดิน.

อรรถกถาจิตตกเถรคาถา


คาถาของท่านพระจิตตกเถระเริ่มต้นว่า นีลา สุคีวา. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ท่านสั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน จำเดิมแต่
กาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ในกัปที่ 91 นับ
แต่ภัทรกัปนี้ เกิดในกำเนิดมนุษย์ รู้เดียงสาเสียแล้ว เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า วิปัสสี มีใจเลื่อมใสแล้ว กระทำการบูชาด้วยดอกไม้ ถวาย
บังคมแล้ว น้อมใจเชื่อในพระบรมศาสดาและในพระนิพพานว่า ขึ้นชื่อว่า
ธรรมอันสงบระงับแล้ว พึงมีในพระศาสนานี้ ดังนี้. ด้วยบุญกรรมนั้น เขา
จุติจากนั้นแล้ว เกิดในภพดาวดึงส์ หมั่นการทำบุญบ่อย ๆ ท่องเที่ยวไปใน
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย แล้วเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ ผู้สมบูรณ์ด้วยสมบัติ
ในพระนครราชคฤห์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ โดยนามมีชื่อว่า จิตตกะ เมื่อ
พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปสู่พระนครราชคฤห์ ประทับอยู่ในเวฬุวันวิหาร