เมนู

อรรถกถาวนวัจฉสามเถรคาถา*


คาถาของวนวัจฉสามเณร เริ่มต้นว่า อุปชฺฌาโย. เรื่องราวของท่าน
เป็นมาอย่างไร ?
ได้ยินว่า ในกัปที่ 31 แต่ภัทรกัปนี้ ท่านเกิดในเรือนแห่งตระกูลในกาล
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า เวสสภู วันหนึ่งเข้าสู่ป่าด้วยกรณียกิจ
บางอย่าง เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนานว่า เวสสภู ประทับนั่งอยู่ ณ
ซอกภูเขาในป่านั้น มีจิตเลื่อมใส เข้าไปเฝ้าถวายบังคมแล้ว ประคองอัญชลี
ยืนอยู่แล้ว. เขาเห็นผลไม้มะรื่น น่าชื่นใจ ในป่านั้น จึงเก็บเอาผลมะรื่น
เหล่านั้นน้อมเข้าไปถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าอีก. พระผู้มีพระภาคเจ้า อาศัย
ความอนุเคราะห์ จึงทรงรับไว้.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อ
ผู้เป็นลุงบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสปะ ก็
บวชพร้อมกับลุง สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน เป็นอันมาก
แล้วเกิดเป็นหลานของพระวนวัจฉเถระ ในพุทธุปบาทกาลนี้. ท่านได้นาม
ว่า สิวกะ เมื่อพระวนวัจฉเถระ ผู้เป็นที่ชอบของตน บวชในศาสนาแล้ว
ถึงที่สุดแห่งกิจของบรรพชิตแล้ว พำนักอยู่ในป่า มารดาของท่านฟังความ
เป็นไปนั้นแล้ว พูดกะบุตรว่า พ่อสีวกะ เจ้าจงบวชในสำนักของพระเถระ
เดี๋ยวนี้ พระเถระแก่แล้ว. เพราะคำพูดของมารดาเพียงคำเดียวเท่านั้น และ
เพราะอธิการ ที่ตนเคยทำไว้ในกาลก่อน ท่านจึงไปยังสำนักของพระเถระผู้
เป็นลุง บวชแล้ว บำรุงพระเถระ อาศัยอยู่ในป่า.
วันหนึ่ง เมื่อท่านไปสู่ท้ายบ้านด้วยกรณียกิจบางอย่าง เกิดอาพาธอย่าง
หนัก. แม้เมื่อผู้คนช่วยจัดยาถวาย อาพาธก็ไม่สงบ. เมื่อท่านชักช้าอยู่
* ฉบับพม่าเป็น สิวกสามเณร.

พระเถระคิดว่า สามเณรประพฤติล้าช้า จะมีเหตุอะไรหนอ ดังนี้ จึงไปที่ท้าย
บ้านนั้น เห็นท่านป่วย จึงการทำสิ่งที่ควรกระทำนั้น ๆ แก่ท่าน ยังส่วนแห่ง
วันให้ล่วงไปแล้ว ในเวลาใกล้รุ่ง ตอนกลางคืน จึงพูดว่า ดูก่อนสิวกะ นับ
จำเดิมแต่เราบวชแล้ว ไม่เคยอยู่ในบ้าน เราจะจากบ้านนี้ไปสู่ป่าเดี๋ยวนี้แหละ
ส่วนสามเณร ฟังดังนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ บัดนี้ แม้ว่ากาย
ของผม จะอยู่ท้ายบ้าน แต่จิตอยู่ในป่า เพราะฉะนั้น แม้ถึงจะนอน ผมก็
จะไปป่าเหมือนกัน . พระเถระฟังดังนั้นแล้ว จึงจับแขนสามเณร นำไปสู่ป่า
ทันที แล้วให้โอวาท. สานเณรตั้งอยู่ในโอวาทของพระเถระ เห็นแจ้งแล้ว
บรรลุพระอรหัต. สมดังคำที่ท่านกล่าวไว้ ในอปทานว่า
เราได้พบพระพุทธเจ้า ผู้ปราศจากกิเลสธุลี เป็น
เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านรชน โชติช่วง
เหมือนต้นกรรณิการ์ ประทับนั่งอยู่ที่ซอกภูเขา เรามี
จิตเลื่อมใส มีใจโสมนัสประนมอัญชลีเหนือเศียร
เกล้า แล้วเอาผลมะรื่นถวาย แด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ
สุด ในกัปที่ 31 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายผลไม้
ใดในกาลนั้น ด้วยการถวายผลไม้นั้น เราไม่รู้จัก
ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ เราเผากิเลส
ทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้าเราทำ
เสร็จแล้ว ดังนี้.

สามเณร บรรลุพระอรหัตแล้ว เทียบเคียงเนื้อความ อันอุปัชฌาย์
และตน กล่าวแล้ว เมื่อจะประกาศความยินดียิ่งในวิเวกของตนและกิจที่ตน
ทำสำเร็จแล้ว จึงได้ภาษิตคาถาว่า

พระอุปัชฌาย์ของเราได้กล่าวกะเราว่า ดูก่อนสิว-
ละ เราจะไปจากที่นี้ กายของเราอยู่ในบ้าน แต่ใจ
ของเราไปอยู่ในป่า แม้เรานอนอยู่ก็จักไป ความเกี่ยว
ข้องด้วยหมู่ ย่อมไม่มีแก่ผู้รู้แจ้ง ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปชฺฌาโย ความว่า ชื่อว่า อุปัชฌายะ
เพราะเข้าไปเพ่งโทษน้อยและโทษใหญ่ คือมุ่งแสวงหาประโยชน์เกื้อกูลแล้ว
เพ่งดูด้วยญาณจักษุ. สามเณรเรียกตัวเอง ด้วยบทว่า มํ. บทว่า อวจาสิ
แปลว่า ได้กล่าวแล้ว.
บทว่า อิโต คจฺฉาม สิวก เป็นคำแสดงอาการที่กล่าวแล้ว.
อธิบายว่า ดูก่อนสิวกะ เราจะไปจากละแวกบ้านนี้ เราจงมาพากันไป สู่ที่ ๆ
เป็นป่าเท่านั้นเถิด ที่ ๆ เป็นป่าเท่านั้น เหมาะที่พวกเราทั้งหลายจะอยู่. ก็
สิวกสามเณรอันพระอุปัชฌาย์กล่าวอย่างนี้แล้ว เกิดความสลดใจ เหมือนม้า
อาชาไนยตัวเจริญ ที่ถูกหวดด้วยแส้ฉะนั้น เมื่อจะประกาศความที่ตนประสงค์
จะไปสู่ป่าอย่างเดียว จึงกล่าวว่า
กายของเราอยู่ป่านี้ แต่ใจของเราอยู่ในป่า แม้
เรานอนอยู่ก็จักไป ความเกี่ยวข้องด้วยหมู่ ย่อมไม่มี
แก่ผู้รู้แจ้ง ดังนี้.

คาถานั้น มีใจความดังนี้ เพราะเหตุที่ บัดนี้ แม้ร่างกายของเรานี้
ยังอยู่ที่ท้ายบ้าน แต่อัธยาศัยน้อมไปสู่ป่าอย่างเดียว ฉะนั้น เราแม้นอนอยู่ก็
จักไป คือ แม้ชื่อว่านอนอยู่เพราะไม่สามารถ ในการยืน นั่งและเดิน โดย
เป็นไข้ ก็จะคลาน กระเสือกกระสนไป เหมือนงู ทั้ง ๆ อาการที่นอนนี้
มาเถิดท่านขอรับ เราจงไปสู่ป่ากันเถิด เพราะเหตุไร ? เพราะความเกี่ยว

ข้องด้วยหมู่ย่อมไม่มีแก่ผู้รู้แล้ว เพราะสภาพธรรมดา ความเกี่ยวข้องในที่
ไหน ๆ ย่อมไม่มีแก่ผู้รู้โทษในกาม และในสงสาร รู้อานิสงส์ในเนกขัมมะ
และพระนิพพาน ตามความเป็นจริง ฉะนั้น คำสั่งของอุปัชฌาย์ จึงดำรงมั่น
แก่สามเณรด้วยคำพูดหนเดียวเท่านั้น ท่านพยากรณ์พระอรหัตผลด้วยการ
อ้างถึงคำสั่งเพียงหนเดียว.
จบอรรถกถาวนวัจฉเถรสามเณรคาถา

5. กุณฑธานเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระกุณฑธานเถระ


[152] ได้ยินว่า พระกุณฑธานเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า
ภิกษุพึงตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 พึงละสังโยชน์
เบื้องสูง 5 พึงเจริญอินทรีย์ 5 มีศรัทธาเป็นต้น
ให้ยิ่งขึ้นไป ภิกษุผู้ล่วงธรรม เป็นเครื่องข้อง 5 ประการ
ได้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ข้ามโอฆะได้แล้ว.

อรรถกถากุณฑธานเถรคาถา


คาถาของท่านพระกุณฑธานเถระ เริ่มต้นว่า ปญฺจ ฉินฺเท ปญฺจ
ชเห.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ
ท่านเกิดในเรือนมีตระกูล ในพระนครหงสาวดี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล ฟังธรรมอยู่ เห็นภิกษุหนึ่ง อันพระ-