เมนู

3. วนวัจฉเถร คาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวนวัจฉเถระ


[150] ได้ยินว่า พระวนวัจฉเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ภูเขาทั้งหลาย อันล้วนแล้วด้วยหิน มีสีเขียวดัง
เมฆ ดูรุจิเรกงามดี มีธารวารีเย็นใสสะอาด ดารดาษ
ไปด้วยแมลงค่อมทอง ภูเขาเหล่านั้น ย่อมทำให้เรา
รื่นรมย์ใจ ดังนี้.

อรรถกถาวนวัจฉเถรคาถา


คาถาของท่านพระวนวัจฉเถระ เริ่มต้นว่า นีลพฺภวณฺณา. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า อัตถทัสสี
ท่านเกิดในกำเนิดของเต่า อาศัยอยู่ในแม่น้ำชื่อว่า วินตา อัตภาพของเต่านั้น
ได้มีประมาณเท่าเรือลำเล็กได้ยินว่าในวันหนึ่ง เต่านั้นเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับยืนอยู่ที่ฝั่งแห่งแม่น้ำ คิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชะรอยจะมีพระพุทธ
ประสงค์เสด็จไปสู่ฝั่งโน้น ประสงค์จะทูลเชิญเสด็จ โดยประทับบนหลังของตน
จึงหมอบลงแทบบาทมูล. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอัธยาศัยของเต่านั้น
เมื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา จึงเสด็จขึ้นประทับ. เขาเกิดปีติโสมนัส ว่ายแหวก
คลื่น ยังพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ถึงฝั่งโน้นในทันใดนั้นเอง ดุจลูกศรที่ถูกยิง
ออกไปด้วยกำลังสาย ฉะนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพยากรณ์ผลแห่งบุญนั้น และสมบัติอันจะ
พึงบังเกิดในบัดนี้ แล้วเสด็จหลีกไป. ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปใน
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บวชเป็นดาบส ตั้ง 100 ครั้งเป็นเวลาไม่น้อย ได้
เป็นผู้มีปกติอยู่ในป่าอย่างเดียว ในกาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรง
พระนามว่า กัสสปะ ไปเกิดในกำเนิดแห่งนกพิราบอีก เห็นภิกษุผู้อยู่ในป่า
รูปหนึ่ง มีปกติอยู่ด้วยเมตตา ยังจิตให้เลื่อมใสแล้ว และครั้นจุติจากกำเนิด
นกพิราบนั้นแล้ว บังเกิดในเรือนมีตระกูล ในพระนครพาราณสี เจริญวัย
แล้ว เกิดความสังเวช บวชแล้วเข้าไปสะสมบุญกรรมเป็นอันมาก ล้วนเป็น
อุปนิสัยแห่งวิวัฏฏะ เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในภพนั้น ๆ
อย่างนี้ แล้วถือปฏิสนธิในเรือนของพราหมณ์ นามว่า วัจฉโคตร ในพระนคร
กบิลพัสดุ์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ มารดาของเขามีครรภ์แก่รอบแล้ว เกิด
แพ้ท้อง ต้องการจะชมป่า จึงเข้าป่าท่องเที่ยวไป. ในทันใดนั้นเอง ลมกัม-
มัชวาทของนางปั่นป่วนแล้ว คนทั้งหลายจัดแจงขึงผ้าม่านให้แล้ว. นางคลอดบุตร
(สมบูรณ์) ด้วยลักษณะของผู้มีบุญ กุมารนั้นได้เป็นสหายเล่นฝุ่นกับพระ-
โพธิสัตว์ เขาได้มีโคตรและชื่อว่า วัจฉะ. (ต่อมา) ปรากฏนามว่า วนวัจฉะ โดย
ที่มีความยินดีในป่า ในเวลาต่อมา เมื่อพระมหาสัตว์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์
บำเพ็ญมหาปธานอยู่ ก็ออกบวช ด้วยคิดว่า แม้เราก็จักอยู่ในป่า ร่วมกับ
สิทธัตถกุมาร ดังนี้ แล้วออกบวชเป็นดาบส อยู่ในป่าหิมวันต์ สดับว่า
พระสิทธัตถะตรัสรู้อภิสัมโพธิญาณแล้ว จึงไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า
บวชแล้วเรียนกัมมัฏฐานอยู่ในป่า ขวนขวายวิปัสสนา ไม่นานนักก็ได้ทำให้
แจ้งซึ่งพระอรหัต. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า อัตถทัสสี
เป็นพระสยัมภู เป็นนายกของโลก เป็นพระตถาคต

ได้เสด็จไปที่ฝั่งแม่น้ำ วินตา เราเป็นเต่า เที่ยวไปในน้ำ
โผล่จากน้ำ ประสงค์จะทูลเชิญพระพุทธเจ้าเสด็จข้าม
ฟาก จึงเข้าไปเฝ้าพระองค์ ผู้เป็นนาถะของโลก ( กราบ
ทูลว่า) ขออัญเชิญพระพุทธเจ้าผู้เป็นมหามุนี พระนาม
ว่า อัตถทัสสี เสด็จขึ้นหลังข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์
จักให้พระองค์เสด็จข้ามฟาก ขอพระองค์โปรดทรง
กระทำที่สุดแห่งทุกข์ แกข้าพระองค์เถิด พระพุทธเจ้า
ผู้มีพระยศใหญ่ ทรงพระนามว่า อัตถทัสสี ทรงทราบ
ถึงความดำริของเรา จึงได้เสด็จขึ้นหลังเรา แล้ว
ประทับยืนอยู่ ความสุขของเราในเวลาที่นึกถึงตนได้
และในเวลาที่ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา หาเหมือนกับสุข
เมื่อพื้นพระบาทสัมผัสไม่ พระสัมพุทธเจ้าทรงพระ-
นามว่า อัตทัสสี ผู้มีพระยศใหญ่ เสด็จขึ้นประทับยืน
ที่ฝั่งแม่น้ำแล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า เราข้าม
กระแสคงคา ชั่วเวลาประมาณเท่าจิตเป็นไป ก็พญาเต่า
ตัวมีบุญนี้ ส่งเราข้ามฟาก ด้วยการส่งพระพุทธเจ้าข้าม
ฟากนี้ และด้วยความเป็นผู้มีจิตเมตตา เขาจักรื่นรมย์
อยู่ในเทวโลกตลอด 118 กัป จากเทวโลกมามนุษย-
โลกนี้ เป็นผู้อันกุศลมูลตักเตือนแล้ว นั่ง ณ อาสนะ
เดียว จักข้ามพ้นกระแสน้ำ คือความสงสัยได้ พืช
แม้น้อยที่เขาเอาหว่านลงในเนื้อนาดี เมื่อฝนยังอุทก
ธารให้ตกอยู่โดยชอบ ผลย่อมทำชาวนาให้ยินดี แม้
ฉันใด พุทธเขตที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นี้

ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อบุญเพิ่มอุทกธารโดยชอบ
ผลจักทำเราให้ยินดี เราเป็นผู้มีตนอันส่งไปแล้ว เพื่อ
ความเพียร เป็นผู้สงบระงับ ไม่มีอุปธิ กำหนดรู้อาสวะ
ทั้งปวงแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ ในกัปที่ 118
เราได้ทำกรรมใด ในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จัก
ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการส่งพระพุทธเจ้าข้ามฟาก
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า
เราทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบรรลุพระอรหัต แล้วเสด็จประทับ
อยู่ในพระนครกบิลพัสดุ์ ท่านได้ไปที่พระนครกบิลพัสดุ์นั้น ถวายบังคม
พระศาสดา สมาคมกับภิกษุทั้งหลาย ด้วยสามารถแห่งปฏิสันถาร อันภิกษุ
ทั้งหลายถามว่า ดูก่อนอาวุโส การอยู่ในป่าอย่างผาสุก ท่านได้แล้วหรือ ?
ก็ตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย ทั้งป่าและภูเขาน่ารื่นรมย์ เมื่อจะพรรณนาถึงป่าที่
ตนอยู่แล้ว ได้ภาษิตคาถาว่า
ภูเขาทั้งหลาย อันล้วนแล้วด้วยหิน มีสีเขียวดัง
เมฆ ดูรุจิเรกงามดี มีธารวารีเย็นใสสะอาด เป็นที่
พำนักของผู้สะอาด ดารดาษไปด้วยแมลงค่อมทอง
ภูเขาเหล่านั้น ย่อมทำให้เรารื่นรมย์ใจ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นีลพฺภวณฺณา ความว่า มีสีดังวลาหก
ที่เขียวขจี และมีสัณฐานดังนีลวลาหก. บทว่า รุจิรา ความว่า มีแสงและ
รัศมีรุจิเรก. บทว่า สีตวารี ความว่ามีน้ำเย็นฉ่ำใสสะอาด. บทว่า สุจินฺธรา
ความว่า ชื่อว่าเป็นที่พำนักของผู้ที่สะอาด เพราะเป็นภูมิภาคที่สะอาดบริสุทธิ์
และเพราะเป็นที่พำนักของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ผู้มีจิตบริสุทธิ์. ก็เพื่อสะดวก

แก่การประพันธ์คาถา ท่านจึงนิเทศนิคหิต เป็น น. ปาฐะว่า สีตวารี
สุจินฺธรา
ดังนี้ก็มี. ความก็ว่า ทรงไว้ซึ่งน้ำเย็นใสสะอาด (และ) มีแอ่งน้ำเย็น
สนิท ใสสะอาด. บทว่า อินฺทโคปกสญฺฉนฺนา ความว่า ดารดาษไปด้วย
กิมิชาติสีแดง มีวรรณะดังแก้วประพาฬ อันได้นามว่า แมลงค่อมทอง ท่าน
กล่าวอย่างนี้ ด้วยสามารถแห่งเวลาที่มีฝนตก. ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า
ได้แก่ ติณชาติ ที่มีสีแดง นามว่า อินทโคปกะ. อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า
ได้แก่ ต้นกรรณิการ์. บทว่า เสลา ได้แก่ ภูเขาล้วนด้วยหิน อธิบายว่า ภูเขา
ที่ไม่มีฝุ่น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เปรียบเหมือนภูเขาที่ล้วนด้วยหิน.
บทว่า รมยนฺติ มํ ความว่า ยังเราให้ยินดี คือเพิ่มพูนความยินดีในวิเวก
แก่เรา. พระเถระเมื่อจะประกาศถึงความยินดีในป่า ที่อบรมมาเป็นเวลานาน
ของตนอย่างนี้ จึงแสดงถึงความยินดีในวิเวก 3 อย่างเท่านั้น. ในบรรดาวิเวก
3 อย่างนั้น ด้วยอุปธิวิเวก เป็นอันพระเถระแสดงการพยากรณ์พระอรหัตผล
แล้วทีเดียว ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาวัจฉเถรคาถา

4. วนวัจฉสามเณรคาถา
ว่าด้วยคาถาของสามเณรของพระวนวัจฉเถระ


[ 151 ] ได้ยินว่า สามเณรของพระวนวัจฉเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้
อย่างนี้ว่า
พระอุปัชฌาย์ของเราได้กล่าวกะเราว่า ดูก่อนสิว-
กะ เราจะไปจากที่นี้ กายของเราอยู่ในบ้าน แต่ใจ
ของเราอยู่ในป่า แม้เรานอนอยู่ก็จักไป ความเกี่ยว
ข้องด้วยหมู่ ย่อมไม่มีแก่ผู้รู้แจ้งชัด ดังนี้.