เมนู

2. มหาวัจฉเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมหาวัจฉเถระ


[149] ได้ยินว่า พระมหาวัจฉเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า
ภิกษุมีกำลังปัญญา สมบูรณ์ด้วยศีลและวัตร
มีจิตตั้งมั่น ยินดีในฌาน มีสติ บริโภคโภชนะตามมี
ตามได้ มีราคะไปปราศแล้ว พึงหวังได้ซึ่งกาล
ปรินิพพานในศาสนานี้ ดังนี้.

อรรถกถามหาวัจฉเถรคาถา


คาถาของท่านพระมหาวัจฉเถระเริ่มต้นว่า ปญฺญาพลี. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ท่านได้ถวายน้ำดื่มให้เป็นทาน แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ และแก่ภิกษุสงฆ์. ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า สิขี ได้เป็นอุบาสกอีก ได้การทำบุญกรรมเป็นอันมาก
อันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ด้วยบุญกรรมเหล่านั้น ท่านท่องเที่ยวไปใน
สุคติภพนั้น ๆ แล้ว เกิดเป็นบุตรของพราหมณ์นามว่า สมิทธิ ในนาลคาม
แคว้นมคธ ในพุทธุปบาทกาลนี้. เขาจึงมีชื่อว่า มหาวัจฉะ. เขาเจริญวัย
แล้ว สดับความที่ท่านพระสารีบุตร เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วคิดว่า แม้ขึ้นชื่อว่าท่านพระสารีบุตรนั้น เป็นผู้มีปัญญามาก ยังเข้าถึง
ความเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด ชะรอยพระผู้มีพระภาคเจ้า

พระองค์นั้น แหละจักเป็นบุคคลผู้เลิศในโลกนี้ เกิดศรัทธาในพระผู้มีพระภาคเจ้า
บวชในสำนักของพระศาสดาแล้ว ประกอบเนือง ๆ ซึ่งกัมมัฏฐาน บรรลุพระ
อรหัตต่อกาลไม่นานนัก. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ในภิกษุสงฆ์
ผู้ยอดเยี่ยมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า
ปทุมุตตระ จึงได้น้ำใส่หม้อน้ำฉันจนเต็ม ในเวลา
ที่เราจะต้องการน้ำ จะเป็นยอดภูเขา ยอดไม้ในอากาศ
หรือพื้นดิน น้ำย่อมเกิดแก่เราทันที ในกัปที่แสนแต่
กัปนี้ เราได้ให้ทานใด ในกาลนั้น ด้วยทานนั้น เรา
ไม่รู่จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการให้น้ำเป็นทาน เรา
เผากิเลสทั้งหลายแล้ว ภพทั้งปวงเราถอนขึ้นแล้ว ฯ ล ฯ
อภิญญา 6 เรากระทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระ-
พุทธเจ้าเรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็ท่านครั้นบรรลุพระอรหัตอย่างนี้แล้ว เสวยวิมุตติสุขอยู่ เพื่อจะ
ให้เกิดความอุตสาหะแก่เพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ด้วยการแสดงให้เห็นชัดซึ่ง
ข้อที่พระศาสนาเป็นนิยยานิกธรรม จึงได้ภาษิตคาถาว่า
ภิกษุมีกำลังปัญญา สมบูรณ์ด้วยศีลและวัตร
มีจิตตั้งมั่น ยินดีในฌาน มีสติ บริโภคโภชนะตามมี
ตามได้ มีราคะไปปราศแล้ว พึงหวังได้ซึ่งกาลปริ
นิพพานในศาสนานี้ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺญาพลี ความว่า ผู้ประกอบไปด้วย
ปัญญา อันดียิ่งเนือง ๆ ด้วยสามารถแห่งปาริหาริกปัญญาและวิปัสสนาปัญญา.

บทว่า สีลวตูปปนฺโน ความว่า เข้าถึงแล้ว คือ ประกอบแล้วด้วย
จาตุปาริสุทธิศีลอันอุกฤษุฏ์ และด้วยวัตรกล่าวคือ ธุดงคธรรม.
บทว่า สมาหิโต ความว่า ประกอบด้วยสมาธิ ต่างด้วยอุปจารสมาธิ
และอัปปนาสมาธิ.
บทว่า ฌานรโต ความว่า ต่อแต่นั้นไป จึงยินดี คือ หมั่นประกอบ
ติดต่อกันไป ในอารัมมณูปนิชฌานและในลักขณูปนิชฌาน. ชื่อว่า มีสติ
เพราะไม่อยู่ปราศจากสติในกาลทั้งปวง.
บทว่า ยทตฺถิยํความว่า การบริโภคที่ไม่ปราศจากประโยชน์ ชื่อว่า
อัตถิยะ ชื่อว่า ยทัตถิยะ เพราะเหตุที่บริโภคโภชนะมีประโยชน์ หมายความว่า
การบริโภคของผู้ที่บริโภคปัจจัยเช่นใด ย่อมชื่อว่ามีประโยชน์ ก็บริโภคโภชนะ
เช่นนั้น.
คำว่า การบริโภคโภชนะที่มีประโยชน์ นั้นย่อมมีได้ ด้วยสามี-
บริโภค หรือด้วยทายาทบริโภค ไม่ใช่บริโภคโดยประการอื่น นี้ พึงเห็นเป็น
เพียงตัวอย่าง อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า โภชนะ ด้วยอรรถว่า อันบุคคลพึงกิน
พึงบริโภค ได้แก่ ปัจจัย 4.
ปาฐะว่า ยทตฺถิกํ ดังนี้บ้าง ปัจจัย 4 อันพระศาสดาทรงอนุญาต
แล้ว เพื่ออันใด คือเพื่อประโยชน์อันใด เพื่อประโยชน์อันนั้น คือเพื่อ
ประโยชน์มีการตั้งอยู่แห่งกายเป็นต้น และการตั้งอยู่แห่งกายนั้น ก็เพื่ออนุปา-
ทิเสสนิพพาน เพราะฉะนั้น เมื่อภิกษุบริโภคปัจจัยคือโภชนะ เพื่อประโยชน์
แก่อนุปาทาทิเสสปรินิพพาน ต่อแต่นั้น ก็พึงหวัง กาลปรินิพพาน คือ พึง
คอยท่าอนุปาทาปรินิพพานกาล ของตน ชื่อว่ามีราคะไปปราศแท้ในที่นี้
คือ ในพระศาสนานี้ อธิบายว่า ก็คุณธรรมข้อนี้ย่อมไม่มี แก่คนภายนอกผู้
แม้มีราคะในกามทั้งหลายปราศไปแล้ว.
จบอรรถกถามหาวัจฉเถรคาถา

3. วนวัจฉเถร คาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวนวัจฉเถระ


[150] ได้ยินว่า พระวนวัจฉเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ภูเขาทั้งหลาย อันล้วนแล้วด้วยหิน มีสีเขียวดัง
เมฆ ดูรุจิเรกงามดี มีธารวารีเย็นใสสะอาด ดารดาษ
ไปด้วยแมลงค่อมทอง ภูเขาเหล่านั้น ย่อมทำให้เรา
รื่นรมย์ใจ ดังนี้.

อรรถกถาวนวัจฉเถรคาถา


คาถาของท่านพระวนวัจฉเถระ เริ่มต้นว่า นีลพฺภวณฺณา. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า อัตถทัสสี
ท่านเกิดในกำเนิดของเต่า อาศัยอยู่ในแม่น้ำชื่อว่า วินตา อัตภาพของเต่านั้น
ได้มีประมาณเท่าเรือลำเล็กได้ยินว่าในวันหนึ่ง เต่านั้นเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับยืนอยู่ที่ฝั่งแห่งแม่น้ำ คิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชะรอยจะมีพระพุทธ
ประสงค์เสด็จไปสู่ฝั่งโน้น ประสงค์จะทูลเชิญเสด็จ โดยประทับบนหลังของตน
จึงหมอบลงแทบบาทมูล. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอัธยาศัยของเต่านั้น
เมื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา จึงเสด็จขึ้นประทับ. เขาเกิดปีติโสมนัส ว่ายแหวก
คลื่น ยังพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ถึงฝั่งโน้นในทันใดนั้นเอง ดุจลูกศรที่ถูกยิง
ออกไปด้วยกำลังสาย ฉะนั้น.