เมนู

เถรคาถา เอกนิบาตวรรคที่ 2< /H1>

1. จูฬวัจฉเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระจูฬวัจฉเถระ


[148] ได้ยินว่า พระจูฬวัจฉเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า
ภิกษุ ผู้มากไปด้วยความปราโมทย์ในธรรม อัน
พระพุทธเจ้าทรงประกาศแล้ว พึงบรรลุสันตบท อัน
เป็นธรรมเข้าไปสงบระงับสังขาร เป็นสุข ดังนี้.

วรรควรรณนาที่ 2


อรรถกถาจูฬวัจฉเถรคาถา


คาถาของท่านพระจูฬวัจฉเถระ เริ่มต้นว่า ปามุชฺชพหุโล. เรื่อง
ราวของท่านเป็นอย่างไร.
ได้ยินว่า ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า
ปทุมุตตระ ท่านเกิดในตระกูลที่ยากจน สำเร็จการเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้าง
คนอื่น เห็นพระเถระนามว่า สุชาตะ ผู้เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แสวงหาผ้าบังสุกุลอยู่ มีใจเลื่อมใสเข้าไปหา ถวายผ้าแล้วกราบด้วยเบญจางค-
ประดิษฐ์. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านเสวยราชย์ในหมู่เทพถึง 33 ครั้ง ได้
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 77 ครั้ง เป็นเจ้าประเทศราช ในวาระเป็นอเนก

(นับครั้งไม่ถ้วน). เมื่อท่านท่องเที่ยวไปมาในเทวดาและมนุษย์อยู่อย่างนี้
ในเมื่อศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสปะ เสื่อมลง จึง
บวชแล้วบำเพ็ญสมณธรรม แล้วท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ ในคติแห่งเทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย ตลอดพุทธันดรหนึ่ง แล้วเกิดในตระกูลพราหมณ์ กรุงโกสัมพี
ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ท่านได้มีนามว่า จูฬวัจฉะ.
จูฬวัจฉกุมารเจริญวัยแล้ว ถึงความสำเร็จในศิลปวิทยาของพราหมณ์ทั้งหลาย
สดับพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้วมีใจเลื่อมใส เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่เขา. เขาได้ศรัทธาบรรพชาแล้วได้การ
อุปสมบทการทำกิจแห่งบรรพชิตสำเร็จแล้ว เรียนกัมมัฏฐานที่เหมาะแก่
จริงแล้วภาวนาอยู่. ก็โดยสมัยนั้น ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีได้เกิดแตกกัน.
ครั้งนั้น พระจูฬวัจฉเถระ ไม่ยึดถือลัทธิของภิกษุทั้งสองฝ่าย ตั้งอยู่ในโอวาท
อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานแล้ว เพิ่มพูนวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว.
สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
ครั้งนั้น สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง
พระนามว่า ปทุมุตตระ ชื่อสุชาตะ แสวงหาผ้าบังสุกุล
อยู่ที่กองหยากเยื่อ เราเป็นลูกจ้างของคนอื่นอยู่ใน
พระนครหงสาวดีได้ถวายผ้าครึ่งผืนแล้ว อภิวาทด้วย
เศียรเกล้า ด้วยกรรมที่ทำไว้ดีแล้วนั้น และด้วยการ
ตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์ ได้ไปสวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์ เราเป็นจอมเทวดา เสวยเทพสมบัติในเทวโลก
33 ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 77 ครั้ง และได้
เป็นเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยคณานับมิได้
เพราะละวายผ้าครึ่งผืนเป็นทาน เราเป็นผู้ไม่มีภัยแต่

ไหน เบิกบานอยู่ ทุกวันนี้ เมื่อเราปรารถนา ก็เอาผ้า
เปลือกไม้คลุมแผ่นดินนี้ พร้อมทั้งป่าและภูเขาได้
นี้เป็นผลแห่งผ้าครึ่งผืน ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้
เราได้ให้ทานใดในกาลนั้น ด้วยทานนั้น เราไม่รู้จัก
ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งผ้าครึ่งผืน เราเผากิเลสทั้งหลาย
แล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำเสร็จ
แล้ว
ดังนี้.
ครั้งนั้น พระจูฬวัจฉเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว เห็นความพินาศจาก
ประโยชน์ตน ของผู้ที่ชอบการทะเลาะวิวาท ของภิกษุเหล่านั้น เกิดธรรมสังเวช
และพิจารณาถึงคุณวิเศษ ที่ตนได้บรรลุแล้วด้วยอำนาจปีติ และโสมนัสจึงได้
ภาษิตคาถาว่า
ภิกษุผู้มากไปด้วยความปราโมทย์ ในธรรมอัน
พระพุทธเจ้าทรงประกาศแล้วพึงบรรลุสันตบทอันเป็น
ธรรมเข้าไปสงบระงับสังขาร เป็นสุข
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาโมชฺชพหุโล ความว่า ชื่อว่าเป็น
ผู้มากไปด้วยความปราโมทย์ ด้วยสามารถแห่งความยินดียิ่งในธรรมทั้งหลาย
ที่เป็นอธิกุศล โดยความเป็นผู้ไม่มีวิปฏิสาร เพราะความเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
ดีแล้ว.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธมฺเม พุทฺธปฺปเวทิเต ในธรรมอัน
พระพุทธเจ้าทรงประกาศแล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเม ได้แก่
โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ หรือโลกุตรธรรม 9 อย่าง. ก็พระธรรมนั้น
ชื่อว่าอันพระพุทธเจ้าทรงประกาศแล้ว เป็นอย่างดีเลิศ เพราะเป็นพระธรรม
อันพระผู้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ ทรงประกาศแล้ว ด้วยเทศนาที่พระองค์

ทรงยกขึ้นแสดงเอง. ส่วนแม้เทศนาธรรม ก็สงเคราะห์เข้าในบทว่า ธมฺเม นี้
เหมือนกัน เพราะความที่เทศนาธรรมนั้นเป็นอุบายให้สัตว์เข้าถึงพระธรรม.
พระเถระกล่าว บทว่า ปทํ สนฺตํ หมายถึงพระนิพพาน. ก็ภิกษุ
เห็นปานนี้ ย่อมบรรลุ คือประสบสันตบทอันเป็นส่วนสงบระงับแล้ว ได้แก่
พระนิพพาน ที่ชื่อเป็นที่เข้าสงบระงับสังขาร เพราะเข้าไปสงบระงับดับสังขาร
ทั้งปวงได้ ชื่อว่าเป็นสุข เพราะเป็นสุขอย่างยิ่ง.
อธิบายว่า ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ ผู้มากไปด้วยความปราโมทย์ เพราะ
ไม่มีวิปฏิสาร เป็นผู้หมั่นขวนขวายในพระสัทธรรมย่อมประสบสมบัติทุกอย่าง
มีวิมุตติเป็นปริโยสาน. สมดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้มีอาทิว่า ดูก่อน
อานนท์ ศีลที่เป็นฝ่ายกุศล มีความไม่เดือดร้อนเป็นผลแล ความไม่เดือดร้อน
ย่อมเป็นไปเพื่อความปราโมทย์ ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปามุชฺชพหุโล ความว่า เป็นผู้มากไปด้วย
ความชื่นบาน โดยมุ่งถึงพระรัตนตรัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้เอง
โดยชอบ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว พระสงฆ์ปฏิบัติดีแล้ว
ดังนี้. เพื่อจะเลี่ยงคำถามที่อาจมีขึ้นว่า ผู้นั้นมากไปด้วยความปราโมทย์ใน
อะไร ? หรือการทำอะไร ? พระเถระจงกล่าวบาทคาถามีอาทิว่า ธมฺเม
พุทฺธปฺปเวทิเต
ในธรรมอันพระพุทธเจ้าประกาศดีแล้ว ดังนี้. อธิบายว่า
สมบัติทั้งหลาย ย่อมอยู่ในเงื้อมมือของผู้ที่สมบูรณ์ด้วยศรัทธา โดยการเกิดขึ้น
โดยง่ายแห่ง (จักร 4) คือ สัปปุริสูปสังเสวนะ การคบหาสัตบุรุษ 1 สัท-
ธัมมัสสวนะ
การฟังธรรมของสัตบุรุษ 1 โยนิโสมนสิการ การกระทำไว้
ในใจโดยแยบคาย 1 ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม 1.
สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ผู้เกิดศรัทธาแล้ว ย่อมเข้าไปหา เมื่อเข้าไปหา ย่อม
เข้าไปนั่งใกล้ ดังนี้เป็นต้น .
จบอรรถกถาจูฬวัจฉเถรคาถา

2. มหาวัจฉเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมหาวัจฉเถระ


[149] ได้ยินว่า พระมหาวัจฉเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า
ภิกษุมีกำลังปัญญา สมบูรณ์ด้วยศีลและวัตร
มีจิตตั้งมั่น ยินดีในฌาน มีสติ บริโภคโภชนะตามมี
ตามได้ มีราคะไปปราศแล้ว พึงหวังได้ซึ่งกาล
ปรินิพพานในศาสนานี้ ดังนี้.

อรรถกถามหาวัจฉเถรคาถา


คาถาของท่านพระมหาวัจฉเถระเริ่มต้นว่า ปญฺญาพลี. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ท่านได้ถวายน้ำดื่มให้เป็นทาน แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ และแก่ภิกษุสงฆ์. ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า สิขี ได้เป็นอุบาสกอีก ได้การทำบุญกรรมเป็นอันมาก
อันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ด้วยบุญกรรมเหล่านั้น ท่านท่องเที่ยวไปใน
สุคติภพนั้น ๆ แล้ว เกิดเป็นบุตรของพราหมณ์นามว่า สมิทธิ ในนาลคาม
แคว้นมคธ ในพุทธุปบาทกาลนี้. เขาจึงมีชื่อว่า มหาวัจฉะ. เขาเจริญวัย
แล้ว สดับความที่ท่านพระสารีบุตร เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วคิดว่า แม้ขึ้นชื่อว่าท่านพระสารีบุตรนั้น เป็นผู้มีปัญญามาก ยังเข้าถึง
ความเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด ชะรอยพระผู้มีพระภาคเจ้า