เมนู

อรรถกถาปุณณมาสเถรคาถา


คาถาของท่านพระปุณณมาสเถระ เริ่มต้นว่า วิหริ อเปกฺขํ ดังนี้.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร.
ได้ยินว่า ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า วิปัสสี พระ
เถระนั้น บังเกิดในกำเนิดแห่งนกจักรพรากเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไป
มีจิตเลื่อมใสแล้ว จึงเอาจะงอยปากของตนคาบดอกสาหร่ายไป ทำการบูชา
แล้ว. ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในกัป
ที่ 17 แต่ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิถึง 8 ครั้ง. ส่วนในกัปนี้
เมื่อศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า กัสสปะ เสื่อมลง บังเกิด
ในตระกูลกุฎุมพี บวชแล้ว บำเพ็ญสมณธรรมจุติจากนั้นแล้ว ท่องเที่ยว
ไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ นามว่า สมิทธะ
ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้. ในวันที่เขาเกิด หม้อเปล่าทุกใบ
ในเรือนนั้น ได้เต็มไปด้วยสุพรรณมาศ (ถั่วทอง). ด้วยเหตุนั้น คนทั้ง
หลายจึงขนานนามเขาว่า ปุณณมาส. เขาเจริญวัยแล้วประสบความสำเร็จ
ในวิชชาของพราหมณ์ทั้งหลาย กระทำการวิวาห์ ได้บุตรคนหนึ่ง เกิด
เบื่อหน่ายการอยู่ครองเรือน เพราะเป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัย เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ฟังธรรม ได้เฉพาะแล้วซึ่งศรัทธา บรรพชาแล้ว ถึง
พร้อมแล้วด้วยกิจทุกอย่าง หมั่นประกอบเนือง ๆ ในกัมมัฏฐาน 4 ขวนขวาย
วิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวคาถาประพันธ์ นี้ไว้
ในอปทานว่า
ในกาลนั้น เราเป็นนกจักรพรากอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ
สินธุ เรามีสาหร่ายล้วน ๆ เป็นภักษา และสำรวมดีแล้ว

ในสัตว์ทั้งหลาย เราได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี
เสด็จไปในอากาศ จึงเอาจะงอยปากคาบดอกสาหร่าย
บูชาแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า วิปัสสี ผู้ใด
ตั้งศรัทธาอันไม่หวั่นไหวไว้ด้วยดีในพระตถาคตเจ้า
ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น ผู้นั้นจะไม่ไปสู่ทุคติ การที่เรา
ได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ เป็นการ
มาดีหนอ เราเป็นนกจักรพรากได้ปลูกพืชไว้ดีแล้ว
ในกัปที่ 91 แต่กัปนี้ เราบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย
ดอกไม้ใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผล
แห่งพุทธบูชา. ในกัปที่ 17 ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
8 ครั้ง มีพลมา ทรงพระนามเดียวกันว่า สุจารุทัสสนะ.
คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8 และ
อภิญญา 6 เราได้ทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระ-
พุทธเจ้า เราทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ลำดับนั้น ภรรยาเก่าของท่าน ประสงค์จะเล้าโลมท่าน จึงประดับ
ตกแต่งเข้าไปหาพร้อมด้วยบุตร ปรารภเพื่อจะกระทำการเปลือย โดย
การกล่าวเล้าโลมที่ท่าน่ารัก. พระเถระเห็นเหตุการณ์ของนาง เพื่อจะประกาศ
ความที่ตนไม่เกี่ยวข้อง แม้ในอารมณ์ไหน ๆ จึงได้ภาษิตคาถาว่า
ผู้ใดไม่ทะเยอทะยาน ในโลกนี้ หรือโลกอื่น
ผู้นั้นเป็นผู้จบไตรเพท เป็นผู้สันโดษ สำรวมแล้ว
ไม่ติดอยู่ในธรรมทั้งปวง เป็นผู้รู้แจ้งซึ่งความเกิดขึ้น
และความเสื่อมไปของโลก ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิหริ ความว่า นำไป คือ นำออกไป
ได้แก่ขจัดเสีย (ซึ่งทุกข์) โดยพิเศษ. บทว่า อเปกฺขํ ได้แก่ ตัณหา. บทว่า
อิธ ได้แก่ในโลก หรืออัตภาพนี้. บทว่า หุรํ ได้แก่ ในอนาคต หรือ
อัตภาพอื่น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อิธ ได้แก่ อายตนะที่เป็นไปในภายใน.
บทว่า หุรํ ได้แก่ อายตนะที่เป็นไปในภายนอก. วา ศัพท์ เป็นสมุจจยัตถะ
มีความหมายรวมกับ ดังในประโยคมีอาทิว่า อปทา วา ทฺวิปทา วา
ไม่มีเท้าบ้าง มีสองเท้าบ้าง. ด้วยบทว่า โย ท่านแสดงถึงตนนั่นแหละ ทำเป็น
เหมือนผู้อื่น. บทว่า เวทคู ความว่า ถึงแล้วโดยเวท คือ ถึง ได้แก่บรรลุ
พระนิพพาน ด้วยมรรคญาณ หรือจบสัจจะทั้ง 4 ด้วยสามารถแห่งปริญญากิจ
ปหานกิจ สัจฉิกิริยากิจ และภาวนากิจตั้งอยู่แล้ว. บทว่า ยตฺตโก ความว่า
มีการสำรวมด้วยมรรคสังวรเป็นสภาพ หรือมีการสำรวมด้วยสัมมาวายามะเป็น
สภาพ. บทว่า สพฺเพสุ ธมฺเมสุ อนุปลิตฺโต ความว่า ไม่ติดในธรรม
คือในอารมณ์ทั้งปวง ด้วยสามารถแห่งการติดด้วยตัณหาและทิฏฐิ. ท่านแสดง
ถึงการก้าวล่วงโลกธรรมทั้งหลาย มีลาภเป็นต้นได้ด้วยบทนั้น. บทว่า โลกสฺส
ได้แก่หมวด 5 แห่งอุปาทานขันธ์. ก็หมวด 5 แห่งอุปาทานขันธ์นั้น ชื่อว่า
โลก ด้วยอรรถว่า ชำรุดแตกหักไป. บทว่า ชญฺญา แปลว่า รู้แจ้ง. บทว่า
อุทยพฺพยญฺจ ได้แก่ ความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป. ท่านแสดงถึงปฏิปทา
อันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งคุณตามทีกล่าวแล้วด้วยบทนี้. ก็ในคาถานี้ มีอธิบาย
ดังนี้ ผู้ใดรู้ความเกิดขึ้นและความสิ้นไปแห่งโลกมีขันธโลกเป็นต้นทั้งสิ้น
ด้วยอาการครบทั้ง 50 เป็นผู้จบไตรเพท เป็นผู้สำรวมแล้วไม่ติดอยู่ในธรรม
ไหน ๆ ผู้นั้นไม่ทะเยอทะยานในธรรมทั้งปวง คือ กำจัดเสียได้ สันโดษ
บรรดาอาการที่ไม่เหมาะสมเช่นนั้น จะไม่สำคัญประการที่ไม่เหมาะสมไร ๆ เลย
ดูก่อนมารผู้อันธพาล เพราะฉะนั้น ท่านจงไปตามทางที่ท่านมาแล้วนั้นแหละ

ดังนี้. ครั้งนั้น หญิงนั้นรู้ว่า สมณะรูปนี้ หมดความต้องการในเราและบุตร
เราไม่อาจจะประเล้าประโลมสมณะรูปนี้ได้ จึงหลีกไป.
จบอรรถกถาปุณณมาสเถรคาถา
จบวรรควรรณนาที่ 1
แห่งอรรถกถาเถรคาถา นามว่า ปรมัตถทีปนี

ในวรรคนี้รวมพระเถระได้ 10 รูป คือ


1. พระสุภูติเถระ 2. พระมหาโกฏฐิตเถระ 3. พระกังขาเรวต-
เถระ 4. พระปุณณมันตานีบุตรเถระ 5. พระทัพพมัลลบุตรเถระ 6. พระ
สัมภูตเถระ 7. พระภัลลิยเถระ 8. พระวีรเถระ 9. พระปีลินทวัจฉเถระ
10. พระปุณณมาสเถระ และอรรถกถา.