เมนู

9. อังกุรเปตวัตถุ



ว่าด้วยบุญสำเร็จที่ฝ่ามือ



พราหมณ์พ่อค้าคนหนึ่ง เห็นของทิพย์ออกจากมือรุกขเทวดา
จึงเกิดความโลภขึ้น ได้บอกแก่อังกุรพาณิชว่า :-
[106] เราทั้งหลายเที่ยวหาทรัพย์ ไปสู่แคว้น
กันโพชเพื่อประโยชน์สิ่งใด เทพบุตรนี้เป็นผู้ให้
สิ่งที่เราอยากได้นั้น พวกเราจักนำเทพบุตรนี้ไป
หรือจักจับเทพบุตรนี้ ข่มขี่เอาด้วยการวิงวอน
หรืออุ้มใส่ยานรีบนำไปสู่ทวารกะนครโดยเร็ว.

อังกุรพาณิชเมื่อจะห้ามพราหมณ์พ่อค้านั้น จึงได้กล่าว
คาถาความว่า :-
บุคคลอาศัยนั่งนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด
ไม่ควรหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะการ
ประทุษร้ายมิตร เป็นความเลวทราม.

พราหมณ์พ่อค้ากล่าวว่า :-
บุคคลอาศัยนั่งนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด
พึงตัดแม้ลำต้นของต้นไม้นั้นได้ ถ้ามีความต้อง
การเช่นนั้น.

อังกุรพาณิชกล่าวว่า :-
บุคคลอาศัยนั่งนอน ที่ร่มเงาของต้นไม้ใด
ไม่พึงทำลายแม้ใบของต้นไม้นั้น เพราะการ
ประทุษร้ายต่อมิตร เป็นความเลวทราม.

พราหมณ์พ่อค้ากล่าวว่า :-
บุคคลอาศัยนั่งนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด
พึงถอนต้นไม้นั้นพร้อมทั้งรากได้ ถ้าพึงประสงค์
เช่นนี้.

อังกุรพาณิชกล่าวว่า :-
ก็บุรุษพึงพักอยู่ในเรือนของบุคคลใด
ตลอดราตรีหนึ่ง หรือพึงได้ข้าวน้ำในที่ใด ไม่ควร
คิดชั่วต่อบุคคลนั้นแม้ด้วยใจ ความเป็นผู้กตัญญู
สัปบุรุษสรรเสริญ บุคคลพึงพักอาศัยในเรือนของ
บุคคลใดแม้เพียงคืนหนึ่ง พึงได้รับบำรุงด้วยข้าว
และน้ำ ก็ไม่พึงคิดชั่วต่อบุคคลนั้นแม้ด้วยใจ
บุคคลผู้มีมืออันไม่เบียดเบียน ย่อมแผดเผาบุคคล
ผู้ประทุษร้ายมิตร ผู้ใดทำความดีไว้ในก่อน ภาย
หลังเบียดเบียนด้วยความชั่ว ผู้นั้นชื่อว่าเป็นคน
อกตัญญู ย่อมไม่พบเห็นความเจริญทั้งหลาย
ผู้ใดประทุษร้ายต่อนระผู้ไม่ประทุษร้าย
ผู้เป็นบุรุษบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน บาป

ย่อมกลับมาถึงผู้นั้นซึ่งเป็นคนพาลแน่แท้ เหมือน
ธุลีละเอียดที่บุคคลซัดไปทวนลมฉะนั้น.

เมื่อรุกขเทวดาได้ฟังดังนั้นแล้ว เกิดความโกรธต่อพราหมณ์
นั้น จึงกล่าวว่า :-
ไม่เคยมีเทวดาหรือมนุษย์หรืออิสรชนคนใด
จะมาข่มเหงเราได้โดยง่าย เราเป็นเทพเจ้าผู้มี
มหิทธิฤทธิ์อย่างยอดเยี่ยม เป็นผู้ไปได้ไกลสม-
บูรณ์ด้วยรัศมีและกำลัง.

อังกุรพาณิชจึงถามรุกขเทวดานั้นว่า :-
ฝ่ามือของท่านมีสีดังทองคำทั่วไป ทรงไว้
ซึ่งวัตถุที่บุคคลอื่นปรารถนาด้วยนิ้วทั้ง 5 เป็น
ที่ไหลออกแห่งวัตถุมีรสอร่อย วัตถุมีรสต่าง ๆ
ย่อมไหลออกจากฝ่ามือของท่าน ข้าพเจ้าเข้าใจว่า
ท่านเป็นท้าวสักกะ.

รุกขเทวดาตอบว่า :-
เราไม่ใช่เทพเจ้า ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่
ท้าวสักกปุรินททะ ดูก่อนอังกุระ ท่านจงทราบ
ว่าเราเป็นเปรต จุติจากโรรุวนครมาอยู่ที่ต้นไทรนี้.

อังกุรพาณิชถามว่า :-
เมื่อก่อน ท่านอยู่ในโรรุวนคร ท่านมีปกติ
อย่างไร มีความประพฤติอย่างไร ผลบุญสำเร็จที่

ฝ่ามือของท่าน เพราะพรหมจรรย์อะไร.
รุกขเทวดาตอบว่า :-
เมื่อก่อน เราเป็นช่างหูกอยู่ในโรรุวนคร
เป็นคนกำพร้าเลี้ยงชีพโดยความลำบากนัก เรา
ไม่มีอะไรจะให้ทาน เรือนของเราอยู่ใกล้เรือน
ของอสัยหเศรษฐี ซึ่งเป็นคนมีศรัทธา เป็นทานา-
ธิบดี มีบุญอันทำแล้ว เป็นผู้ละอายต่อบาป พวก
ยาจกวณิพกมีนามแลโคตรต่าง ๆ กัน ไปที่บ้าน
ของเรานั้น พากันถามถึงเรือนของอสัยหเศรษฐี
กะเราว่า ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย
พวกเราจะไปทางไหน ทานเขาให้ที่ไหน เราถูก
พวกยาจนวณิพกถามแล้ว ได้ยกมือเบื้องขวาชี้
บอกเรือนของอสัยหเศรษฐีแก่ยาจกวณิพกเหล่า
นั้นว่า ท่านทั้งหลายจงไปทางนี้ ความเจริญจัก
มีแก่ท่านทั้งหลาย ทานเขาให้อยู่ที่นั่น เพราะ
เหตุนั้น ฝ่ามือของเราจึงให้สิ่งที่น่าปรารถนา เป็น
ที่ไหลออกแห่งวัตถุมีรสอร่อย ผลบุญย่อมสำเร็จ
ที่ฝ่ามือของเราเพราะพรหมจรรย์นั้น.

อังกุรพาณิชถามว่า :-
ได้ยินว่า ท่านไม่ได้ให้ทานแก่ใคร ๆ ด้วย
หรือทั้งสองของตน เป็นแต่เพียงอนุโมทนาทาน

ของคนอื่น ยกมือชี้บอกทางให้ เพราะเหตุนั้น
ฝ่ามือของท่านจึงให้สิ่งที่น่าใคร่ เป็นที่ไหลออก
แห่งวัตถุมีรสอร่อย ผลบุญย่อมสำเร็จที่ฝ่ามือ
ของท่านเพราะพรหมจรรย์นั้น ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
อสัยหเศรษฐีผู้เลื่อมใสได้ให้ทานด้วยมือทั้งสอง
ของตน ละร่างกายมนุษย์แล้ว ไปทางทิศไหน
หนอ.

รุกขเทวดาตอบว่า :-
เราไม่รู้ทางไปหรือทางมาของอสัยห-
เศรษฐี ผู้เป็นเจ้าของแห่งทาน ผู้มีรัศมีซ่านออก
จากตน แต่เราได้ฟังมาในสำนักของท้าวเวสวัณ
ว่า อสัยหเศรษฐี ถึงความเป็นสหายแห่งท้าว-
สักกะ.

อังกุรพาณิชกล่าวว่า :-
บุคคลควรทำความดีแท้ ควรให้ทานตาม
สมควร ใครได้เห็นฝ่ามืออันให้สิ่งที่น่าใคร่แล้ว
จักไม่ทำบุญเล่า เราไปจากที่นี้ถึงทวารกะนคร
แล้ว จักรีบให้ทานอันจักนำความสุขมาให้เรา
แน่แท้ เราจักให้ข้าว น้ำ ผ้า เสนาสนะ บ่อน้ำ
สระน้ำ และสะพานในที่เดินยากเป็นทาน.

อังกุรพาณิชถามว่า :-
เพราะเหตุไร นิ้วมือของท่านจึงงอหงิก
ปากของท่านจึงเบี้ยว และนัยน์ตาทะเล้นออก
ท่านได้ทำบาปกรรมอะไรไว้.

เปรตนั้นตอบว่า :-
เราอันคฤหบดีตั้งไว้ในการให้ทาน ในโรง
ทานของคฤหบดี ผู้มีอังคีรส ผู้มีศรัทธา เป็น
ฆราวาส ผู้ครอบครองเรือน เห็นยาจกผู้มีความ
ประสงค์ด้วยโภชนะ มาที่โรงทานนั้น ได้หลีก
ไปทำการบุ้ยปากอยู่ ณ ที่ข้างหนึ่ง เพราะกรรม
นั้น นิ้วของเราจึงงอหงิก ปากของเราจึงเบี้ยว
นัยน์ตาทะเล้นออกมา เราได้ทำบาปกรรมนั้นไว้.

อังกุรพาณิชถามว่า :-
แน่ะบุรุษเลวทราม การที่ท่านมีปากเบี้ยว
ตาทั้ง 2 ทะเล้นเป็นการชอบแล้ว เพราะท่านได้
ทำการบุ้ยปากต่อทานของผู้อื่น ก็ไฉน อสัยห-
เศรษฐีเมื่อจะให้ทาน จึงได้มอบข้าว น้ำ ของเคี้ยว
ผ้า และเสนาสนะ ให้ผู้อื่นจัดแจง ก็เราไปจาก
ที่นี้ถึงทวารกะนครแล้ว จักเริ่มให้ทานที่นำความ
สุขมาให้แก่เราแน่แท้ เราจักให้ข้าว น้ำ ผ้า เสนา-
สนะ บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพานทั้งหลายในที่เดิน

ลำบากให้เป็นทาน ก็อังกุรพาณิชกลับจากทะเล
ทรายไปถึงทวารกะนครแล้ว ได้เริ่มให้ทานอัน
นำความสุขมาให้ตน ได้ให้ข้าว น้ำ ผ้า เสนา-
สนะ บ่อน้ำ สระน้ำ ด้วยจิตอันเลื่อมใส.
ช่างกัลบก พ่อครัว ชาวมคธ พากันป่าว
ร้องในเรือนของอังกุรพาณิชนั้น ทั้งในเวลาเย็น
ทั้งในเวลาเช้าทุกเมื่อว่า ใครหิวจงมากินตาม
ชอบใจ ใครกระหายจงมาดื่มตามชอบใจ ใคร
จักนุ่งห่มผ้าจงนุ่งห่ม ใครต้องการพาหนะสำหรับ
เทียมรถ จงเทียมพาหนะในคู่แอกนี้ ใคร ต้องการ
ร่มจงเอาร่มไป ใครต้องการของหอม จงมาเอา
ของหอมไป ใครต้องการดอกไม้จงมาเอาดอกไม้
ไป ใครต้องการรองเท้า จงมาเอารองเท้าไป
มหาชนย่อมรู้เราว่า อังกุระนอนเป็นสุข ดูก่อน
สินธุมาณพ เรานอนเป็นทุกข์ เพราะไม่ได้เห็น
พวกยาจก มหาชนรู้เราว่า อังกุระนอนเป็นสุข
ดูก่อนสินธุมาณพ เรานอนเป็นทุกข์ ในเมื่อ
วณิพกมีน้อย.

สินธุมาณพได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาความว่า :-
ถ้าท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าชาวดาวดึงส์
และเป็นใหญ่กว่าโลกทั้งปวง พึงให้พรท่าน ท่าน

เมื่อจะเลือก พึงเลือกเอาพรเช่นไร.
อังกุรพาณิชกล่าวว่า :-
ถ้าท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าชาวดาวดึงส์
พึงให้พรแก่เรา เราจะพึงขอพรว่า เมื่อเราลุกขึ้น
แต่เช้า ในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ขอภักษาหารอัน
เป็นทิพย์ และพวกยาจกผู้มีศีลพึงปรากฏ เมื่อ
เราให้อยู่ ไทยธรรมไม่พึงหมดสิ้นไป ครั้นเราให้
ทานนั้นแล้ว ไม่พึงเดือดร้อนในภายหลัง เมื่อ
กำลังให้พึงยังจิตให้เลื่อมใส ข้าพเจ้าพึงเลือก
เอาพรอย่างนี้กะท้าวสักกะ.

โสณกบุรุษกล่าวเตือนอังกุรพาณิชว่า :-
บุคคลไม่พึงให้ทรัพย์เครื่องปลื้มใจทั้ง
หมด แก่บุคคลอื่น ควรให้ทานและควรรักษา
ทรัพย์ไว้ เพราะว่าทรัพย์เท่านั้นประเสริฐกว่า
ทาน สกุลทั้งหลายยอมตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะการให้
ทานเกินประมาณไป บัณฑิตย่อมไม่สรรเสริญ
การไม่ให้ทานและการให้เกินควร เพราะเหตุนั้น
แล ทรัพย์เท่านั้นประเสริฐกว่าทาน บุคคลผู้เป็น
ปราชญ์ สมบูรณ์ด้วยธรรม ควรประพฤติโดยพอ
เหมาะ.

อังกุรพาณิชกล่าวว่า :-
ดูก่อนชาวเราทั้งหลาย ดีหนอ เราพึงให้
ทานแล ด้วยว่าสัตบุรุษผู้สงบระงับพึงคบหาเรา
เราพึงยังความประสงค์ของวณิพกทั้งปวงให้เต็ม
เลี้ยงดูให้อิ่มหนำ เปรียบเหมือนฝนยังที่ลุ่ม
ทั้งหลายให้เต็มฉะนั้น สีหน้าของบุคคลใดย่อม
ผ่องใส เพราะเห็นพวกยาจก บุคคลนั้นครั้นให้
ทานแล้วมีใจเบิกบาน ข้อนั้นเป็นความสุขของ
บุคคลผู้อยู่ครองเรือน หน้าของบุคคลใดย่อม
ผ่องใสเพราะเห็นพวกยาจก บุคคลนั้นครั้นให้
ทานแล้ว ย่อมปลาบปลื้มใจ นี้เป็นความถึงพร้อม
แห่งยัญ ก่อนแต่ให้ก็มีใจเบิกบาน เมื่อกำลังให้
ก็ยังจิตให้ผ่องใส ครั้นให้แล้ว ก็มีใจเบิกบาน
นี้เป็นความถึงพร้อมแห่งยัญ.

พระสังคีติกาจารย์กล่าวคาถาทั้งหลายความว่า :-
ในเรือนของอังกุรพาณิชผู้มุ่งบุญ เขาให้
โภชนะแก่หมู่ชนวันละ 6 หมื่นเล่มเกวียนเป็น
นิตย์ พ่อครัว 3,000 คน ประดับด้วยต่างหูอัน
วิจิตรด้วยมุกดาและแก้วมณี เป็นผู้ขวนขวายใน
การให้ทาน พากันเข้าไปอาศัยอังกุรพาณิชเลี้ยง
ชีวิต มาณพ 6 หมื่นคน ประดับด้วยต่างหูอัน

วิจิตรด้วย แก้วมุกดา และแก้วมณี ช่วยกันผ่า
ฟืนสำหรับหุงอาหารในมหาทานของอังกุรพาณิช
นั้น พวกนารี 16,000 คนประดับด้วยอลังการ
ทั้งปวง ช่วยกันบดเครื่องเทศสำหรับปรุงอาหาร
ในมหาทานของอังกุรพาณิชนั้น นารีอีก 16,000
คน ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ถือทัพพี
เข้ายืนคอยรับใช้ในมหาทานของอังกุรพาณิชนั้น
อังกุรพาณิชนั้น ได้ให้ของเป็นอันมากแก่มหาชน
โดยประการต่าง ๆ ได้ทำความยำเกรงด้วยความ
เคารพและด้วยมือของตนเองบ่อย ๆ ยังมหาทาน
ให้เป็นไปแล้วสิ้นเดือน สิ้นปักษ์ สิ้นฤดูและปี
เป็นอันมาก ตลอดกาลนาน อังกุรพาณิชได้ให้
ทานและทำการบูชาอย่างนี้ ตลอดกาลนาน ละ
ร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปบังเกิดในดาวดึงส์ อินทก-
มาณพได้ถวายภิกษาทัพพีหนึ่งแก่พระอนุรุทธ-
เถระ ละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปบังเกิดในดาวดึงส์
เหมือนกัน แต่อินทกเทพบุตรรุ่งเรืองยิ่งกว่า
อังกุรเทพบุตรโดยฐานะ 10 อย่าง คือ รูป เสียง
กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่ารื่นรมย์ใจ อายุ
ยศ วรรณะ สุข และความเป็นใหญ่.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า :-

ก่อนอังกุระ มหาทานท่านได้ให้แล้วสิ้น
กาลนาน ท่านมาในสำนักของเรา ไฉนจึงนั่งอยู่
ไกลนัก.
เมื่อพระพุทธเจ้าผู้เป็นอุดมบุรุษ ประทับ
อยู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ภายใต้ต้นปาริ-
ฉัตตกพฤกษ์ ณ ดาวดึงส์ ครั้งนั้น เทวดาในหมื่น
โลกธาตุ พากันมานั่งประชุมเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า
ซึ่งประทับบนยอดเขา เทวดาไร ๆ ไม่รุ่งโรจน์
เกินกว่าพระสัมพุทธเจ้าด้วยรัศมี พระสัมพุทธ-
เจ้าเท่านั้น ย่อมรุ่งโรจน์ล่วงหมู่เทวดาทั้งปวง
ครั้งนั้น อังกุรเทพบุตรนี้นั่งอยู่ไกล 12 โยชน์
จากที่พระพุทธเจ้าประทับ ส่วนอินทกเทพบุตร
นั่งในที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า รุ่งเรื่องกว่าอัง
กุรเทพบุตร พระสัมพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็น
อังกุรเทพบุตรกับอินทกเทพบุตรแล้ว เมื่อจะ
ทรงประกาศทักขิไณยบุคคล จึงได้ตรัสพระ-
พุทธพจน์นี้ความว่า ดูก่อนอังกุรเทพบุตร มหา-
ทานท่านให้แล้วสิ้นกาลนาน ท่านมาสู่สำนักของ
เรา ไฉนจึงนั่งอยู่ไกลนัก อังกุรเทพบุตร อัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระองค์อันอบรมแล้ว
ทรงตักเตือนแล้ว ได้กราบทูลว่า จะทรงประสงค์

อะไร ด้วยทานของข้าพระองค์นั้น อันว่างเปล่า
จากทักขิไณยบุคคล อินทกเทพบุตรนี้ให้ทาน
นิดหน่อย รุ่งเรื่องยิ่งกว่าข้าพระองค์ ดุจพระ-
จันทร์ในหมู่ดาวฉะนั้น.

อินทกเทพบุตรทูลว่า
พืชแม้มากที่บุคคลหว่านแล้วในนาดอน
ผลย่อมไม่ไพบูลย์ ทั้งไม่ยังชาวนาให้ปลื้มใจ
ฉันใด ทานมากมายอันบุคคลเข้าไปตั้งไว้ใน
บุคคลผู้ทุศีล ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่มีผล
ไพบูลย์ ทั้งไม่ยังทายกให้ปลาบปลื้ม พืชแม้น้อย
อันบุคคลหว่านแล้วในนาดี เมื่อฝนหลั่งสายน้ำ
โดยสม่ำเสมอ ผลย่อมยังชาวนาให้ปลาบปลื้มใจ
แม้ฉันใด ทานแม้น้อยอันบุคคลบริจาคแล้วใน
ท่านผู้มีศีล มีคุณความดี ผู้คงที่บุญย่อมมีผลมาก
ฉันนั้นเหมือนกัน ทานอันบุคคลให้แล้วในเขตใด
มีผลมาก ควรเลือกให้ในเขตนั้น ทายกเลือกให้
ทานแล้วย่อมไปสู่สวรรค์ ทานที่เลือกให้พระสุคต
ทรงสรรเสริญ ทักขิไณยบุคคลเหล่าใดมีอยู่ใน
โลกนี้ ทานที่ทายกให้แล้วในทักขิไณยบุคคลเหล่า
นั้น ย่อมมีผลมาก เหมือนพืชที่หว่านแล้วในนาดี
ฉะนั้น.

จบ อังกุรเปตวัตถุที่ 9

อรรถกถาอังกุรเปตวัตถุที่ 9



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภ
อังกุรเปรต จึงตรัสพระคาถานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยสฺส อตฺถาย
คจฺฉาม.
ก็ในที่นี้ ไม่มีอังกุรเปรตก็จริง แต่เพราะความประพฤติ
ของอังกุรเปรตนั้นเกี่ยวเนื่องด้วยเปรต ฉะนั้น ความประพฤติ
ของอังกุรเปรตนั้น ท่านจึงกล่าวว่าอังกุรเปตวัตถุ.
ในข้อนั้นมีสังเขปกถาดังต่อไปนี้ :- ยังมีกษัตริย์ 11
พระองค์ คือ พระนางอัญชนเทวี และน้องชาย 10 พระองค์ คือ
วาสุเทพ พลเทพ จันทเทพ สุริยเทพ อัคคิเทพ วรุณเทพ อัชชุนะ
ปัชชุนะ ฆฏบัณฑิต และอังกุระ อาศัยครรภ์ของพระนางเทวคัพภา
ผู้พระธิดาของพระเจ้ามหากังสะ ในอสิตัญชนนคร ซึ่งพระเจ้ากังสะ
ปกครองในอุตตราปถชนบท เพราะอาศัยเจ้าอุปสาครผู้โอรส
ของพระเจ้ามหาสาครผู้เป็นใหญ่ในอุตตรมธุรชนบท บรรดา
กษัตริย์เหล่านั้น กษัตริย์ผู้น้องชายมีวาสุเทพเป็นต้น ใช้จักรปลง
พระชนมชีพพระราชาทั้งหมด 63,000 นคร ทั่วชมพูทวีป นับ
ตั้งต้นแต่อสิตัญพชนนครจนถึงกรุงทวารวดีเป็นที่สุด แล้วประทับ
อยู่ในทวารวดีนคร แบ่งรัฐออกเป็น 10 ส่วน แต่ไม่ได้นึกถึง
พระนางอัญชนเทวี ผู้เป็นพระเชษฐภคินี แต่เมื่อระลึกขึ้นได้จึง
กล่าวว่า เราจะแบ่งเป็น 11 ส่วน เจ้าอังกุระน้องชายคนสุดท้อง
ของกษัตริย์เหล่านั้นกล่าวว่า ท่านจงแบ่งส่วนของหม่อมฉันให้แก่