เมนู

12. อุรคเปตวัตถุ



ว่าด้วยมาอย่างไรไปอย่างนั้น



พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นแล้ว เมื่อจะบอกเหตุแห่งการไม่เศร้าโศก
จึงกล่าวคาถา 2 คาถาความว่า
[97] บุตรของเรา ละสรีระอันคร่ำคร่าของตน
ไป เหมือนงูลอกคราบฉะนั้น เมื่อสรีระแห่งบุตร
ของเรา ใช้สอยไม่ได้ ละไปแล้ว มีกาละอัน
กระทำแล้วอย่างนี้ บุตรของเราเมื่อญาติเผาอยู่
ย่อมไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของญาติทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น เราจึงไม่เศร้าโศกถึงเขา คติอันใด
ของเขามีอยู่ เขาได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว.

นางพราหมณีกล่าวว่า
บุตรของดิฉัน ดิฉันไม่ได้เชิญมา ก็มาแล้ว
จากปรโลก ดิฉันไม่ได้อนุญาตให้ไป ก็ไปแล้ว
จากมนุษยโลกนี้ เขามาอย่างไร เขาก็ไปอย่างนั้น
ทำไมจะต้องไปร่ำไรในการไปจากโลกนี้ของเขา
เล่า บุตรของดิฉันเมื่อพวกญาติเผาอยู่ ย่อมไม่
รู้สึกถึงความร่ำไรของหมู่ญาติ เพราะฉะนั้น ดิฉัน
จึงไม่ร้องไห้ถึงบุตรนั้น คติอันใดของเขามีอยู่
เขาได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว.

น้องสาวกล่าวว่า
ถ้าดิฉันร้องไห้ ก็จะเป็นผู้ซูบผอม ผล
อะไรจะพึงมีแก่ดิฉันในการร้องไห้นั้น ความไม่
สบายใจก็จะพึงมีแก่ญาติและมิตรสหายทั้งหลาย
โดยยิ่ง พี่ชายของดิฉันอันญาติเผาอยู่ ย่อมไม่
รู้สึกถึงความร่ำไรของญาติทั้งหลาย เพราะฉะนั้น
ดิฉันจึงไม่ร้องไห้ถึงพี่ชายของดิฉันนั้น คติอันใด
ของเขามีอยู่ เขาได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว.

ส่วนภรรยาของเขากล่าวว่า
ผู้ใดเศร้าโศกถึงคนที่ล่วงลับไปแล้ว ผู้
นั้นก็เปรียบเหมือนทารกร้องไห้ถึงพระจันทร์
อันลอยอยู่ในอากาศฉะนั้น สามีของดิฉันอันญาติ
เผาอยู่ ย่อมไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของพวกญาติ
เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงไม่ร้องไห้ถึงเขา คติอันใด
ของเขามีอยู่ เขาได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว.

ส่วนนางทาสีกล่าวว่า
ข้าแต่ท่านผู้เป็นเหล่ากอแห่งพรหม หม้อ
น้ำอันแตกแล้ว พึงประสานให้ติดอีกไม่ได้ ฉันใด
ผู้ใดเศร้าโศกถึงผู้ล่วงลับไปแล้ว ผู้นั้นก็เปรียบ
เหมือนฉันนั้น นายของดิฉันอันพวกญาติเผาอยู่
ย่อมไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของญาติทั้งหลาย

เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงไม่ร้องไห้ถึงท่าน คติอันใด
ของท่านมีอยู่ ท่านได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว.

จบ อุรคเปตวัตถุที่ 12

อรรถกถาอุรคเปตวัตถุที่ 12

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภ
อุบาสกคนหนึ่ง จึงตรัสคำเริ่มต้นว่า อุรโคว ตจํ ชิณฺณํ ดังนี้.
ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี บุตรของอุบาสกคนหนึ่ง ได้ถึง
แก่กรรมลง. เพราะเหตุที่บุตรตายลง อุบาสกนั้น จึงถึงความ
เศร้าโศกร่ำไร ออกไปข้างนอก ไม่อาจจะทำการงานอะไร ๆ ได้
จึงอยู่แต่ในเรือนเท่านั้น. ครั้นในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาเสด็จ
ออกจากพระมหากรุณาสมาบัติ ทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ
ทรงเห็นอุบาสกนั้น ในเวลาเช้า ทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและ
จีวร ได้เสด็จไปยังเรือนของอุบาสกนั้นแล้ว ประทับยืนอยู่ที่ประตู.
ฝ่ายอุบาสก ทราบว่าพระศาสดาเสด็จมา จึงรีบลุกขึ้นไปต้อนรับ
แล้ว รับบาตรจากพระหัตถ์ แล้วให้เสด็จเข้าบ้าน ให้คนปูลาด
อาสนะถวาย. พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งบนอาสนะที่เขา
ปูลาดไว้แล้ว ฝ่ายอุบาสกไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ส่วน
ข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะอุบาสกนั้นว่า ดูก่อนอุบาสก
ทำไมจึงปรากฏดูเหมือนเศร้าโศกไป. อุบาสกกราบทูลว่า พระเจ้าข้า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า บุตรที่รักของข้าพระองค์ตายไป เพราะ
เหตุนั้น ข้าพระองค์จึงเศร้าโศก. ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงบันเทาความเศร้าโศกของเขา จึงตรัสอรุคชาดกว่า :-
ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในเมืองพาราณสี แคว้นกาสี ได้มี
ตระกูลพราหมณ์ ชื่อว่า ธรรมปาละ. ในตระกูลพราหมณ์นั้น
มีคนเหล่านี้คือ พราหมณ์ พราหมณี บุตร ธิดา ลูกสะใภ้ และทาสี
ทั้งหมดได้มีความยินดีในการเจริญมรณานุสสติ. บรรดาชนเหล่านั้น
คนผู้ที่จะออกไปจากเรือน จะให้โอวาทคนที่เหลือแล้ว ไม่ห่วงใย
ออกไป. ครั้นวันหนึ่ง พราหมณ์กับบุตรออกจากเรือนไปไถนา.
บุตร สุมหญ้าใบไม้สละฟืนแห้ง ๆ อยู่. งูเห่าตัวหนึ่งในที่นั้น
เลื้อยออกจากโพรงไม้ เพราะกลัวถูกเผาไฟจึงกัดบุตรคนนี้ของ
พราหมณ์. เขาสลบไปเพราะกำลังพิษล้มลงตรงนั้นเอง ตายแล้ว เกิด
เป็นท้าวสักกเทวราช. พราหมณ์เห็นบุตรตายแล้ว จึงพูดกะบุรุษ
คนหนึ่ง ผู้เดินไปใกล้ที่ทำงานอย่างนี้ว่า สหายเอ๋ย ท่านจงไปเรือน
ของเรา แล้วบอกนางพราหมณีอย่างนี้ว่า จงอาบน้ำ นุ่งผ้าขาว
ถือเอาภัตรและดอกไม้ของหอมเป็นต้น สำหรับคนผู้เดียวแล้วจง
รีบมา. บุรุษนั้นไปที่เรือนนั้นแล้ว บอกให้ทราบอย่างนั้น. ฝ่ายชน
ในเรือนก็ได้ทำตาม. พราหมณ์ อาบน้ำ บริโภคอาหารแล้วลูบไล้
มีชนบริวารห้อมล้อม ยกร่างของบุตรขึ้นเชิงตะกอน จุดไฟเผา
ไม่เศร้าโศก ไม่เดือดร้อน ได้ยินมนสิการถึงอนิจจสัญญา เหมือน
เผาท่อนไม้.

ลำดับนั้น บุตรของพราหมณ์ บังเกิดเป็นท้าวสักกะ. และ
ท้าวสักกะนั้น ก็ได้เป็นพระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลาย. พระองค์
ทรงพิจารณาชาติก่อนของพระองค์ และบุญที่ได้ทำไว้ เมื่อจะ
อนุเคราะห์บิดาและพวกญาติ จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์มาใน
ที่นั้น เห็นพวกญาติไม่เศร้าโศก จึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญเผามฤค
จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้าบ้าง ข้าพเจ้าหิวจริง. พราหมณ์กล่าวว่า
ไม่ใช่มฤค แต่เป็นมนุษย์นะพราหมณ์. ท้าวสักกะกล่าวว่า ผู้นี้
เป็นศัตรูของพวกท่านหรือไง. พราหมณ์กล่าวว่า ไม่ใช่ศัตรู
เขาเป็นบุตรรุ่นหนุ่ม มีคุณมาก เป็นโอรสเกิดในอก. ท้าวสักกะ
กล่าวว่า เมื่อบุตรรุ่นหนุ่มมีคุณเห็นปานนั้นตายไป ทำไมพวกท่าน
จึงไม่เศร้าโศกกันเล่า. พราหมณ์ได้ฟังดังนั้น เมื่อจะบอกเหตุที่
ไม่เศร้าโศก จึงกล่าว 2 คาถาว่า :-
บุตรของเรา ละสรีระอันคร่ำคร่าของตน
ไป เหมือนงูลอกคราบ เมื่อสรีระใช้สอยไม่ได้
ละไปแล้วทำกาละไปแล้วอย่างนี้ บุตรของเรา
เมื่อญาติเผาอยู่ ย่อมไม่รู้ถึงความร่ำไรของพวก
ญาติได้ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่เศร้าโศกถึงเขา.
คติอันใดของเขามีอยู่ เขาก็ได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุรโค ความว่า ชื่อว่า อุรคะ
เพราะไปด้วยอก. คำว่า อุรโค นี้ เป็นชื่อของงู. บทว่า ตจํ ชิณฺณํ
ได้แก่ หนังคือคราบของตน อันคร่ำคร่าคือเก่า เพราะความ

ทรุดโทรม. บทว่า หิตฺวา คจฺฉติ สนฺตนุํ ความว่า งูลอกละทิ้ง
คราบเก่าของตนจากร่าง ในระหว่างต้นไม้ ในระหว่างไม้ฟืน
ในระหว่างโคนต้นไม้ หรือในระหว่างแผ่นหิน เหมือนคนถอดเสื้อ
แล้วไปตามความต้องการ ฉันใด สัตว์ผู้หมุนเวียนไปในสงสาร
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ละร่างของตน คือสรีระของตน อันชื่อว่า
เป็นของคร่ำคร่า เพราะกรรมเก่าหมดสิ้นไป คือ ไปตามกรรม.
อธิบายว่า อุบัติ โดยภพใหม่. พราหมณ์เมื่อจะแสดงถึงร่างกาย
ของบุตรที่กำลังพากันเผาอยู่ จึงกล่าวว่า เอวํ ดังนี้เป็นต้น. บทว่า
สรีเร นิพฺโภเค ได้แก่ เมื่อร่างกายแม้ของตนเหล่าอื่น ที่ใช้สอยไม่ได้
อย่างนี้ ก็ไม่เกิดประโยชน์ เหมือนร่างกายของบุตรนี้. บทว่า
เปเต ได้แก่ ปราศจาก อายุ ไออุ่น และวิญญาณ. บทว่า กาลกเต สติ
ได้แก่ ตายไปแล้ว. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะร่างกายที่ถูกเผา
ย่อมไม่รู้สึกถึงการร้องไห้ ทั้งความร่ำไรของพวกญาติ เหมือน
บุตรของเรา ไม่รู้ความทุกข์ที่เกิดแต่การเผา เพราะปราศจาก
วิญญาณ ฉะนั้น เราทำบุตรคนนี้ของเราให้เป็นเหตุ จึงไม่ร้องไห้.
บทว่า คโต โส ตสฺส ยา คติ ความว่า หากว่า สัตว์ที่ตายไปแล้ว
ทั้งหลาย ไม่ขาดศูนย์ไซร้ ถึงกระนั้น ผู้ตายพึงหวังคติใด ด้วย
อำนาจกรรมที่มีโอกาสได้กระทำไว้ เขาก็ไปสู่คตินั้น ถัดจาก
การจุติทีเดียว, อธิบายว่า เขาย่อมไม่หวัง การร้องไห้ หรือความ
ร่ำไร ของพวกญาติคนก่อน ๆ ทั้งการร้องไห้ของพวกญาติคน
ก่อน ๆ ก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไร ๆ เสียโดยมาก.

เมื่อพราหมณ์ได้กล่าวถึงเหตุที่ตนไม่เศร้าโศก เมื่อได้
ประกาศถึงความฉลาดในมนสิการโดยปริยายอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกะ
ผู้มาในรูปร่างพราหมณ์ จึงตรัสกะนางพราหมณีว่า แม่คุณ
ผู้ตายนั้น เป็นอะไรกับท่าน. พราหมณีกล่าวว่า นาย เขาเป็น
บุตรของฉัน ฉันบริหารครรภ์มาถึง 10 เดือน ให้ดื่มน้ำนม ประคบ
ประหงมมือและเท้า จนเติบโต. ท้าวสักกะตรัสว่า ถ้าเมื่อเป็น
เช่นนี้ เริ่มแรกบิดา ไม่ร้องไห้ เพราะเขาเป็นผู้ชาย, แต่ธรรมดา
ว่ามารดามีหทัยอ่อนโยน เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่รู้องไห้เล่า.
นางได้ฟังดังนั้น เมื่อจะบอกเหตุที่ไม่รู้องไห้ จึงกล่าว 2 คาถาว่า :-
บุตรของดิฉัน ดิฉันไม่ได้เชิญมาก็มาจาก
ปรโลกนั้น ดิฉันไม่ได้อนุญาตให้ไป ก็ไปแล้ว
จากมนุษยโลกนี้ เขามาอย่างใด เขาก็ไปอย่าง
นั้น ทำไมจะต้องไปร่ำไร ในการไปจากโลกนี้ของ
เขาเล่า. เขาถูกพวกญาติเผาอยู่ ย่อมไม่รู้สึก
ถึงความร่ำไร ของพวกญาติ เพราะฉะนั้น ดิฉัน
จึงไม่ร้องไห้ถึงเขา, คติอันใดของเขามีอยู่ เขาก็
ได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนพฺภิโต แปลว่า ไม่ได้เรียกมา
คือ ไม่ได้ร้องเรียกอย่างนี้ว่า เจ้าจงมาเป็นบุตรของเราเถิด. บทว่า
ตโต ได้แก่ จากปรโลกที่เขาเคยอยู่มาก่อน. บทว่า อาคา แปลว่า
มาแล้ว. บทว่า นานุญฺญาโต แปลว่า ไม่ได้อนุมัติ คือ พวกเรามิได้

ปล่อยไปอย่างนี้ว่า จงไปปรโลกเถิดพ่อ. บทว่า อิโต โยคว่า
อิธโลกโต แปลว่า จากโลกนี้. บทว่า คโต แปลว่า ไปปราศแล้ว.
บทว่า ยถาคโต ได้แก่ มาแล้วโดยอาการใด, อธิบายว่า พวกเรา
ไม่ได้เรียกก็มา. บทว่า ตถา คโต ได้แก่ ไปแล้ว โดยอาการนั้น
เหมือนกัน. พราหมณีแสดงถึงกรรมที่บุตรนั้นกระทำว่า เขามา
ด้วยกรรมของตนเองอย่างใด เขาก็ไปด้วยกรรมของตนเองอย่างนั้น.
บทว่า ตตฺถ กา ปริเทวนา ความว่า ทำไมจะไปมัวร่ำไร เพราะ
อาศัยความตายในการเวียนว่ายอยู่ในสงสาร ที่ไม่อยู่ในอำนาจ
อย่างนี้เล่า. พราหมณีแสดงว่า ความร่ำไรนั้น ไม่สมควร ผู้มีปัญญา
ไม่พึงกระทำ.
ท้าวสักกะครั้นได้สดับคำของนางพราหมณีอย่างนี้แล้ว
จึงถามน้องสาวของเขาว่า แม่คุณ เขาเป็นอะไรกับเธอหรือ ?
น้องสาวตอบว่า เขาเป็นพี่ชายของฉันจ๊ะนาย. ท้าวสักกะถามว่า
แน่ะแม่ ธรรมดาว่าน้องสาว จะต้องรักพี่ชาย เพราะเหตุไร
เธอจึงไม่รู้องไห้เล่า. ฝ่ายนางเมื่อจะบอกเหตุที่ไม่ร้องไห้ จึงกล่าว
2 คาถาว่า :-
ถ้าดิฉันร้องไห้ ก็จะฝ่ายผอม ผลอะไรจะ
พึงมีแก่ฉัน ในการร้องให้นั้น ความไม่สบายใจ
ก็จะพึงมีแก่ญาติมิตรและสหายยิ่งขึ้น. พี่ชาย
ของดิฉันถูกเผาอยู่ ยังไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของ

พวกญาติเลย เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงไม่ร้องไห้ถึง
เขา คติอันใดของเขามีอยู่ เขาก็ไปสู่คติอันนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สเจ โรเท กิสา อสฺสํ ความว่า
ถ้าเราจะพึงร้องไห้ คือ เราก็จะซูบผอม มีร่างกายเหี่ยวแห้ง.
บทว่า ตตฺถ เม กึ ผลํ สิยา ความว่า จะมีผลชื่อไร จะมีอานิสงส์
ชื่อไร ในการร้องไห้ ซึ่งมีการตายของพี่ชายฉันเป็นเหตุนั้น, อธิบายว่า
พี่ชายของฉันก็จะไม่พึงมา เพราะการร้องไห้นั้น ทั้งเขาก็จะ
ไม่ไปสู่สุคติ เพราะการร้องไห้นั้น. บทว่า ญาติมิตฺตสุหชฺชานํ
ภิยฺโย โน อรตี สิยา
ความว่า ความไม่สบายใจ คือความลำบาก
เท่านั้น แม้ที่ยิ่งกว่าความทุกข์ในเพราะการตายของพี่ชาย จะพึง
มีแก่ญาติ มิตร และสหาย ของพวกเรา เพราะความเศร้าโศกของ
ดิฉัน.
ท้าวสักกะ ได้สดับคำของน้องสาวอย่างนั้นแล้ว จึงกล่าว
กะภริยาของเขาว่า เธอเป็นอะไรกะเขา ? นางตอบว่า เขาเป็น
สามีของดิฉันจ๊ะนาย. ท้าวสักกะตรัสว่า นางผู้เจริญ ธรรมดา
สตรีย่อมมีความเสน่หาในสามี และหญิงหม้ายในสามีนั้น ย่อมเป็นคน
ไร้ที่พึ่ง เพราะเหตุไร เธอจึงไม่ร้องไห้. ฝ่ายนาง เมื่อจะบอกเหตุ
ที่ตนไม่ร้องไห้ จึงกล่าว 2 คาถาว่า :-
ผู้ใดเศร้าโศก ถึงคนที่ล่วงลับไปแล้ว ผู้
นั้นก็เปรียบเหมือนทารก ร้องไห้ถึงพระจันทร์
อันลอยอยู่ในอากาศ ฉะนั้น. สามีดิฉันถูกพวก

ญาติเผาอยู่ ยังไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของพวกญาติ
เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงไม่ร้องไห้ถึงเขา คติอันใด
ของเขามีอยู่ เขาก็ไปสู่คติอันนั้นแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทารโก ได้แก่ เด็กอ่อน. บทว่า
จนฺทํ ได้แก่ ดวงจันทร์. บทว่า คจฺฉนฺตํ ได้แก่ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า.
บทว่า อนุโรทติ ความว่า ย่อมร้องไห้ว่า จงจับล้อรถให้ฉันเถิด.
บทว่า เอวํ สมฺปหเมเวตํ ความว่า ผู้ใดย่อมเศร้าโศกถึงผู้ล่วง
ลับไปแล้ว คือ ตายไปแล้ว, ความเศร้าโศกของผู้นั้น ก็เปรียบเหมือน
อย่างนั้น คือเห็นปานนั้น, อธิบายว่า เหมือนมีความต้องการจะจับ
พระจันทร์ ซึ่งลอยอยู่กลางอากาศ เพราะความอยากได้ในสิ่งที่
ไม่ควรจะได้.
ท้าวสักกะครั้นฟังคำภริยาของเขาอย่างนั้นแล้ว จึงถามทาสี
ว่า เธอเป็นอะไรกะเขา ทาสีตอบว่า เขาเป็นนายของดิฉันจ๊ะ
ท้าวสักกะกล่าวว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น เธอคงจักถูกเขาโปยตีแล้ว
ใช้ให้ทำการงาน เพราะฉะนั้น เธอเห็นจะไม่ร้องไห้ ด้วยคิดว่า
เราพ้นดีแล้วจากเขา. นางทาสีกล่าวว่า นาย อย่าได้พูดอย่างนั้น
กะดิฉันเลย ทั้งข้อนั้นก็ไม่สมควรแก่ดิฉัน, บุตรของเจ้านายดิฉัน
พร้อมด้วยขันติ เมตตา และความเอ็นดู เป็นอย่างยิ่ง ชอบกล่าว
ความถูกต้อง ได้เป็นเหมือนบุตรที่เติบโตในอก. ท้าวสักกะกล่าวว่า
เมื่อเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุไร เธอจึงไม่ร้องไห้. ฝ่ายนางทาสี
เมื่อจะบอกเหตุที่ตนไม่รู้องไห้ จึงกล่าว 2 คาถาว่า :-

ข้าแต่ท่านผู้เป็นเหล่ากอของพรหม หม้อ
น้ำที่แตกแล้ว จะพึงประสานให้ติดอีกไม่ได้
ฉันใด ผู้ใดเศร้าโศกถึงผู้ล่วงลับไปแล้ว ผู้นั้นก็
เปรียบเหมือนฉันนั้น นายของดิฉันถูกพวกญาติ
เผาอยู่ ก็ยังไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของพวกญาติ
เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงไม่ร้องให้ถึงท่าน คติอันใด
ของท่านมีอยู่ ท่านก็ได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถาปิ พฺรหฺเม อุทกุมฺโภ ภินฺโน
อปฺปฏิสนธฺโย
ความว่า ก่อนพราหมณ์ หม้อน้ำที่แตกไปด้วย
การทุบด้วยไม้ฆ้อนเป็นต้น จะประสานให้ติดกันอีกไม่ได้ คือจะ
ให้เป็นปกติอย่างเดิมไม่ได้. คำที่เหลือในคาถานี้ มีเนื้อความง่าย
ทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวไว้แล้ว.
ท้าวสักกะ ครั้นได้ฟังถ้อยคำของตนเหล่านั้นแล้ว มีจิต
เสื่อมใส จึงตรัสว่า ท่านทั้งหลาย เจริญมรณัสสติชอบทีเดียว ตั้งแต่
นี้ไป ท่านทั้งหลาย ไม่มีกิจที่จะทำมีการไถนาเป็นต้น ดังนี้แล้ว
จึงทำเรือนของชนเหล่านั้น ให้เต็มด้วยรัตนะ 7 ประการ โอวาทว่า
ท่านทั้งหลาย อย่าประมาทจงให้ทาน รักษาศีล ทำอุโบสถกรรม
และบอกให้คนเหล่านั้นรู้จักพระองค์แล้ว เสด็จไปสู่ที่ของพระองค์
แล. แม้ชนเหล่านั้น มีพราหมณ์เป็นต้น ทำบุญมีทานเป็นต้น ดำรง
อยู่ชั่วอายุแล้ว บังเกิดในเทวโลก.

พระศาสดา ครั้นทรงนำชาดกนี้มาแล้ว ทรงถอนลูกศร
คือความเศร้าโศกของอุบาสกนั้นแล้ว ทรงประกาศสัจจะให้สูง ๆ
ขึ้น. ในเวลาจบสัจจะ อุบาสก ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล.
จบ อรรถกถาอุรคเปตวัตถุที่ 12
จบ ปรมัตถทีปนี
อรรถกถาขุททกนิกาย เปตวัตถุ
รวมเรื่องในอุรควรรค คือ
1. เขตตูปมาเปตวัตถุ 2. สูกรเปตวัตถุ 3. ปูติมุขเปติวัตถุ
4. ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุ 5. ติโรกุฑฑเปตวัตถุ 6. ปัญจปุตตขา-
ทิกเปติวัตถุ 7. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ 8. โคณเปตวัตถุ
9. มหาเปสการเปติวัตถุ 10. ขัลลาติยเปติวัตถุ 11. นาคเปตวัตถุ
12. อุรคเปตวัตถุ.
จบ อุรควรรคที่ 1

อุพพรีวรรคที่ 2



1. สังสารโมจกเปติวัตถุ



ว่าด้วยไม่ทำบุญเกิดเป็นนางเปรต



ท่านพระสารีบุตรเถระถามนางเปรตตนหนึ่งว่า
[98] ท่านเป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด
ซูบผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ก่อนนางผู้
ซูบผอมมีแต่ซี่โครง ท่านเป็นใครเล่ามายืนอยู่ใน
ที่นี้.

นางเปรตนั้นตอบว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรต เข้าถึง
ทุคติเกิดในยมโลก ได้ทำกรรมอันชั่วไว้ จึงจาก
มนุษยโลกนี้ไปสู่เปตโลก.

พระเถระถามว่า
ท่านทำกรรมชั่วอะไรด้วยกาย วาจา ใจ
เล่า ท่านจากมนุษยโลกนี้ไปสู่เปตโลก เพราะ
วิบากแห่งกรรมอะไร.

นางเปรตนั้นตอบว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ชนเหล่าใดเป็นบิดาก็ดี
มารดาก็ดี หรือแม้เป็นญาติ ผู้มีจิตเลื่อมใส พึง