เมนู

11. นาคเปตวัตถุ


ว่าด้วยกรรมทำให้เป็นเทพและเป็นเปรต


สามเณรถามว่า :-
[96] คนหนึ่งขี่ช้างเผือกไปข้างหน้า คนหนึ่ง
ขี่รถเทียมด้วยแม่ม้าอัสดรไปท่านกลาง นางสาว
น้อยขึ้นวอไปข้างหลัง เปล่งรัศมีสว่างไสวไปทั่ว
ทั้ง 10 ทิศ ส่วนท่านทั้งหลายมือถือฆ้อนเดิน
ร้องไห้ มีหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา มีตัวเป็นแผลแตก
พัง ท่านเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบาปอะไรไว้ ท่าน
ทั้งหลายดื่มกินโลหิตของกันและกัน เพราะกรรม
อะไร.

เปรตทั้งสองได้ฟังสามเณรถามจึงตอบว่า :-
ผู้ใดขี่ช้างเผือกชาติกุญชรมี 4 เท้าไปข้าง
หน้า คนนั้นเป็นบุตรหัวปีของข้าพเจ้าทั้งสอง เมื่อ
เป็นมนุษย์เขาได้ถวายทานแก่สงฆ์ จึงได้รับความ
สุขบันเทิงใจ ผู้ใดขี่รถเทียมด้วยแม่ม้าอัสดร 4
ตัว แล่นเรียบไปท่ามกลาง ผู้นั้นเป็นบุตรคนกลาง
ของข้าพเจ้าทั้งสอง เมื่อเขาเป็นมนุษย์เป็นคนไม่
ตระหนี่ เป็นทานบดีรุ่งโรจน์อยู่ นารีที่มีปัญญา
ดวงตากลมงาม ดุจตาเนื้อ ขึ้นวอนข้างหลัง ผู้นั้น

เป็นธิดาคนสุดท้ายของข้าพเจ้าทั้งสอง นางมี
ความสุขเบิกบานใจ เพราะส่วนแห่งทานกึ่งส่วน
เมื่อก่อนเขาทั้งสามมีจิตเลื่อมใส ได้ให้ทานแก่
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ส่วนข้าพเจ้าทั้งสองเป็น
คนตระหนี่ บริภาษสมณพราหมณ์ทั้งหลาย เขา
ทั้งสามนี้ถวายทานแล้ว บำรุงบำเรอด้วยกามคุณ
อันเป็นทิพย์ ส่วนข้าพเจ้าทั้งสองซูบซีดอยู่ ดุจ
ไม้อ้อที่เขาตัดทิ้ง ฉะนั้น.

สามเณรถามว่า :-
อะไรเป็นโภชนะของท่าน อะไรเป็นที่
นอนของท่าน และท่านมีบาปธรรมอย่างยิ่ง ยัง
อัตภาพให้เป็นไปอย่างไร เมื่อโภคะเป็นอันมาก
มีอยู่ไม่น้อย ท่านหน่ายสุข ได้รับแต่ทุกข์ในวันนี้.

เปรตทั้งสองตอบว่า :-
ข้าพเจ้าทั้งสองตีซึ่งกันและกัน แล้วกิน
หนองและเลือดของกันและกัน ได้ดื่มหนองและ
เลือดเป็นอันมาก ก็ยังไม่หายอยาก มีความหิว
อยู่เป็นนิจ สัตว์ทั้งหลายไม่ให้ทาน ละไปแล้ว
เกิดในยมโลก ย่อมร่ำไรอยู่ เหมือนข้าพเจ้าทั้ง
สองฉะนั้น สัตว์เหล่าใด ได้ประสบโภคะต่าง ๆ
แล้ว ไม่ใช้สอยเอง ทั้งไม่ทำบุญ สัตว์เหล่านั้น

จักต้องหิวกระหายในปรโลก ภายหลังถูกความ
หิวแผดเผาไหม้อยู่สิ้นกาลนาน ครั้นทำกรรม
ทั้งหลายมีผลเผ็ดร้อน มีทุกข์เป็นกำไรแล้ว ย่อม
ได้เสวยทุกข์ ก็บัณฑิตทั้งหลายรู้ทรัพย์และข้าว
เปลือกเป็นอย่างหนึ่ง รู้ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายใน
มนุษยโลกนี้เป็นอย่างหนึ่ง รู้ทรัพย์และข้าว
เปลือกและชีวิตมนุษย์เป็นอีกอย่างหนึ่ง จากสิ่ง
นอกนี้แล้ว พึงทำที่พึ่งของตน ชนเหล่าใดเป็นผู้
ฉลาดในธรรม มารู้ชัดอย่างนี้ ชนเหล่านั้นย่อม
ไม่ประมาทในทาน เพราะได้ฟังคำของพระ-
อรหันต์ทั้งหลาย.

จบ นาคเปตวัตถุที่ 11

อรรถกถานาคเปตวัตถุที่ 11

เมื่อพระคาสดาประทับอยู่ในพระวิหารชื่อว่า เชตวัน ทรง
พระปรารภพราหมณ์เปรต 2 ตน จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า ปุรโต ว เสเตน ปเลติ หตฺถินา ดังนี้.
ได้ยินว่า ท่านสังกิจจะ ผู้มีอายุได้ 7 ขวบ บรรลุพระอรหัต
ในขณะจรดมีดโกนที่ปลายผมนั่นแล ดำรงอยู่ในภูมิสามเณร อยู่ใน
ราวป่าพร้อมกับภิกษุประมาณ 30 รูป ห้ามความตายที่มาถึงแก่
ภิกษุเหล่านั้น จากมือของพวกโจร 500 คน และฝึกโจรเหล่านั้น

แล้ว ให้บรรพชา ได้พาไปยังสำนักของพระศาสดา. พระศาสดา
ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น. ในเวลาจบพระธรรมเทศนา
ภิกษุเหล่านั้น ก็ได้บรรลุพระอรหัต. ลำดับนั้น ท่านสังกิจจะ มี
พรรษาครบ ได้อุปสมบทแล้ว พร้อมด้วยภิกษุ 500 รูป เหล่านั้น
พากันไปยังกรุงพาราณสี อยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน. พวก
มนุษย์พากันไปหาพระเถระ ได้ฟังธรรมแล้ว มีจิตเลื่อมใส ได้
ถวายอาคันตุกทาน เป็นพวก ๆ ตามลำดับถนน. ในบรรดามนุษย์
เหล่านั้น มีอุบาสกคนหนึ่ง ได้ชักชวนพวกมนุษย์ในนิตยภัตร.
มนุษย์เหล่านั้น ได้เริ่มตั้งนิตยภัตตามกำลัง.
ก็สมัยนั้น ในกรุงพาราณสี มีพราหมณ์มิจฉาทิฏฐิคนหนึ่ง
ได้มีบุตรชาย 2 คน บุตรหญิง 1 คน. ในบุตรเหล่านี้ บุตรคนโต
ได้มีอุบาสกเป็นมิตร. อุบาสกนั้น พาบุตรคนโต (ของพราหมณ์)
นั้น ไปพาท่านสังกิจจะ. ท่านสังกิจจะแสดงธรรมแก่เธอ. เธอได้
เป็นผู้มีจิตอ่อน. ลำดับนั้น อุบาสกนั้นกล่าวกะเธอว่า เธอจงให้
นิตยภัตรแก่ภิกษุรูปหนึ่ง. บุตรพราหมณ์กล่าวว่า พวกเราผู้เป็น
พราหมณ์ไม่เคยประพฤตินิตยภัตรทานแก่พระสมณผู้ศากยบุตร
เลย เพราะฉะนั้น เราจักไม่ยอมให้. อุบาสกกล่าวว่า ถึงเราท่าน
ก็จักไม่ให้ภัตรบ้างหรือ บุตรพราหมณ์กล่าวว่า ทำไม ฉันจักไม่ให้.
อุบาสกพูดว่า ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เธอจะให้เรา เธอจงถวาย
แก่ภิกษุรูปหนึ่งเถิด. เขารับคำแล้ว ในวันที่ 2 ได้ไปยังวิหาร
แต่เช้าตรู่ นิมนต์ภิกษุมารูปหนึ่งให้ฉันแล้ว.

เมื่อเวลาผ่านไปอย่างนี้ น้องชายและน้องสาวของเขา เห็น
การปฏิบัติของภิกษุทั้งหลาย และได้ฟังธรรมแล้ว มีความเลื่อมใส
ยิ่งในพระศาสนา และได้มีความยินดีในบุญกรรม. ชนทั้ง 3 คน
เหล่านั้น เมื่อให้ทานตามกำลังทรัพย์อย่างนี้ ได้สักการะเคารพ
นับถือบูชา สมณพราหมณ์ทั้งหลาย. ส่วนมารดาและบิดาของ
พวกเรา เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส ไม่เคารพในสมณ-
พราหมณ์ ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่พอใจในการบำเพ็ญบุญ. พวกญาติจึงได้
ขอเด็กหญิงผู้เป็นธิดา แห่งมารดาบิดาเหล่านั้น มาเพื่อประโยชน์
แก่บุตรของลุง. ก็บุตรคนโตนั้น ฟังธรรมในสำนักของท่านสังกิจจะ
แล้วเกิดความสังเวช บรรพชาแล้ว ไปยังเรือนของมารดาตน
เพื่อฉันเป็นนิตย์. มารดาปลอบใจเธอด้วยเด็กรุ่นสาว ผู้เป็นมารดา
ของพี่ชายตน. ด้วยเหตุนั้น เธอเป็นผู้กลุ้มใจจึงเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์
เรียนว่า ท่านครับ ผมจักสึก ขอท่านจงอนุญาตให้ผมสึกเถิด.
พระอุปัชฌาย์ เห็นเธอผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย จึงกล่าวว่า พ่อ
สามเณร รอสักเดือนก่อนเถอะ. พามเณรรับคำท่านแล้ว ผ่านไปได้
เดือนหนึ่ง จึงได้แจ้งให้ทราบอย่างนั้นเหมือนกัน. พระอุปัชฌาย์
ก็กล่าวซ้ำอีกว่ากึ่งเดือนเถิด. พอกึ่งเดือนผ่านไป เมื่อสามเณร
กล่าวอย่างนั้น พระเถระก็กล่าวอีกว่า รอสัก 7 วัน เถอะ. สามเณร
รับคำแล้ว. ครั้นภายใน 7 วันนั้น เรือนของน้าหญิงสามเณร
หลังพังไป ทรุดโทรม ฝาเรือนชำรุด ถูกลมพัดและฝนสาดเข้า
ก็พังลง. ในคนเหล่านั้น ท่านพราหมณ์ พราหมณี ลูกชาย 2 คน

ลูกหญิง 1 คน ถูกเรือนพังทับตายไปหมด. ในคนที่ตายไปเหล่านั้น
พราหมณ์ และนางพราหมณี บังเกิดในกำเนิดเปรต. ลูกชาย 2 คน
ลูกหญิง 1 คน บังเกิดในภุมมเทวดา. ในบุตรเหล่านั้น บุตรคนโต
เกิดมีช้างเป็นพาหนะ. บุตรคนเล็กเกิดมีรถเทียมด้วยแม่ม้าอัสดร.
บุตรหญิงมีวอทองคำเป็นเครื่องแห่แหน. พราหมณ์และนาง
พราหมณี ถือเอาฆ้อนเหล็กชนิดใหญ่มาทุบกัน. ที่ที่ถูกทุบแล้ว
มาประมาณเท่าหม้อลูกใหญ่ ผุดขึ้นครู่เดียวเท่านั้น หัวฝีก็แก่เต็มที่
แล้วแตกผุพังไป. พราหมณ์สองผัวเมียนั้น ต่างช่วยกันผ่าฝีของกัน
และกัน ถูกความโกรธครอบงำ ไร้ความกรุณาตะคอกด้วยวาจา
หยาบ พากันดื่มหนองและเลือด, และไม่ได้รับความอิ่ม.
ลำดับนั้น สามเณร ถูกความกลุ้มใจกลุ้มรุมจึงเข้าไปหา
พระอุปัชฌาย์ เรียนว่า ท่านครับ กระผมผ่านวันปฏิญญาณไป
แล้ว ผมจักกลับไปเรือน ขอท่านจงอนุญาตผมเถิด. ลำดับนั้น
พระอุปัชฌาย์กล่าวแก่เธอว่า เมื่อถึงวันแรม 14 ค่ำ เวลาพระ-
อาทิตย์ตกดิน เธอจงมาเถิด. ดังนี้แล้ว ได้เดินไปหน่อยหนึ่งแล้ว
ยืนอยู่ด้านอิสิปตนวิหาร. ก็สมัยนั้น เทพบุตร 2 องค์นั้น พร้อมด้วย
น้องสาว เดินผ่านไปทางนั้นนั่นแล เพื่อจะอวดอ้างสมาคมยักษ์.
ฝ่ายมารดาบิดาของพวกเขา ต่างก็ถือไม้ฆ้อน พูดวาจาหยาบ
รูปร่างดำ มีเส้นผมยุ่งรุงรังเศร้าหมองยาว เช่นกับต้นตาลที่ถูก
ไฟไหม้ มีหนองและโลหิตไหล มีตัวหดเหี่ยวเห็นเข้าน่าเกลียด
น่ากลัวพิลึก ติดตามพวกบุตรไป.

ลำดับนั้น ท่านสังกิจจะสำแดงฤทธิ์โดยประการที่สามเณร
นั้นจะได้พบเห็นพวกเหล่านั้น ผู้กำลังเดินไปทั้งหมดแล้วกล่าวกะ
สามเณรว่า เห็นไหม ? พ่อสามเณร พวกเหล่านี้กำลังเดินไป.
สามเณรเรียนว่า เห็นขอรับ. ท่านสังกิจจะกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น
เธอจงสอบถามถึงกรรมที่พวกเหล่านี้ กระทำไว้เถิด. สามเณร
สอบถามพวกที่ไปด้วยยานช้างเป็นต้น ตามลำดับ. คนเหล่านั้น
กล่าวว่า ท่านจงสอบถามพวกเปรตที่มาภายหลังเถิด. สามเณร
กล่าวกะเปรตเหล่านั้น ด้วยคาถาทั้งหลายว่า :-
คนหนึ่งขี่ช้างเผือกไปข้างหน้า คนหนึ่ง
ขี่รถเทียมด้วยแม่ม้าอัสดร ไปในท่ามกลาง
นางสาวน้อยขึ้นวอไปข้างหลัง เปลงรัศมีสว่าง
ไสวไปทั่วทั้ง 10 ทิศ ส่วนท่านทั้งหลาย มือถือ
ฆ้อนเดินร้องไห้ มีใบหน้าพุ่มไปด้วยน้ำตา มีตัว
เป็นแผลแตกพัง ท่านเกิดเป็นมนุษย์ ได้ทำกรรม
ชั่วอะไรไว้ ท่านทั้งหลายดื่มกินโลหิตของกัน
และกัน เพราะกรรมอะไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุรโต ได้แก่ก่อนเขาทั้งหมด.
บทว่า เสเตน แปลว่า ขาว. บทว่า ปเลติ แปลว่า เดินไป.
บทว่า มชฺเฌ ปน ได้แก่ ในระหว่างเทพบุตรผู้ขึ้นช้าง และเทพธิดา
ผู้ขึ้นวอ. มีวาจาประกอบความว่า บทว่า อสฺสตรีรเถน ความว่า
ไปด้วยรถเทียมด้วยแม่ม้าอัสดร. บทว่า นียติ แปลว่า นำไป.

บทว่า โอภาสยนฺติ ทส สพฺพโส ทิสา ความว่า เปล่งรัศมีสว่าง
ไสวไปทั่วทั้ง 10 ทิศ โดยรอบ ด้วยรัศมีแห่งสรีระของตน และด้วย
รัศมีแห่งผ้าและเครื่องอาภรณ์เป็นต้น. บทว่า มุคฺครหตฺถปาณิโน
ได้แก่ ส่วนท่านทั้งหลายมีมือถือไม้ฆ้อน. ฝ่ามือนั่นแหละ แปลกออก
ไปกว่าศัพท์ว่า มือ เพราะได้โวหารว่าฝ่ามือ ในกิจที่จะพึงทำ
พื้นดินให้ละเอียดเป็นต้น. บทว่า ฉินฺนปภินฺนคติตา ได้แก่ มีตัว
เป็นแผลแตกพังในที่นั้น ๆ ด้วยการใช้ไม้ฆ้อนทุบ. บทว่า ปิวาถ
แปลว่า ขอท่านทั้งหลาย จงดื่มกินเถิด.
เปรตเหล่านั้น ถูกสามเณร ถามอย่างนั้น จึงได้กล่าวตอบ
เรื่องนั้นทั้งหมด ด้วย 4 คาถาว่า :-
ผู้ใดขี่ช้างเผือกชาติกุญชร มี 4 เท้า ไป
ข้างหน้า คนนั้นเป็นบุตรหัวปีของข้าพเจ้าทั้ง 2
เมื่อเป็นมนุษย์ เขาได้ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ จึง
ได้รับความสุข บันเทิงใจ ผู้ใดขี่รถเทียมด้วย
แม่ม้าอัสดร 4 ม้า แล่นเรียบไปท่ามกลาง ผู้นั้น
เป็นบุตรคนกลาง ของข้าพเจ้าทั้ง 2 เมื่อเขาเป็น
มนุษย์ เขาเป็นคนไม่ตระหนี่ เป็นทานบดีรุ่งเรือง
อยู่ นารีใดที่มีปัญญา มีดวงตากลมงดงาม รุ่งเรือง
ดุจตาเนื้อ ขึ้นวอมาข้างหลัง นารีนั้นเป็นธิดาคน
สุดท้าย ของข้าพเจ้าทั้ง 2 นางมีความสุขเบิก
บานใจ เพราะส่วนแห่งทานกึ่งส่วน เมื่อก่อนเขา

ทั้ง 3 คน มีจิตเลื่อมใส ได้ให้ทานแก่สมณ-
พราหมณ์ทั้งหลาย ส่วนข้าพเจ้าทั้ง 2 เป็นคน
ตระหนี่ บริภาษสมณพราหมณ์ทั้งหลาย เขาทั้ง
3 คนนี้ ถวายทานแล้วบำรุงบำเรอ ด้วยกามคุณ
อันเป็นทิพย์ ส่วนข้าพเจ้าทั้ง 2 ซูบซีดอยู่เหมือน
ไม้อ้อที่เขาตัดทิ้งไว้ ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุรโต ว โย คจฺฉติ ความว่า
บรรดาคนที่เดินไปเหล่านี้ ผู้ที่เดินไปข้างหน้า. บาลีว่า โยโส
ปุรโต คจฺฉติ ดังนี้ก็มี, อธิบายว่า ผู้ที่ไปข้างหน้านั้น. บทว่า
กุญฺชเรน ได้แก่ ช้างอันได้นามว่า กุญชร เพระอรรถว่า ยังพื้น
ปฐพี คือแผ่นดินให้เจริญขึ้น หรือเพราะยินดี คือเที่ยวไปในท้อง
ภูเขาที่สะสมด้วยหญ้าและเถาวัลย์เป็นต้น. บทว่า นาเคน ได้แก่
ชื่อว่า นาค เพราะเป็นสัตว์ไม่ควรล่วงละเมิด ไม่ควรดูหมิ่น.
ด้วยช้างเชือกประเสริฐนั้น. บทว่า จตุกฺกเมน ได้แก่ มี 4 เท้า.
บทว่า เชฏฺฐโก แปลว่า ผู้เกิดก่อน.
บทว่า จตุพฺภิ ได้แก่ ด้วยแม้ม้าอัสดร 4 ม้า. บทว่า
สุวคฺคิเตน ได้แก่ ซึ่งมีการแล่นเรียบ คือ แล่นไปอย่างสวยงาม.
บทว่า นิคมนฺทโลจนา ได้แก่ ผู้มีดวงตางามดุจดวงตาเนื้อ. บทว่า
ภาคฑฺฒภาเคน ได้แก่ เพราะส่วนแห่งทานกึ่งส่วน คือ เพราะทาน
กึ่งส่วนจากส่วนแห่งทานที่ตนได้แล้วเป็นเหตุ. บทว่า สุขี แปลว่า
ได้รับความสุข. จริงอยู่ คำว่า สุขี นี้ ท่านกล่าวโดยเป็นลิงควิปลาส.

บทว่า ปริภาสกา แปลว่า ผู้ด่า. บทว่า ปริจารยนฺติ ความ ว่า
ชนเหล่านั้น ย่อมยังอินทรีย์ของตนให้เที่ยวไป ในกามคุณอันเป็นทิพย์
ตามความสุข ทั้งข้างโน้น ข้างนี้, หรือ ยิ่งชนผู้เป็นบริวารให้ทำการ
บำเรอตน ด้วยวิบากเป็นเครื่องไหลออกแห่งบุญญานุภาพของตน.
บทว่า มยญฺจ สุสฺสาม นโฬว ฉินฺโน ความว่า ส่วนข้าพเจ้าทั้ง 2
ซูบซีดอยู่เหมือนไม้อ้อที่เขาตัดทิ้ง คือ ที่เขาโยนไปกลางแดด ฉะนั้น
ได้แก่ เป็นผู้เหือดแห้ง แห้งผาก ด้วยความหิวกระหายและด้วยการ
ใช้ไม้ทำร้ายกัน.
เปรตเหล่านั้น ครั้นประกาศความชั่วของตนอย่างนี้แล้ว
จึงแจ้งว่า พวกเราเป็นลุงและงาของท่าน. สามเณรได้ฟังดังนั้นแล้ว
เกิดความสลดใจ เมื่อจะถามว่า ทำอย่างไรหนอ โภชนะจึงจะสำเร็จ
แก่พวกคนทำความชั่วเห็นปานนี้ได้ จึงกล่าวคาถานี้ว่า
อะไรเป็นโภชนะของท่าน อะไรเป็นที่
นอนของท่าน และท่านมีบาปธรรมเป็นอย่างยิ่ง
ยังอัตภาพให้เป็นไปอย่างไรได้ และโภคะเป็น
อันมากมีอยู่ไม่น้อย ท่านเบื่อหน่ายความสุข ได้
ประสบทุกข์ในวันนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กึ ตุมฺหากํ โภชนํ ความว่า
สิ่งเช่นไร เป็นโภชนะของท่าน. บทว่า กึ สยานํ ความว่า สิ่งเช่นไร
เป็นที่นอนของท่าน. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า กึ สยานา ดังนี้ก็มี,
อธิบายว่า สิ่งเช่นไร เป็นที่นอนของท่าน คือ ท่านนอนในที่นอน

เช่นไร บทว่า กถญฺจ ยาเปถ ความว่า ท่านยังอัตภาพให้เป็นไป
ด้วยประการไร. บาลีว่า กถํ โว ยาเปถ ดังนี้ก็มี, อธิบายว่า
ท่านยังอัตตภาพให้เป็นไปด้วยอาการอย่างไร. บทว่า สุปาปธมฺมิโน
ได้แก่ ผู้มีบาปธรรม ด้วยดี คืออย่างยิ่ง. บทว่า ปหูตโภเคสุ
ความว่า เมื่อโภคะอันหาที่สุดมิได้ คืออย่างยิ่ง มีอยู่. บทว่า
อนปฺปเกสุ แปลว่า ไม่น้อย คือมาก. บทว่า สุขํ วิราธาย ได้แก่
เบื่อหน่าย คือไม่ยินดีความสุข เพราะไม่ทำบุญอันเป็นเหตุให้เกิด
ความสุข. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สุขสฺส วิราเธน ก็มี. บทว่า
ทุกฺขชฺช ปตฺตา ความว่า วันนี้คือบัดนี้ ท่านได้รับความทุกข์อัน
นับเนื่องในกำเนิดเปรตนี้.
เปรตทั้งหลาย ถูกสามเณรถามอย่างนั้นแล้ว เมื่อจะแก้
ข้อความที่สามเณรถาม จึงได้ภาษิตคาถา 5 คาถาว่า :-
ข้าพเจ้าทั้งสอง ตีซึ่งกันและกันแล้ว กิน
หนองและเลือดของกันและกัน ได้ดื่มหนองและ
เลือดเป็นอันมาก ก็ยังไม่หายอยาก มีความหิว
อยู่เป็นนิตย์ สัตว์ทั้งหลายไม่ได้ให้ทาน ละไป
แล้ว เกิดในยมโลก ย่อมร่ำไรอยู่ เหมือนข้าพเจ้า
ทั้ง 2 ฉะนั้น สัตว์เหล่าใดได้ประสพโภคะต่าง ๆ
แล้วไม่ใช้สอยเอง ไม่ทำบุญ สัตว์เหล่านั้น จัก
ต้องหิวกระหายในปรโลก ภายหลังถูกความหิว
แผดเผาไหม้อยู่สิ้นกาลนาน ครั้นทำกรรมทั้ง

หลายมีผลเผ็ดร้อน เป็นทุกข์ เป็นกำไรแล้ว ย่อม
ได้เสวยทุกข์ บัณฑิตทั้งหลาย รู้ทรัพย์และข้าว
เปลือกเป็นอย่างหนึ่ง รู้ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ใน
มนุษยโลกนี้ เป็นอย่างหนึ่ง รู้ทรัพย์ ข้าวเปลือก
และชีวิตมนุษย์ เป็นอีกอย่างหนึ่ง จากสิ่งนอกนี้
แล้ว พึงทำที่พึ่งของตน ชนเหล่าใด เป็นผู้ฉลาด
ในธรรม ฟังคำของพระอรหันต์ทั้งหลายแล้ว มา
รู้ชัดอย่างนี้ ชนเหล่านั้น ชื่อว่า ไม่ประมาทใน
ทาน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ธาตา โหม ความว่า ข้าพเจ้า
ยังไม่หายอยาก คือ ยังไม่หายอิ่มหนำ. บทว่า นจฺฉาทิมฺหเส แปลว่า
ยังไม่อิ่มใจ, คือ ไม่ยังความชอบใจให้เกิดขึ้น, อธิบายว่า พวกเรา
ไม่ได้ดื่มหนองและเลือดนั้นตามความชอบใจของตน. บทว่า อิจฺเจว
แก้เป็น เอวเมว แปลว่า ฉันนั้นนั่นแล. บทว่า มจฺจา ปริเทวยนฺติ
ความว่า พวกมนุษย์แม้เหล่าอื่น ผู้ทำบาปไว้ ย่อมรำพัน ย่อม
คร่ำครวญ เหมือนพวกเรา. บทว่า อทายกา ได้แก่ เป็นผู้ไม่ให้
เป็นปกติ คือเป็นผู้ตระหนี่. บทว่า ยมสฺส ฐายิโน ได้แก่ เป็นผู้
มีปกติตั้งอยู่ ในฐานะแห่งพระยายม อันเข้าใจกันว่า ยมโลก คือ
ในเปตวิสัย. บทว่า เย เต วิทิจฺจ อธิคมฺม โภเค ความว่า ชนเหล่านั้น
เหล่าใด ได้ประสบคือได้รับ โภคะต่าง ๆ อันเป็นความสุขพิเศษ
ในบัดนี้ และในต่อไป. บทว่า น กุญฺชเร นาปิ กโรนฺติ ปุญฺญํ

ความว่า ย่อมไม่บริโภค แม้ด้วยตนเองเหมือนพวกเรา เมื่อจะให้
แก่ชนเหล่าอื่น ก็ไม่ทำบุญอันสำเร็จด้วยทาน.
บทว่า เต ขุปฺปิปาสุปคตา ปรตฺถ ความว่า สัตว์เหล่านั้น
จะต้องถูกความหิวกระหายครอบงำ ในโลกหน้า คือ ในปรโลก
ได้แก่ในเปตวิสัย. บทว่า จิรํ ฌายเร ฑยฺหมานา ความว่า ถูกไฟ
คือทุกข์ อันมีความหิวเป็นต้น เป็นเหตุ คือ ถูกไฟคือความเดือดร้อน
อันเป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า พวกเราไม่ได้กระทำกุศลไว้เลย ทำแต่
ความชั่ว ดังนี้ แผดเผาไหม้อยู่คือ ทอดถอนอยู่. บทว่า อนุโภนฺติ
ทุกฺขํ กฎุกปฺผลานิ
ความว่า คนเหล่านั้นครั้นทำบาปกรรม อันมีผล
ไม่น่าปรารถนาแล้ว ย่อมเสวยทุกข์ คือทุกข์อันเป็นไปในอบาย
ตลอดกาลนาน.
บทว่า อิตฺตรํ ความว่า ไม่ตั้งอยู่ตลอดกาลนาน คือ ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา. บทว่า อิตฺตรํ อิธ ชีวิตํ ความว่า
แม้ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ในมนุษยโลกนี้ นิดหน่อย คือมีประมาณ
เล็กน้อย. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ผู้ใดเป็นอยู่
ได้นาน ผู้นั้นก็เป็นอยู่เพียง 100 ปี หรือเกินไปเพียงเล็กน้อย.
บทว่า อิตฺตรํ อิตฺตรโต ญตฺวา ความว่า ใคร่ครวญด้วยปัญญาว่า
เครื่องอุปกรณ์มีทรัพย์และธัญญาหารเป็นต้น และชีวิตของมนุษย์
ทั้งหลาย มีนิดหน่อยคือ มีชั่วขณะ ได้แก่ไม่นาน. บทว่า ทีปํ
กยิราถ ปณฺฑิโต
ความว่า บุรุษผู้มีปัญญา พึงทำเกาะคือที่พึ่ง
ของตนให้เป็นที่ตั้งอาศัย แห่งหิตสุขในปรโลก. บทว่า เย เต เอวํ

ปชานนฺติ ความว่า ชนเหล่านั้น เหล่าใด ย่อมรู้ตามความเป็นจริง
ว่า โภคะและชีวิตของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นของนิดหน่อย ชนเหล่านั้น
ย่อมไม่ประมาทในทานตลอดกาลทุกเมื่อ. บทว่า สุตฺวา อรหตํ
วโจ
ความว่า ได้ฟังคำของพระอรหันต์ทั้งหลาย คือของพระ-
อริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น, อธิบายว่าเพราะฟัง. คำที่
เหลือ ปรากฏชัดแล้วทีเดียว.
เปรตเหล่านั้น ถูกสามเณรถามแล้วอย่างนี้ จึงบอกความ
นั้นแล้ว ประกาศว่า พวกเราเป็นลุงและป้าของท่าน. สามเณรได้ฟัง
ดังนั้นแล้ว เกิดความสลดใจ บันเทาความกลุ้มใจเสียได้ ซบศีรษะ
ลงที่แทบเท้าทั้ง 2 ของพระอุปัชฌาย์แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ ข้อที่ท่านผู้อนุเคราะห์ อาศัยความเอ็นดูพึงกระทำนั้น
เป็นอันท่านกระทำแล้ว แก่กระผม กระผมจะรักษาไว้ โดยไม่ให้
ตกไปสู่ความพินาศเป็นอันมาก, บัดนี้ เราไม่มีความต้องการ
ด้วยการครองเรือน เราจักยินดียิ่งในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์.
ลำดับนั้น ท่านสังกิจจะ ได้บอกกัมมัฏฐานอันเหมาะสมแก่อัธยาศัย
ของสามเณรนั้น. สามเณรนั้นหมั่นประกอบพระกัมมัฏฐาน ไม่นาน
นักก็บรรลุพระอรหัต. ฝ่ายท่านสังกิจจะ ได้กราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. พระศาสดา ทรงกระทำเรื่องนั้น
ให้เป็นอัตถุปัตติเหตุ ทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร แก่บริษัทผู้
พรั่งพร้อมแล้ว. พระเทศนานั้น ได้มีประโยชน์แก่มหาชนฉะนี้แล.
จบ อรรถกถานาคเปตวัตถุที่ 11

12. อุรคเปตวัตถุ



ว่าด้วยมาอย่างไรไปอย่างนั้น



พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นแล้ว เมื่อจะบอกเหตุแห่งการไม่เศร้าโศก
จึงกล่าวคาถา 2 คาถาความว่า
[97] บุตรของเรา ละสรีระอันคร่ำคร่าของตน
ไป เหมือนงูลอกคราบฉะนั้น เมื่อสรีระแห่งบุตร
ของเรา ใช้สอยไม่ได้ ละไปแล้ว มีกาละอัน
กระทำแล้วอย่างนี้ บุตรของเราเมื่อญาติเผาอยู่
ย่อมไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของญาติทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น เราจึงไม่เศร้าโศกถึงเขา คติอันใด
ของเขามีอยู่ เขาได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว.

นางพราหมณีกล่าวว่า
บุตรของดิฉัน ดิฉันไม่ได้เชิญมา ก็มาแล้ว
จากปรโลก ดิฉันไม่ได้อนุญาตให้ไป ก็ไปแล้ว
จากมนุษยโลกนี้ เขามาอย่างไร เขาก็ไปอย่างนั้น
ทำไมจะต้องไปร่ำไรในการไปจากโลกนี้ของเขา
เล่า บุตรของดิฉันเมื่อพวกญาติเผาอยู่ ย่อมไม่
รู้สึกถึงความร่ำไรของหมู่ญาติ เพราะฉะนั้น ดิฉัน
จึงไม่ร้องไห้ถึงบุตรนั้น คติอันใดของเขามีอยู่
เขาได้ไปสู่คติอันนั้นแล้ว.