เมนู

ผู้อื่น มีใจเลื่อมใส เมื่อบริจาคข้าวและน้ำ ได้ถวาย
ทานอันไพบูลย์โดยความเคารพ เพราะบุญนั้น ดีฉัน
จึงมีวรรณะอย่างนี้ เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่
ดีฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน.

ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอก
แก่ท่าน ครั้งเป็นมนุษย์ ดีฉันได้ทำบุญใดไว้ เพราะ
บุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะ
ของดีฉันจึงสว่างไหวไปทุกทิศ.

จบปฐมปติพพตาวิมาน

อรรถปฐมปติพพตาวิมาน


ปฐมปติพพตาวิมาน มีคาถาว่า โกญฺจา มยุรา ทิวิยา หํสา
เป็นต้น. ปฐมปติพพตาวิมาน เกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน กรุงสาวัตถี. ในกรุง
สาวัตถีนั้น สตรีผู้หนึ่งได้เป็นผู้ปฏิบัติสามี นางคล้อยตามสามี อดทน
ถือโอวาทสามีโดยเคารพ แม้โกรธก็ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่พูดคำหยาบ
พูดแต่เรื่องจริง มีความเชื่อและเลื่อมใส และให้ทานตามควรแก่ทรัพย์
สมบัติ นางเกิดเป็นโรคบางอย่าง ก็ตายไปบังเกิดในภพดาวดึงส์. ต่อมา
ท่านพระมหาโมคคัลลานะเที่ยวจาริกไป โดยนัยก่อน ๆ นั่นแล พบเทว-
ธิดาองค์นั้น ซึ่งกำลังเสวยสมบัติอย่างใหญ่ จึงเข้าไปใกล้ ๆ. เทวธิดา
องค์นั้น มีอัปสรพันหนึ่งแวดล้อม มีอัตภาพประดับด้วยเครื่องอลังการ

มีภาระประมาณ 60 เล่มเกวียน ไหว้ด้วยเศียรเกล้า [ค้อมศีรษะ] ใกล้ ๆ
เท้าพระเถระแล้วยืน ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง. แม้พระเถระ เมื่อจะถามบุญ
กรรมที่นางทำไว้ จึงกล่าวว่า
นกกระเรียน นกยูง หงส์ และดุเหว่า ล้วน
เป็นทิพย์ ส่งเสียงไพเราะ. ชุมนุมกันอยู่. วิมานนี้
ดาดาษด้วยปุปผชาติ. น่ารื่นรมย์ วิจิตรเป็นอันมาก
ทั้งเทพบุตรทั้งเทพธิดาก็มาคบหาสมาคมกัน.

ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก ท่านนั่งอยู่ในวิมาน
นี้ เหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ ก็สำแดงฤทธิ์ มีรูปเป็นอันมาก
และเทพอัปสรเหล่านี้ ก็ฟ้อนรำขับร้องและรื่นเริงกัน
รอบ ๆ ท่าน.

ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก ท่านก็บรรลุเทว-
ฤทธิ์แล้ว ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไร
เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และ
วรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทวดาองค์นั้นดีใจ ถูกท่านพระโมคคัลลานะ
ถามแล้ว ก็พยากรณ์ปัญหาโดยอาการที่ท่านถาม ถึง
กรรมที่มีผลดังนี้.

เทวดาองค์นั้น กล่าวตอบว่า
ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ดีฉันซื่อตรงต่อ
สามี ไม่นอกใจ ถนอมใจสามีเหมือนมารดาถนอม
บุตร ดีฉันแม้โกรธ ก็ไม่กล่าวคำหยาบ ดีฉันตั้งอยู่

ในสัจจะ ละคำเท็จ ยินดีในทาน ชอบอุทิศตน
สงเคราะห์คนอื่น มีจิตเลื่อมใส [ ในพระรัตนตรัย ]
เมื่อบริจาคข้าวน้ำ ก็ได้ถวายเป็นทานอย่างไพบูล
โดยเคารพ.

เพราะบุญนั้น วรรณะของดีฉันจึงเป็นเช่นนี้
เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะ
ทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน.

ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอก
แก่ท่าน ดีฉันครั้งเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบุญใด เพราะ
บุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองเช่นนี้ และวรรณะ
ของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกญฺจา แปลว่า นกกระเรียน ที่อาจารย์
บางพวกเรียกว่า นกกระไน ก็มี. บทว่า มยุรา แปลว่า นกยูง. บทว่า
ทิวิยา แปลว่า ที่เป็นทิพย์. จริงอยู่ บทนี้ ควรประกอบเข้า 4 บทโดยนัย
ว่า ทิวิยา โกญฺจา นกกระเรียนทิพย์ ทิวิยา มยุรา นกยูงทิพย์ เป็นต้น.
บทว่า หํสา ได้แก่ หงส์ มีหงส์ทอง เป็นต้น. บทว่า วคฺคุสฺสรา แปลว่า
มีเสียงเพราะ. บทว่า โกกิลา ได้แก่ นกดุเหว่า [กายขาวดำ]. บทว่า
สมฺปตนฺติ ได้แก่ เล่นระเริงบินร่อนไปรอบๆ เพื่อความอภิรมย์แห่งเทวดา.
จริงอยู่ เหล่าเทวดาที่เป็นบริวารเล่นระเริงโดยรูปของนกกระเรียนเป็นต้น
เพื่อให้เกิดความยินดีแก่เทวดา ท่านจึงกล่าวโดยคำว่า โกญฺจา เป็นต้น.
บทว่า ปุปฺผาภิกิณฺณํ ได้แก่ เกลื่อนกลาดด้วยดอกไม้รัตนะชนิดต่าง ๆ
ที่ร้อยแล้วและยังไม่ได้ร้อย [ เป็นพวง ]. บทว่า รมํ ได้แก่ น่ารื่นรมย์

น่ารื่นใจ. บทว่า อเนกจิตฺตํ ได้แก่ วิจิตรด้วยอุทยาน ต้นกัลปพฤกษ์
และสระโบกขรณีเป็นต้น เป็นอันมาก และด้วยผนังวิเศษเป็นต้นเป็นอัน
มาก ในวิมานทั้งหลาย. บทว่า นรนาริ เสวิตํ ได้แก่ ที่เหล่าเทพบุตร
และเหล่าเทพธิดา ซึ่งเป็นบริวารคบหากัน.
บทว่า อิทฺธิ วิกพฺพนฺติ อเนรูปา ประกอบความว่า ผู้มีฤทธิ์
ทั้งหลาย ที่สำเร็จด้วยอานุภาพแห่งกรรม มีรูปเป็นอันมาก เพราะสำแดง
รูปได้ต่าง ๆ ย่อมสำแสดงฤทธิ์ ใช้ฤทธิ์แปลก ๆ ท่านก็นั่งอยู่ [ ในวิมาน
นั้น.
บทว่า อนญฺญมนา ได้แก่ ซื่อตรงต่อสามี. ใจของสตรีนั้น ตกไป
ในบุรุษอื่น เหตุนั้น สตรีนั้นชื่อว่า อัญญมานา มีใจตกไปในบุรุษอื่น.
สตรีนั้นไม่มีใจตกไปในบุรุษอื่น เหตุนั้น จึงชื่อว่า อนัญญมนา ไม่มีใจ
ตกไปในบุรุษอื่น. อธิบายว่า ดีฉันไม่เกิดจิตคิดชั่วในบุรุษอื่น นอกจาก
สามีของดีฉันอย่างนี้. บทว่า มาตาว ปุตฺตํ อนุรกฺขมานา ความว่า
กรุณาเอ็นดูสามีของดีฉัน หรือแม้ทุกตัวสัตว์ เพราะนำเข้ามาแต่ประโยชน์
และเพราะประสงค์จะนำสิ่งที่มิใช่ประโยชน์ออกไปเสีย เหมือนมารดาเอ็นดู
บุตรฉะนั้น. บทว่า กุทฺธาปิหํ นปฺผรุสํ อโวจํ ความว่า ดีฉันแม้โกรธ
อยู่ เพราะผู้อื่นทำความไม่ผาสุกให้ ก็ไม่กล่าวคำหยาบคาย อธิบายว่า
ที่แท้ ก็กล่าวแต่คำที่น่ารักเท่านั้น.
บทว่า สจฺเจ ฐิตา ได้แก่ ดำรงอยู่ในสัจจะ. เพราะเหตุที่เป็นผู้
ชื่อว่า ตั้งมั่นในสัจจะ เพราะเจตนางดเว้นกล่าวคำเท็จ มิใช่ตั้งมั่นโดย
เพียงกล่าวคำจริงในบางครั้งเท่านั้น ฉะนั้น เทวดาจึงกล่าวว่า โมสวชฺชํ
ปหาย
ได้แก่ ละมุสาวาทแล้ว. บทว่า ทาเน รตา ได้แก่ ยินดียิ่ง อธิบายว่า

ขวนขวายในทาน. บทว่า สงฺคหิตตฺตภาวา ประกอบความว่า ดีฉันชอบ
อุทิศตนสงเคราะห์คนอื่น ๆ ด้วยสังคหวัตถุ และมีจิตเลื่อมใสเพราะเชื่อ
กรรมและผลกรรม จึงได้ถวายข้าว น้ำ โดยเคารพ โดยอาการยำเกรง
และได้ถวายทานอย่างอื่นมีผ้าเป็นต้น อย่างไพบูลย์ อย่างโอฬาร. คำที่
เหลือมีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้น.
จบอรรถกถาปฐมปติพพตาวิมาน

12. ทุติยปติพพตาวิมาน


ว่าด้วยปติพนตาวิมาน 2


[12] พระโมคคัลลานะถามว่า
ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก ท่านขึ้นวิมานมีเสา
อันแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์งดงาม มีรัศมีประกายงดงาม
มาก ท่านก็นั่งอยู่ในวิมานนั้น สำแดงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ
ทั้งสูงทั้งต่ำ เทพอัปสรเหล่านี้ก็ฟ้อนรำขับร้องให้ท่าน
ร่าเริงอยู่รอบข้าง ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก ท่านก็
บรรลุเทวฤทธิ์แล้ว ครั้งเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไร
เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และ
วรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทวดาองค์นั้น ถูกพระโมคคัลลานะซักถาม
แล้วดีใจ ก็ได้พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้
ว่า

ครั้งเป็นมนุษย์อยู่ในหมู่มนุษย์ ดีฉันได้เป็น