เมนู

ดีใจ ครั้นแล้วก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผล
อย่างนี้ว่า

ในชาติก่อน ครั้งเป็นมนุษย์อยู่ในหมู่มนุษย์
ในมนุษยโลก ดีฉันได้จุดประทีปถวาย คราวที่ควร
จุดประทีปในเวลาค่ำคืนมืดมิด อันว่าผู้ใด จุดประทีป
ถวายคราวที่ควรจุดประทีปในเวลาค่ำคืนมืดมิด วิมาน
อันมีรัศมีโชติช่วง มีสวนไม้มาก มีบุณฑริกบัวขาว
มาก ย่อมเกิดแก่ผู้นั้น เพราะบุญนั้น วรรณะของดีฉัน
จึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน
และโภคะทุกอย่างที่น่ารัก จึงเกิดแก่ดีฉัน เพราะ
บุญนั้น ดีฉันจึงมีรัศมีสุกใสรุ่งโรจน์ล้ำเทวดาทั้งหลาย
ทุกทิศจึงสว่างไสวจากทุกส่วนของร่างกายดีฉัน.

ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอก
แก่ท่าน ครั้งเป็นมนุษย์ ดีฉันได้ทำบุญใดไว้ เพราะ
บุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะ
ของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

จบปทีปวิมาน

อรรถกถาปทีปวิมาน


ปทีปวิมาน มีคาถาว่า อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน เป็นต้น. ปทีปวิมาน
นั้น เกิดขึ้นอย่างไร ?
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่กรุงสาวัตถี วันอุโบสถ พวก

อุบาสกเป็นจำนวนมาก รักษาอุโบสถก่อนอาหาร ถวายทานตามสมควร
แก่ทรัพย์สมบัติ กินอาหารแต่เช้า นุ่งผ้าสะอาด ห่มผ้าสะอาด ถือของ
หอมและดอกไม้เป็นต้น หลังอาหารแล้วก็ไปวิหาร เข้าไปนั่งใกล้พวก
ภิกษุที่น่าสรรเสริญ เวลาเย็นก็ฟังธรรม. เมื่ออุบาสกเหล่านั้น ซึ่งประสงค์
จะอยู่ในวิหาร กำลังฟังธรรมอยู่นั่นแล ดวงอาทิตย์ตก ก็เกิดมืด ณ วิหาร
นั้น หญิงผู้หนึ่งคิดว่า สมควรทำแสงประทีปในบัดนี้ ก็ไปนำเครื่องประทีป
มาจากเรือนของตน จุดประทีปขึ้น ตั้งไว้หน้าธรรมาสน์ แล้วก็ฟังธรรม.
ด้วยปทีปทานนั้น นางดีใจ เกิดปีติโสมนัส ไหว้แล้วก็กลับบ้าน ต่อมา
นางตาย ไปบังเกิดในวิมานโชติช่วง ณ ภพดาวดึงส์. ความงามแห่งเรือน
ร่างของนาง มีรัศมีซ่านออกไปอย่างยิ่ง ส่องสว่างไปทั้งสิบทิศข่มเทวดา
องค์อื่น ๆ. ต่อมาวันหนึ่ง ท่านพระมหาโมคคัลลานะเที่ยวจาริกไป คำ
ทั้งหมดดังว่ามานี้ พึงทราบนัยที่มาแล้วในหนหลังนั่นแล. แต่ในปทีป-
วิมานนี้ พระเถระถามด้วย 4 คาถาว่า
ดูก่อนเทวดา ท่านมีวรรณะงาม ส่องแสงสว่าง
ไปทุกทิศ ดุจดาวประกายพรึก เพราะบุญอะไร
วรรณะของท่านจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญอะไร ผลนี้
จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิด
แก่ท่าน. เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีรัศมีสุกใส รุ่ง-
โรจน์ล้ำเทวดาทั้งหลาย เพราะบุญอะไร ทุกทิศจึง
สว่างไสวจากสรรพางค์กายของท่าน.

ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน
ท่านครั้งเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไร เพราะบุญอะไร

ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของท่าน
จึงสร่างไสวไปทุกทิศ.

เทวดาองค์นั้นดีใจ ถูกท่านพระโมคคัลลานะ
ถาม ครั้นแล้ว ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผล
อย่างนี้.

เทวดากล่าวตอบว่า
ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ในชาติก่อน
ในมนุษยโลก ดีฉันได้จุดประทีปถวายคราวที่ควรจุด
ประทีปในเวลาค่ำคืนมืดมิด ผู้ใดจุดประทีปถวายคราว
ที่ควรจุดประทีปในเวลาค่ำคืนมืดมิด วิมานที่โชติ-
ช่วง มีสวนไม้มาก มีบุณฑริกบัวขาวมาก ย่อมเกิด
แก่ผู้นั้น.

เพราะบุญนั้น วรรณะของดีฉันจึงเป็นเช่นนี้
เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะ
ทุกอย่างที่น่ารัก จึงเกิดแก่ดีฉัน เพราะบุญนั้น ดีฉัน
จึงมีรัศมีสุกใส รุ่งโรจน์ล้ำเทวดาทั้งหลาย. เพราะ
บุญนั้น ทุกทิศจึงสว่างไสวจากสรรพางค์กายของ
ดีฉัน.

ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันครั้งเกิด
เป็นมนุษย์ ได้ทำบุญใดไว้ เพราะบุญนั้น ดีฉันจึง
มีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของดีฉันจึง
สว่างไสวไปทุกทิศ.

บรรดาบทเหล่านั้น ในบทว่า อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน นี้ อภิก-
กันต
ศัพท์ มาในอรรถว่าสิ้นไป ได้ในบาลีเป็นต้นว่า อภิกฺกนฺตา ภนฺเต
รตฺติ นิกฺขนฺโต ปฐโม ยาโม
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีสิ้นไปแล้ว
ปฐมยามล่วงไปแล้ว. มาในอรรถว่าดี ได้ในบาลีเป็นต้นว่า อยํ อิเมสํ
จตุนฺนํ ปุคฺคลานํ อภิกฺกนฺตตโร จ ปณีตตโร จ
บุคคลผู้นี้ดีกว่า ประณีต
กว่า บุคคล 4 จำพวกเหล่านี้. มาในอรรถว่า ยินดีนักหนา ได้ในบาลี
เป็นต้นว่า อภิกฺกนตํ ภนฺเต อภิกฺกนฺตํ ภนฺเต ไพเราะจริง พระเจ้าข้า
ไพเราะจริง พระเจ้าข้า. มาในอรรถว่างามได้ในบาลีเป็นต้นว่า อภิกฺกนฺเตน
วณฺเณน สพฺพา โอภาสยํ ทิสา
มีวรรณะงาม ส่องสว่างไปทุกทิศ.
แม้ในที่นี้พึงเห็นว่า มาในอรรถว่า งามอย่างเดียว. บทว่า วณฺเณน
แปลว่า มีผิวพรรณ. บทว่า โอภาเสนฺติ ทิสา สพฺพา ได้แก่ ส่องแสง
สิบทิศทั้งหมด ทำให้สว่างเป็นอันเดียวกัน. ถามว่า ท่านกล่าวว่าเหมือน
อะไร. ตอบว่า เหมือนดาวประกายพรึก. ดวงดาวที่ได้ชื่อว่า โอสธี
ประกายพรึก เพราะมีรัศมีหนา อันรัศมีนั้นตั้งไว้ หรือเพราะรัศมีเพิ่ม
พลังแก่ดาวประกายพรึกทั้งหลาย กระทำแสงสว่างโดยรอบตั้งอยู่ ฉันใด
ท่านก็ส่องสว่างไปทุกทิศตั้งอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน.
บทว่า สพฺพคตฺเตหิ ได้แก่ จากอวัยวะของเรือนร่างทุกอวัยวะ.
อธิบายว่า ส่องสว่าง เพราะทั่วอวัยวะน้อยใหญ่. คำนี้เป็นตติยาวิภัตติ
ใช้ในเหตุ. บทว่า สพฺพา โอภาสเต ทิสา ได้แก่ สิบทิศสว่างไปทั้งหมด.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า โอภาสเร ดังนี้ก็มี. คำว่า เตสํ สพฺพา ทิสา นี้
พึงเห็นว่าเป็นพหุวจนะ.
บทว่า ปทีปกาลมฺหิ แปลว่า ในเวลาทำประทีป คือเวลาควรจุด

ประทีป. อธิบายว่า เวลามืดค่ำ. ด้วยเหตุนั้น เทวดาจึงกล่าวว่า โย
อนฺธการมฺหิ ติมีสิกายํ
อธิบายว่า ในเวลามืดมิดมาก. บทว่า ททาติ
ทีปํ
ได้แก่ ตามหรือไม่ตามประทีป ถวายเป็นปทีปทาน. บริจาคเครื่อง
อุปกรณ์ประทีปอุทิศพระทักขิไณยบุคคล. บทว่า อุปฺปชฺชติ โชติรสํ
วิมานํ
ได้แก่ วิมานอันโชติช่วง ย่อมเกิดขึ้นโดยการถือปฏิสนธิ. คำที่
เหลือ มีนัยดังกล่าวมาแล้วทั้งนั้น.
ครั้งนั้น เมื่อเทวดากล่าวตอบข้อความ ตามที่พระเถระถามแล้ว
พระเถระนำถ้อยคำนั้นนั่นแล ให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง รู้ว่านางมี
จิตเหมาะควรเป็นต้น เพราะกถาว่าด้วยทานเป็นอาทิ จึงประกาศสัจจะ 4
จบสัจจะ เทวดาองค์นั้นกับบริวารก็ตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผล. พระเถระ
กลับจากเทวโลกแล้ว ก็กราบทูลเรื่องนั้น ถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า. และ
เพราะเรื่องนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร แก่
บริษัทที่ประชุมกัน. เทศนานั้น ก็เกิดประโยชน์แก่มหาชน. โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง มหาชนก็ได้เคารพในปทีปทานแล.
จบอรรถกถาปทีปวิมาน

10. ติลทักขิณวิมาน


ว่าด้วยติลทักขิณวิมาน


[10] พระโมคคัลลานะถามว่า
ดูก่อนเทวดา ท่านมีวรรณะงาม ส่องแสงสว่าง
ไปทุกทิศ เหมือนกับดาวประกายพรึกฉะนั้น เพราะ