เมนู

อรรถกถาตติยนาวาวิมาน


ตติยนาวาวิมาน มีคาถาว่า สุวณฺณจฺฉทฺนํ นาวํ เป็นต้น. ตติย-
นาวาวิมานนั้น เกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จจาริกไปในชนบท พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่
เสด็จถึงตำบลบ้านพราหมณ์ ชื่อ ถูณะ แคว้นโกศล. พวกพราหมณ์
คหบดีชาว ถูณะ ได้ยินมาว่า เขาว่าพระสมณโคดมเสด็จถึงเขตบ้านของ
พวกเราแล้ว. ครั้งนั้น พราหมณคหบดีชาว ถูณะ. ที่ไม่เลื่อมใส เห็นผิด
ตระหนี่เป็นปกติ คิดกันว่า ถ้าพระสมณโคดมเข้าบ้านนี้ประทับอยู่ 2-3
วัน ก็จะพึงทำชนนี้ทั้งหมดให้อยู่ในถ้อยคำของพระองค์ แต่นั้น พราหมณ-
ธรรม [ลัทธิ ธรรมเนียม ประเพณี] ก็จะไม่ได้ที่พึ่งพาอาศัย จึงพา
กันขวนขวาย จะไม่ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในบ้านตำบลนั้น
ช่วยกันนำเรือที่เขาพักไว้ที่ท่าน้ำ ออกไปเสีย [ไม่ให้ข้าม] ช่วยกันสร้าง
สะพานทางเดินและแพไว้ ทั้งสร้างโรงประปาเป็นต้นไว้ด้วย ในหมู่บ้าน
ตำบลนั้น เว้นบ่อน้ำไว้บ่อเดียว บ่อน้ำนอกนี้ ก็ช่วยกันเอาหญ้าเป็นต้น
ถมให้เต็มแล้วปิดเสีย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในคัมภีร์อุทานว่า
ครั้งนั้นแล พราหมณคหบดีชาว ถูณะ พากันเอาหญ้าและฟางถมบ่อน้ำ
จนถึงปากบ่อ ด้วยประสงค์ว่า ขอสมณะโล้นเหล่านั้น อย่าได้ดื่มน้ำเลย.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบอาการวิปริตของคนเหล่านั้น ทรง
เอ็นดูพวกเขา จึงพร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ ข้ามแม่น้ำไปทางอากาศ เสด็จ
ไปถึง ถูณะ พราหมณคาม ตามลำดับ ทรงแวะออกจากทางประทับนั่ง
เหนืออาสนะที่จัดไว้ ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง. สมัยนั้น หญิงทาสีเทินหม้อน้ำ
จำนวนมาก เดินผ่านไปไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า. ในหมู่บ้านตำบลนั้น

เขาทำกติกานัดหมายกันไว้ว่า ถ้าพระสมณโคดมจักเสด็จมา ณ ที่นี้ ไม่พึง
ทำการต้อนรับพระองค์เป็นต้น. พระสมณโคดมและเหล่าสาวกมาถึงเรือน
ก็ไม่พึงถวายแม้แต่อาหาร.
หญิงทาสีภริยาของพราหมณ์คนหนึ่ง ในหมู่บ้านตำบลนั้น เดินถือ
หม้อน้ำ พบพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง แวดล้อมด้วยหมู่ภิกษุ รู้ว่า
หมู่ภิกษุลำบากกาย กระหายน้ำ เพราะเดินเหนื่อยมา มีจิตเลื่อมใส
ประสงค์จะถวายน้ำดื่ม จึงตกลงใจว่า ถึงหากว่า ชาวบ้านของเราจะตั้ง
กติกากันไว้ว่า ไม่พึงถวายสิ่งไร ๆ ไม่พึงทำสามีจิกรรมแก่พระสมณโคดม
ดังนี้ แม้เมื่อเป็นดังนั้น ผิว่าเราได้พระทักขิไณยบุคคล ซึ่งเป็นบุญเขต
เช่นนี้แล้ว ไม่ทำที่พึ่งแก่ตน แม้ด้วยเพียงถวายน้ำดื่มไซร้ ครั้งไรเล่า
เราจึงจักหลุดพ้นจากชีวิตลำเค็ญนี้ได้ นายของเรา ทั้งชาวบ้านเราทั้งหมด
จะฆ่า จะจองจำเราก็ตามทีเถิด เราจักถวายปานียทาน น้ำดื่ม ในบุญเขต
เช่นนี้ละ แม้จะถูกเหล่าทาสีที่เทินหม้อน้ำ คนอื่น ๆ จะห้ามปราม ก็ไม่
อาลัยในชีวิต ลดหม้อน้ำลงจากศีรษะ ประคองด้วยมือทั้ง 2 แล้ววาง
ลง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง เกิดปีติโสมนัส เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ นิมนต์ให้เสวยน้ำดื่ม. พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงเห็นจิตเลื่อมใสของนาง เมื่อจะทรงอนุเคราะห์นาง จึงทรง
กรองน้ำล้างพระหัตถ์และพระบาทแล้วจึงเสวยน้ำดื่ม. น้ำในหม้อมิได้
หมดสิ้นไปเลย. นางเห็นแล้วก็มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายแก่ภิกษุรูปหนึ่งอีก
ได้ถวายแก่ภิกษุอื่น ๆ จนครบทุกรูป. น้ำก็มิได้สิ้นเปลืองหมดไป. นาง
ร่าเริงยินดี ยกหม้อที่เต็มน้ำอย่างเดิม เดินมุ่งหน้าไปยังเรือน. พราหมณ์
สามีของนางรู้ว่า นางถวายน้ำดื่ม เข้าใจว่าหญิงคนนี้ทำลายธรรมเนียมบ้าน

เสียแล้ว เราก็ต้องถูกครหาแน่ละ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงตบตีทั้ง
ต่อยทั้งเตะนางล้นกลิ้งไปที่พื้น เพราะความพยายามนั้น นางก็สิ้นชีวิต
ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์. วิมานอย่างเดียวกับที่กล่าวไว้ในปฐมนาวาวิมาน
ก็เกิดแก่นาง.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเรียกท่านพระอานนท์มาตรัส
สั่งว่า อานนท์ เธอจงนำน้ำจากบ่อมาให้เราทีเถิด. พระเถระทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ชาวถูณะถมบ่อน้ำเสียแล้ว ไม่อาจนำน้ำมา
ถวายได้ พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงใช้ทั้งครั้งที่สอง ทั้งครั้ง
ที่สาม. ในครั้งที่สาม พระเถระถือบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้า เดิน
บ่ายหน้าไปยังบ่อน้ำ เมื่อพระเถระกำลังเดินไป น้ำในบ่อก็เต็มล้นไหล
ไปโดยรอบ. หญ้าฟางทั้งหมดก็ลอยไหลออกไปเอง. น้ำที่ไหลนั้นก็เพิ่ม
สูงขึ้น ๆ เต็มแหล่งน้ำแห่งอื่น ๆ ล้อมหมู่บ้านตำบลนั้น ท่วมพื้นที่หมู่บ้าน
ไว้. พวกพราหมณ์เห็นปาฏิหาริย์นั้น ก็เกิดอัศจรรย์จิตไม่เคยมี จึงขอ
ขมาพระผู้มีพระภาคเจ้า. น้ำหลากหลายก็หายวับไปทันที. พราหมณ์
เหล่านั้นจัดแจงสถานที่อยู่สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้า และหมู่ภิกษุ นิมนต์
เพื่อเสวยในวันพรุ่ง พอรุ่งขึ้น ก็จัดมหาทาน เลี้ยงดูหมู่ภิกษุมีพระพุทธเจ้า
เป็นประธาน ด้วยของเคี้ยวของกินอันประณีต. พราหมณ์คหบดีชาวถูณะ
ทุกคน เข้าไปนั่งเฝ้าใกล้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเสวยเสร็จชักพระหัตถ์
ออกจากบาตรแล้ว. สมัยนั้น เทวดาองค์นั้น พิจารณาสมบัติของตน
ทบทวนถึงเหตุแห่งสมบัตินั้น ก็รู้เหตุนั้นว่า ปานียทาน ถวายน้ำดื่ม
เกิดปีติโสมนัสว่า เอาเถิด เราจักถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าเดี๋ยวนี้
แหละ เกิดความอุตสาหะว่า จำเราจักการทำความที่สักการะแม้เล็กน้อย

ที่ทำให้ท่านผู้ปฏิบัติชอบ มีผลอันโอฬาร และปรากฏตัวในมนุษยโลก
จึงมีอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวารมาพร้อมกับวิมาน ที่ประกอบด้วยอุทยาน
เป็นต้น ด้วยเทวฤทธิ์ ด้วยเทวานุภาพอันใหญ่ยิ่ง ทั้งที่หมู่มหาชนเห็น ๆ
อยู่นั้นแหละ ลงจากวิมานเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว
ยืนประคองอัญชลีอยู่. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระพุทธประสงค์
จะประกาศผลกรรมให้ประจักษ์แก่บริษัทนั้น จึงตรัสถามเทวดาองค์นั้น
ด้วย 4 คาถาว่า
ดูก่อนเทพนารี เจ้าขั้นนาวาวิมานปิดทอง เจ้า-
ลงเล่นสระโบกขรณี หักดอกปทุมด้วยมือ ถูฏาคาร
นิเวศของเจ้า จัดไว้พิมพ์เดียวกัน ประหนึ่งเนรมิตเป็น
สัดส่วน เมื่อส่องแสงก็ส่องแสงสว่างโดยรอบสี่ทิศ.

เพราะบุญอะไร วรรณะของเจ้าจึงเป็นเช่นนี้
เพราะบุญอะไร ผลนี้จึงสำเร็จแก่เจ้า และโภคะ
ทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่เจ้า.

ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก ตถาคตขอถามเจ้า
ครั้งเกิดเป็นมนุษย์เจ้าได้ทำบุญอะไร เพราะบุญอะไร
เจ้าจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของเจ้า
จึงสว่างไสวไปทุกทิศ. พระสังคีติกาจารย์กล่าวว่า

เทวดาองค์นั้นดีใจ ถูกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตรัสถาม ครั้นแล้วก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผล
อย่างนี้. คาถาที่เทวดากล่าวตอบมีว่า

ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ในชาติก่อน
ในมนุษยโลก ข้าพระองค์ พบภิกษุทั้งหลาย ลำบาก

กาย ระหายน้ำ จึงได้ขวนขวายถวายน้ำให้ท่านดื่ม
ผู้ใดแลขวนขวายถวายน้ำ แก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้ลำบาก
กาย กระหายน้ำ ให้ท่านดื่ม. แม่น้ำหลายสาย
ที่มีน้ำเย็น มีสวนไม่มาก มีบุณฑริกบัวขาวมาก
ย่อมเกิดมีแก่ผู้นั้น. แม่น้ำหลายสาย ย่อมเรียงราย
ไหลล้อมวิมานนั้นเป็นประจำ มีแม่น้ำ ที่มีน้ำเย็น
ลาดด้วยทราย มีมะม่วง สาละ หมากหอม
หว้า ราชพฤกษ์ และแคฝอยที่ออกดอกสะพรั่ง
ผู้คำบุญแล้วย่อมได้วิมานอันประเสริฐสุด ที่ประกอบ
ด้วยภูมิภาคเช่นนั้น ซึ่งงดงามนักหนา นี้เป็นผล
ของกรรมนั้น ทั้งนั้น คนที่ทำบุญแล้ว ย่อมได้ผล
เช่นนี้.

กูฏาคารนิเวศ ของข้าพระองค์ จัดไว้พิมพ์
เดียวกัน ประหนึ่งเนรมิตเป็นสัดส่วน เมื่อส่องแสง
จึงสว่างไปรอบทั้งสี่ทิศ. เพราะบุญนั้น วรรณะของ
ข้าพระองค์จึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จ
แก่ข้าพระองค์ และโภคะทุกอย่างที่น่ารัก จึงเกิด
แก่ข้าพระองค์. เพราะบุญนั้น ข้าพระองค์จึงมี
อานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ วรรณะของข้าพระองค์ จึง
สว่างใสไปทุกทิศ. นี้เป็นผลแห่งกรรมนั้น ของ
ข้าพระองค์ เพราะพระพุทธองค์ เสวยน้ำดื่ม เพื่อ
ประโยชน์แต่ข้าพระองค์โดยแท้.

ในคาถานั้น ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถาม เทวดาองค์นั้น
ยังมิได้ขึ้นเรือนั้น ยังมิได้ลงเล่นสระโบกขรณี ทั้งยังมิได้หักดอกปทุม
ก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้น เทวดาองค์นั้น ถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือน
ถึงอานุภาพของกรรม ก็ยังขวนขวายจะอยู่ในน้ำเสมอ ๆ จึงกระทำอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ท่านกล่าวไว้ก็โดยจะแสดงการตัดกิริยา [การการทำ] นั้น
ออกไปเสีย ก็ความข้อนี้ มิใช่จะพึงเห็นในคติยนาวาวิมานนี้แห่งเดียว
เท่านั้น ที่แท้ แม้ในวิมานหนหลัง ๆ ก็พึงเห็นอย่างนี้เหมือนกัน.
บทว่า กูฏาคารา ได้แก่ มีคฤหาสน์ติดช่อฟ้าอันทำด้วยทอง. บทว่า
นิเวสา แปลว่า นิเวศน์. อธิบายว่า กูฏาคาร [ส่วนตัว] ทั้งหลาย.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า วิภตฺตา ภาคโส มิตา.
จริงอยู่ กูฏาคารเหล่านั้น เป็นศาลาสี่หลัง มีรูปจัดจำแนก ประหนึ่ง
แบบพิมพ์ของกันและกัน ประหนึ่งกำหนดไว้เป็นส่วนสัด เพราะมีขนาด
เท่ากัน. บทว่า ททฺทลฺลมานา แปลว่า เมื่อส่องแสง. บทว่า อาภนฺติ
ได้แก่ ส่องแสงสว่าง ด้วยข่ายรัศมีทองแกมแก้วมณี. ด้วยบทว่า ภิกฺขู
เทวดากล่าวหมายถึงหมู่ภิกษุ ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน.
คำว่า มม นี้ เพ่งคำต้นและคำหลัง ประกอบความในคำนี้ อย่างนี้ว่า
แห่งกรรมของข้าพระองค์ เพื่อประโยชน์แก่ข้าพระองค์. คำว่า อุทกํ
อปายิ
เทวดากล่าวถึงอุทกทานถวายน้ำนี้ใด ทิพยสมบัติก็เป็นผลแห่งบุญ
กรรมนั้น เพราะพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ทรงเป็นทักขิไณยบุคคลเลิศ
ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก ได้เสวยน้ำที่ข้าพระองค์ถวายแล้ว ก็เพื่อ
ประโยชน์แก่ข้าพระองค์. คำที่เหลือก็มีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงการทำพระธรรมเทศนาเป็น สามุกฺ-

กํสิกา [ยกขึ้นแสดงเอง] ก็ทรงประกาศสัจจะ 4 แก่เทวดา ผู้มีใจ
เลื่อมใสแล้ว ด้วยประการฉะนี้ จบเทศนา เทวดาองค์นั้นก็ตั้งอยู่ใน
โสดาปัตติผล. พระธรรมเทศนาได้เป็นประโยชน์แม้แก่บริษัทที่ประชุม
กันด้วย.
จบอรรถกถาตติยนาวาวิมาน

9. ปทีปวิมาน


ว่าด้วยปทีปวิมาน


[9] พระโมคคัลลานะถามว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม ส่องแสง
สว่างไปทุกทิศ เหมือนกับดาวประกายพรึก เพราะ
บุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญอะไร
ผลนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารัก
จึงเกิดแก่ท่าน เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีรัศมีสุกใส
รุ่งโรจน์ล้ำเทวดาทั้งหลาย เพราะบุญอะไร ทุกทิศ
จึงสว่างไสวจากทุกส่วนร่างกายของท่าน.

ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน
ครั้งเป็นมนุษย์อยู่ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญ
อะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองถึงเช่นนี้ และวรรณะ
ของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทวดานั้น ถูกพระโมคคัลลานะซักถามแล้ว