เมนู

นั้น มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรมาปรากฏองค์พร้อมกับวิมาน ลงจากวิมาน
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ยืนประคองอัญชลีอยู่ ณ ที่สมควร
แห่งหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงสุจริตที่เทพบุตรนั้นกระทำ
แล้ว ในที่ประชุมนั้น ทรงทราบว่าที่ประชุมมีความสบายใจ จึงทรง
แสดงสามุกกังสิกเทศนา ธรรมแบบยกขึ้นแสดงเอง.1
จบเทศนา เทพบุตร พราหมณ์ และบริษัทที่ประชุมกัน รวมเป็น
สัตว์แปดหมื่นสี่พันได้ตรัสรู้ธรรมแล.
จบอรรถกถามัฏฐกุณฑลีวิมาน

10. เสริสสกวิมาน


ว่าด้วยเสริสสกวิมาน


พระควัมปติเถระ

กล่าวว่า
[84] ขอท่านทั้งหลายจงฟังคำของเทวดา
และของพวกพ่อค้าในทางทะเลทราย ที่ได้มาพบกัน
ในเวลานั้น และฟังถ้อยคำที่เทวดาและพวกพ่อค้า
โต้ตอบกันโดยประการใด ขอท่านทั้งปวงจงฟังคำนั้น

1. สามุกฺกํสิกํ แปลตามอรรถกถาว่า พระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงยกขึ้นถือเอาเอง คือ
ทรงเห็นด้วยพระสยัมภูญาณ (ตรัสรู้เอง) ได้แก่อริยสัจจเทศนา , ตามแบบเรียน แปลว่า
ธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงยกขึ้นแสดงเอง คือ ไม่ต้องปรารภคำถามเป็นต้นของผู้ฟัง ได้แก่
เทศนาเรื่องอริยสัจ.

โดยประการนั้นเถิด ยังมีพระยานามว่าปายาสิ มียศ
ถึงความเป็นสหายของภุมเทวดา บันเทิงอยู่ใน
วิมานของตน เป็นเทวดาได้มาสนทนากะพวกมนุษย์.

เสริสสกเทพบุตรถามพวกพ่อค้าด้วยคาถาว่า
ดูก่อนมนุษย์ทั้งหลาย พวกท่านกลัวทางคด
เคี้ยว ใจเสียอยู่ในที่น่าสงสัยว่ามีภัยในป่า ในถิ่น
อมนุษย์ ในทางกันดาร ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร เดิน
ไปได้แสนยาก กลางทะเลทราย ในทะเลทรายนี้
ไม่มีผลไม้ ไม่มีเผือกมัน ไม่มีเชื้อไฟในที่นี้ จะมี
อาหารแต่ที่ไหน นอกจากฝุ่นและทรายที่แดดแผด
เผาทั้งร้อนทั้งทารุณ เป็นที่ดอน ร้อนดังแผ่นเหล็ก
เผาไฟ หาความสุขมิได้ เทียบเท่านรก (ในปรโลก)
เป็นที่อยู่ของพวกมนุษย์หยาบช้ายุคโบราณ เป็น
ภูมิประเทศเหมือนถูกสาปไว้ เออก็พวกท่านหวังอะไร
เพราะเหตุไรจึงไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน ตามกันเข้ามา
ยังประเทศถิ่นนี้พร้อมกัน เพราะความโลภความกลัว
หรือเพราะความหลง.

พวกพ่อค้าตอบว่า
พวกข้าพเจ้าเป็นนายกองเกวียนอยู่ในแคว้น
มคธและแคว้นอังคะ บรรทุกสินค้ามามาก ต้องการ
ทรัพย์ปรารถนากำไร จะพากันไปยังสินธุประเทศ

และโสวีระประเทศเวลากลางวัน ข้าพเจ้าทุกคนทน
ความระหายน้ำไม่ได้ ทั้งมุ่งหมายจะอนุเคราะห์
สัตว์พาหนะ รีบเดินทางมาในกลางคืน ซึ่งเป็นเวลา
กาล ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงได้พลาดทาง ไปผิดทาง
หลงทางไม่รู้ทิศ เดินเข้าไปในป่าที่ไปได้แสนยาก
กลางทะเลทราย วุ่นวายเหมือนคนตาบอด ข้าแต่
ท่านเทวะผู้ควรบูชา พวกข้าพเจ้าได้พบวิมานอัน
ประเสริฐ และตัวท่านนี้ ซึ่งไม่เคยพบมาก่อน จึง
หวังจะรอดชีวิตยิ่งกว่าแต่ก่อน เพราะพบกัน พวก
ข้าพเจ้าจึงพากันร่าเริง ดีใจและปลื้มใจ.

เทพบุตรถามว่า
ดูก่อนพ่อทั้งหลาย พวกท่านไปทะเลทราย
ทั้งฝั่งโน้น ทั้งฝั่งนี้ และไปทางที่มีเชิงหวายและ
หลักตอ ไปหลายทิศที่ไปได้ยาก คือมีแม่น้ำ และ
ที่ขรุขระของภูเขา เพราะโภคทรัพย์เป็นต้นเหตุ พวก
ท่านไปยังแว่นแคว้นของเพราะราชาอื่น ๆ ได้เห็นพวก
มนุษย์ชาวต่างประเทศ เราขอฟังสิ่งอัศจรรย์ ที่พวก
ท่านได้ฟังหรือได้เห็นมาในสำนักของพวกท่าน.

พวกพ่อค้าตอบว่า
ข้าแต่พ่อกุมาร สมบัติของมนุษย์ที่แล้ว ๆ มา
ทั้งหมด พวกข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินหรือได้เห็น

อัศจรรย์กว่าวิมานของท่านนี้เลย พวกข้าพเจ้าดูวิมาน
ของท่านอันมีรัศมีไม่ทรามแล้วไม่อิ่มเลย สระโบขรณี
เลื่อนลอยไปในอากาศ มีสวนป่าไม้มาก มีบุณฑริก
บัวขาวมาก มีต้นไม้ออกผลเป็นนิตย์ โชยกลิ่นหอม
ตลบไป เสาวิมานเหล่านี้ เป็นเสาแก้วไพฑูรย์
สูงร้อยศอก ส่วนยาวประดับด้วยศิลา แก้วประพาฬ
แก้วลายและแก้วทับทิม มีรัศมีโชติช่วง วิมานงาม
ของท่านนี้มีเสาพันหนึ่ง มีอานุภาพหาที่เปรียบมิได้
อยู่บนเสาเหล่านั้น ประกอบด้วยรัตนะภายใน ภาย
นอกล้อมด้วยไพทีทอง และกำบังอย่างดีด้วยแผ่น
ทอง วิมานของท่านนี้สว่างด้วยทองชมพูนุท ส่วน
นั้น ๆ ของวิมาน เกลี้ยงเกลา ประกอบด้วยบันได
และแผ่นกระดานของปราสาท มั่นคง งดงาม มี
ส่วนประกอบเข้ากันสนิทชวนพิศอย่างยิ่ง น่าลิงโลด
ใจ ภายในวิมานรัตน์ มีข้าวน้ำอุดมสมบูรณ์ ตัว
ท่านอันหมู่เทพอัปสรห้อมล้อม เอิกอึงด้วยเสียง
ตะโพน เปิงมางและดนตรี อันทวยเทพมากราบไหว้
ด้วยการสดุดีและวันทนา ท่านนั้นตื่นอยู่ด้วยหมู่เทพ-
นารี บันเทิงอยู่ในวิมานปราสาท อันประเสริฐน่า
รื่นรมย์ใจ มีอานุภาพเป็นอจินไตย ประกอบไปด้วย
คุณทุกอย่าง ดังท้าวเวสวัณในนลินีสถานมีดอกบัว
ท่านเป็นเทวดา หรือเป็นยักษ์ หรือเป็นท้าวสักกะ

จอมเทพ หรือเห็นมนุษย์ พวกพ่อค้าเกวียนถามท่าน
ขอท่านโปรดบอกทีเถิด ท่านเป็นเทวดาชื่อไร.

เทพบุตรตอบว่า
ข้าพเจ้าเป็นเทวดาชื่อเสริสสกะ เป็นผู้รักษา
ทางกันดาร คุ้มครองทะเลทราย ทำตามเทวบัญชา
คำสั่งของท้าวเวสวัณ จึงดูแลรักษาประเทศถิ่นนี้อยู่.

พวกพ่อค้าถามว่า
วิมานนี้ท่านได้มาเอง หรือเกิดโดยความ
เปลี่ยนแปลง ท่านทำเองหรือเทวดาทั้งหลายให้
พ่อค้าเกวียนทั้งหลายถามท่าน วิมานที่น่าภูมิใจนี้
ท่านได้มาอย่างไร.

เทพบุตรตอบว่า
วิมานนี้ มิใช่ข้าพเจ้าได้มาเอง มิใช่เกิดโดย
การเปลี่ยนแปลง มิใช่ข้าพเจ้าทำเอง มิใช่เทวดา
ทั้งหลายให้ วิมานที่น่าภูมิใจนี้ ข้าพเจ้าได้มาด้วย
บุญธรรมที่มิใช่บาปของตน.

พวกพ่อค้าถามว่า
อะไรเป็นวัตรและเป็นพรหมจรรย์ของท่าน นี้
เป็นวิบากแห่งบุญอะไรที่ท่านสั่งสมไว้ดีแล้ว พ่อค้า
เกวียนทั้งหลายถามท่าน วิมานนี้ท่านได้มาอย่างไร.

เทพบุตรตอบว่า

ข้าพเจ้ามีนามว่าปายาสิ เมื่อครั้งรับราชการ
(เป็นเจ้าเมืองเสตัพยะ) แคว้นโกศล ข้าพเจ้าเป็น
นัตถิกทิฏฐิ ( มีความเห็นผิดว่าไม่มีบุญบาป) เป็น
คนตระหนี่ มีธรรมอันลามก มีปกติกล่าวว่าขาดสูญ
ได้มีสมณะ นามว่ากุมารกัสสปะ ผู้โอฬาร เป็น
พหูสูต กล่าวธรรมได้วิจิตร ท่านได้แสดงธรรมกถา
โปรดข้าพเจ้าในครั้งนั้น ได้บรรเทาทิฏฐิ ที่เป็นข้าศึก
ใจ (มิจฉาทิฏฐิ) ของข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าได้ฟัง
ธรรมกถาของท่านนั้นแล้ว ได้ปฏิญาณตนเป็นอุบาสก
งดเว้นจากปาณาติบาต เว้นขาดจากอทินนาทานใน
โลก ไม่ดื่มน้ำเมาและไม่กล่าวมุสา ยินดีด้วยภริยา
ของตน ข้อนั้นเป็นวัตรและเป็นพรหมจรรย์ของ
ข้าพเจ้า นี้เป็นวิบากแห่งบุญที่ข้าพเจ้าสั่งสมไว้ดีแล้ว
วิมานนี้ข้าพเจ้าได้มาด้วยบุญกรรมที่ไม่ใช่บาปเหล่า-
นั้นแหละ.

พวกพ่อค้าถามว่า
ได้ยินว่า คนทั้งหลายที่มีปัญญา พูดแต่คำจริง
คำของบัณฑิตทั้งหลาย จึงไม่แปรปรวนกลับกลาย
เป็นอย่างอื่น คนทำบุญจะไปในที่ใด ๆ ย่อมมีแต่
ของที่น่ารักน่าท่านใคร่ บันเทิงอยู่ในที่นั้น ๆ ความโศก
ความร่ำให้ การฆ่า การจองจำ และเหตุเกิดเรื่อง

เลวร้าย มีอยู่ในที่ใด ๆ คนทำบาปก็ย่อมไปในที่
นั้น ๆ ย่อมไม่พ้นทุคติไปได้ไม่ว่าในกาลไร พ่อกุมาร
เพราะเหตุอะไรหนอ เทพบริวารจึงกลายเป็นผู้ฟั่น-
เฟือนในชั่วครู่นี้ เหมือนน้ำใสถูกกวนให้ขุ่น โทม-
นัสความเสียใจจึงได้มีแก่เทพบริวารนี้และตัวท่าน.

เทพบุตรตอบว่า
ดูก่อนพ่อค้าทั้งหลาย กลิ่นหอมทิพย์เหล่านี้
หอมฟุ้งจากป่าไม้ซึก หอมตลบอบอวลทั่ววิมานนี้
กำจัดความมืดได้ทั้งกลางวันกลางคืน ล่วงไปร้อยปี
เปลือกฝักของต้นซึกเหล่านี้จะแตกออกเป็นฝัก ๆ เป็น
อันรู้ว่าร้อยปีของมนุษย์ล่วงไปแล้ว ดูก่อนพ่อค้า
ทั้งหลาย ตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดในเทวดาหมู่นี้ ดำรงอยู่
ในวิมานนี้ 500 ปีทิพย์แล้วจึงจุติ เพราะสิ้นบุญ
เพราะสิ้นอายุ เพราะความโศกนั้นนั่นแล ข้าพเจ้า
จึงซบเซา.

พวกพ่อค้ากล่าวว่า
ท่านได้วิมานซึ่งหาที่เปรียบมิได้เป็นเวลานาน
ท่านเป็นเช่นนั้นจะเศร้าโศกไปทำไมเล่า ผู้มีบุญน้อย
เข้าอยู่ในวิมานชั่วเวลาสั้น ๆ ควรเศร้าโศกแท้.

เทพบุตรกล่าวว่า

ดูก่อนพ่อค้าทั้งหลาย ข้อที่ท่านทั้งหลายกล่าว
วาจาน่ารักตักเตือนข้าพเจ้านั้น สมควรแก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะตามคุ้มครองพวกท่าน ขอท่านทั้งหลายจง
ไปยังที่ที่พวกท่านปรารถนาโดยสวัสดีเถิด.

พวกพ่อค้ากล่าวว่า
ข้าพเจ้าทั้งหลาย มีความต้องการทรัพย์
ปรารถนากำไร จึงพากันไปยังสินธุประเทศ และ
โสวีระประเทศ พวกข้าพเจ้าจักประกอบกรรมตาม
สมควร จักเสียสละอย่างบริบูรณ์ กระทำการฉลอง
เสริสสกเทพบุตรอย่างโอฬาร.

เทพบุตรกล่าวว่า
ท่านทั้งหลายอย่าได้ทำการบูชาเสริสสกเทพบุตร
เลย สิ่งที่พวกท่านพูดถึงทั้งหมด จักมีแก่พวกท่าน
ท่านทั้งหลายจงงดเว้นการกระทำที่เป็นบาป และจง
ตั้งใจประกอบตามซึ่งธรรมเถิด ในหมู่พ่อค้าเกวียนนี้
มีอุบาสกผู้เป็นพหูสูต สมบูรณ์ด้วยศีลและวัตร มี
ศรัทธา มีจาคะ มีความละมุนละไม มีปัญญา
ประจักษ์ เป็นผู้สันโดษ เป็นผู้มีความรู้ ไม่พูดเท็จ
ทั้งรู้ ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น ไม่พูดส่อเสียดให้เขา
แตกกัน พูดแต่วาจาอ่อนหวานน่ารัก มีความเคารพ
มีความยำเกรง มิวินัย ไม่เป็นคนเลว เป็นผู้บริสุทธิ์

ในอธิศีล เป็นคนเลี้ยงบิดามารดาโดยธรรม มีความ
ประพฤติประเสริฐ เขาแสวงหาโภคะทั้งหลายเพื่อ
เลี้ยงบิดามารดา มิใช่เพื่อตน เมื่อบิดามารดาล่วง
ลับแล้ว เป็นผู้น้อมไปในเนกขัมมะ จักประพฤติ
พรหมจรรย์ เป็นคนตรง ไม่คดโกง ไม่โอ้อวด
ไม่มีมายา ไม่พูดมีเลศนัย เขาเป็นผู้ทำแต่กรรมดี
ตั้งอยู่ในธรรมเช่นนี้ จะพึงได้ความทุกข์อย่างไรเล่า
เพราะอุบาสกนั้นเป็นเหตุ ข้าพเจ้าจึงได้ปรากฏตัว.

ดูก่อนพ่อค้าทั้งหลายเอ๋ย เพราะฉะนั้น พวก
ท่านจงเห็นธรรมเถิด เพราะเว้นจากอุบาสกนั้นเสีย
แล้ว ท่านทั้งหลายจะวุ่นวายเหมือนคนตาบอดหลง
เข้ารูปในป่าเป็นเถ้าถ่านไป อันคนอื่นทอดทิ้งสัตบุรุษ
(อุบาสก) นั้น กระทำได้ง่าย การคบหาสัตบุรุษ
นำสุขมาให้หนอ.

พวกพ่อค้าถามว่า
ข้าแต่เทวดา อุบาสกคนนั้น คือใคร ทำงาน
อะไร เขาชื่ออะไร เขาโคตรอะไร ท่านมาในที่นี้
เพื่ออนุเคราะห์อุบาสกคนใด แม่ข้าพเจ้าทั้งหลายก็
ต้องการจะเห็นอุบาสกคนนั้น ท่านรักอุบาสกคนใด
ก็เป็นลาภของอุบาสกคนนั้น.

เทพบุตรกล่าวว่า

ผู้ใดเป็นกัลบกมีชื่อว่าสัมภวะ อาศัยการตัดผม
เลี้ยงชีพ เขาเป็นคนรับใช้ของพวกท่าน ท่านทั้งหลาย
จงรู้ผู้นั้นว่าเป็นอุบาสก ท่านทั้งหลายอย่าได้ดูหมิ่น
อุบาสกนั้น อุบาสกนั้นเป็นผู้ละมุนละไม ( น่ารัก ).

พวกพ่อค้ากล่าวว่า
ข้าแต่เทวดา พวกข้าพเจ้ารู้จักช่างตัดผมคนที่
ท่านพูดถึง แต่ไม่รู้ว่าเขาเป็นเช่นนี้เลย ข้าแต่เทวดา
ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ฟังคำของท่านแล้ว จักบูชาอุบาสก
นั้นอย่างโอฬาร.

เทพบุตรกล่าวว่า
มนุษย์ในกองเกวียนนี้ ไม่ว่าคนหนุ่มคนแก่
หรือคนปูนกลาง หมดทุกคนนั้นแหละจงขึ้นวิมาน
พวกคนตระหนี่จงดูผลของบุญทั้งหลาย.

พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวคาถาไว้ตอนจบเรื่องว่า
พ่อค้าเหล่านั้นทั้งหมดในที่นั้น ต่างคนต่างเข้า
ห้อมล้อมกัลบกนั้น พากันขึ้นสู่วิมาน ดุจภพดาวดึงส์
ของท้าววาสวะ (พระอินทร์) พ่อค้าเหล่านั้นทั้งหมด
ในที่นั้น ต่างคนต่างประกาศความเป็นอุบาสก ได้
เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต งดเว้นจากอทินนาทาน
งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา และไม่กล่าวเท็จ ยินดี
ด้วยภรรยาของตน.

พ่อค้าเหล่านั้นทั้งหมดในที่นั้น ครั้นต่างคน
ต่างประกาศความเป็นอุบาสกแล้ว บันเทิงอยู่ด้วย
เทพฤทธิ์เนือง ๆ ได้รับอนุญาตแล้วหลีกไป พ่อค้า
เหล่านั้นมีความต้องการทรัพย์ ปรารถนากำไร ไป
ถึงสินธุประเทศและโสวีระประเทศ พยายามค้าขาย
ตามปรารถนา มีลาภผลบริบูรณ์ กลับมาปาฏลิบุตร
อย่างปลอดภัย พ่อค้าเหล่านั้นไปสู่เรือนของตน มี
ความสวัสดี พร้อมหน้าบุตรภรรยา มีความ
เพลิดเพลิน ปลาบปลื้ม ดีใจ ชื่นใจ ได้ทำการบูชา
เสริสสกเทพบุตรอย่างโอฬาร ช่วยกันสร้างเทวาลัย
ชื่อเสริสสกะขึ้น การคบสัตบุรุษสำเร็จประโยชน์
เช่นนี้ การคบผู้มีคุณธรรมมีประโยชน์มาก เพื่อ
ประโยชน์ของอุบาสกคนเดียว พ่อค้าทั้งหมดก็ได้

ประสบความสุข.
จบเสริสสกวิมาน

อรรถกถาเสรีสกวิมาน


เสรีสกวิมาน มีคาถาว่า สุโณถ ยกฺขสฺส จ วาณิชาน จ
เป็นต้น. เสรีสกวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วท่านพระกุมาร-
กัสสปะพร้อมด้วยภิกษุประมาณ 500 รูป ไปถึงเสตัพยนคร ได้เปลื้อง