เมนู

น้ำเมา และไม่กล่าวเท็จ และเป็นผู้ยินดีด้วยภรรยา
ของตน ดังนี้.

จบมัฏฐกุณฑลีวิมานที่ 9

อรรถกถามัฏฐกุณฑลีวิมาน


มัฏฐกุณฑลีวิมาน มีคาถาว่า อลงฺกโค มฏฺฐกุณฺฑลี เป็นต้น.
มัฏฐกุณฑลีวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี
สมัยนั้น พราหมณ์ชาวสาวัตถีคนหนึ่ง เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก
เป็นคนไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ให้อะไรแก่
ใคร ๆ เพราะไม่ให้นั่นเอง เขาจึงเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า อทินนปุพพกะ
ไม่เคยให้ เขาไม่ต้องการเฝ้าพระตถาคต ไม่ต้องการแม้จะเห็นสาวกของ
พระตถาคต เพราะความเป็นคนโลภโดยเป็นมิจฉาทิฏฐิ เขาสอนบุตรของ
ตนชื่อมัฏฐกุณฑลีว่า ลูก เจ้าไม่พึงไปหา ไม่พึงเห็นพระสมณโคดมและ
สาวกของพระองค์ แม้ตัวเขาเองก็ได้กระทำอย่างนั้น คราวนั้น บุตรของ
เขาป่วย พราหมณ์ไม่ได้ทำยารักษา เพราะกลัวเปลืองทรัพย์ เมื่อโรค
กำเริบขึ้นจึงเชิญหมอมาดู หมอทั้งหลายดูร่างกายของเขาแล้ว รู้ว่าเด็กนั้น
รักษาไม่หายจึงหลีกไป พราหมณ์คิดว่า เมื่อลูกตายในเรือน นำออก
ลำบาก จึงอุ้มบุตรให้นอนที่นอกซุ้มประตู.
ณ ราตรีปัจจุสสมัยใกล้รุ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากพระมหา-

กรุณาสมาบัติ ทรงตรวจดูโลก ทรงเห็นมัฏฐกุณฑลีมาณพหมดอายุ จะ
ต้องตายในวันนั้นเอง และทรงเห็นโอกาสที่มาณพนั้นการทำกรรมอันเป็น
ในเพื่อนรก มีพระพุทธดำริว่า ถ้าเราไปในที่นั้น มาณพนั้นจักทำจิตให้
เลื่อมใสเรา จักบังเกิดในเทวโลก จักเข้าไปหาบิดาที่ร้องไห้อยู่ในป่าช้า
ให้บิดาสังเวช เมื่อเป็นเช่นนั้น ทั้งเขาและบิดาของเขาจักมาหาเรา หมู่
มหาชนจักประชุมกัน เมื่อเราแสดงธรรม จักมีการตรัสรู้ธรรมกันมากใน
ที่นั้น ครั้นทรงทราบอย่างนี้แล้ว รุ่งเช้า ทรงนุ่งแล้วทรงถือบาตรและ
จีวร เสด็จเข้าบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี ประทับยืนเปล่งพระพุทธรังสีมี
วรรณะ 6 ใกล้เรือนบิดาของมาณพมัฏฐกุณฑลี มาณพเห็นพระฉัพพัณณ-
รังสีเหล่านั้นคิดว่า นั่นอะไร เหลียวดูข้างโน้นข้างนี้ ได้เห็นพระผู้มี
พระภาคเจ้าผู้ฝึกตนแล้ว คุ้มครองตนแล้ว มีพระอินทรีย์สงบโชติช่วงอยู่
ด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ด้วยอนุพยัญชนะ 80 และด้วยพระเกตุมาลา
อันมีรัศมีวาหนึ่ง ทรงรุ่งโรจน์ด้วยพระพุทธสิริอันเปรียบมิได้ ด้วยพระ-
พุทธานุภาพอันเป็นอจินไตย ครั้นเห็นแล้ว มาณพนั้นได้มีความคิดอย่าง
นี้ว่า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเสด็จถึงที่นี้แล้วหนอ ซึ่งพระองค์มีรูปสมบัติ
ที่จะงำแม้พระอาทิตย์ ด้วยพระเดชของพระองค์ งำพระจันทร์ ด้วยพระ-
คุณที่น่ารัก งำสมณพราหมณ์ทั้งหมด ด้วยความเป็นผู้สงบระงับ อัน
ความสงบระงับพึงมีในที่นี้นี่แหละ อัครบุคคลในโลกนี้ ก็เห็นจะผู้นี้นี่เอง
และก็เสด็จถึงที่นี้ ก็เพื่อทรงอนุเคราะห์เราแน่แล้ว มาณพนั้นมีเรือนร่าง
อันปีติที่มีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์สัมผัสแล้วตลอดกาล เสวยปีติโสมนัส
ไม่น้อย มีจิตเลื่อมใสนอนประคองอัญชลี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นเขา
แล้ว มีพระดำริว่า เพียงเท่านี้ก็พอที่มาณพนี้จะเข้าถึงสวรรค์ ดังนี้

เสด็จหลีกไป.
แม้มาณพนั้นไม่ละปีติโสมนัสนั้นเลย ทำกาละตายไปบังเกิดใน
วิมานทอง 12 โยชน์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ฝ่ายบิดาของเขา ให้ทำ
สักการะสรีระแล้ว ในวันที่สองไปป่าช้าในเวลาเช้ามืด คร่ำครวญว่า โธ่
เอ๋ย มัฏฐกุณฑลี โธ่เอ๋ย มัฏฐกุณฑลี เดินพลางร้องไห้พลาง วนไป
รอบ ๆ ป่าช้า.
เทพบุตรตรวจดูความสมบูรณ์แห่งสมบัติของตน ทบทวนดูว่า เรา
ทำกรรมอะไร จากไหนจึงมาที่นี้ ได้รู้อัตภาพก่อนของตน และเห็นความ
เลื่อมใสแห่งจิตที่เป็นไปในพระผู้มีพระภาคเจ้า เพียงทำอัญชลีที่น่าจับใจ
ในเวลาจะตายในอัตภาพนั้น เกิดความเลื่อมใสและความนับถือเป็นอัน
มากในพระตถาคตอย่างดียิ่งว่า โอ พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ทรงมี
อานุภาพมาก ใคร่ครวญดูว่า อทินนปุพพกพราหมณ์ทำอะไรหนอ เห็น
มาร้องไห้อยู่ในป่าช้า จึงคิดว่า พราหมณ์นี้ เมื่อก่อน ไม่ทำแม้เพียงยา
รักษาเรา มาบัดนี้ร้องไห้อยู่ในป่าช้า หาประโยชน์มิได้ เอาเถอะ เรา
จักให้พราหมณ์นั้นสังเวชแล้วให้ดำรงอยู่ในกุศล ดังนี้แล้ว มาจากเทวโลก
แปลงตัวเป็นมัฏฐกุณฑลีร้องไห้อยู่ ยืนประคองแขนคร่ำครวญอยู่ใกล้ ๆ
บิดาว่า โอ้ พระจันทร์ โอ้ พระอาทิตย์ ครั้งนั้น พราหมณ์คิดว่า นี้
มัฏฐกุณฑลีมาแล้ว ได้กล่าวกะเขาด้วยคาถาว่า
เจ้าแต่งตัว มีตุ้มหูเกลี้ยง ทรงมาลัยดอกไม้
ทาตัวด้วยจันทน์แดง ประคองแขนคร่ำครวญอยู่ใน
กลางป่า เจ้าเป็นทุกข์หรือ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลงฺกโต แปลว่า ประดับแล้ว.

บทว่า มฏฺฐกุณฺฑลี ได้แก่ มีตุ้มหูที่ทำอย่างเกลี้ยง ๆ ไม่แสดงลาย
ดอกไม้และเครือเถาเป็นต้น เพื่อไม่ครูดสีร่างกาย อีกอย่างหนึ่ง บทว่า
มฏฺฐกุณฺฑลี แปลว่า ตุ้มหูที่บริสุทธิ์ อธิบายว่า ตุ้มหูที่ต้มแล้วเช็ดล้าง
ด้วยหญิงคุธรรมชาติ แล้วเช็ดด้วยขนสุกร. บทว่า มาลธารี ได้แก่
ทัดทรงมาลัยดอกไม้ อธิบายว่า ประดับมาลัยดอกไม้. บทว่า หริจนฺท-
นุสฺสโท
ความว่า เอาจันทน์แดงไล้ทาทั่วตัว. บทว่า กึ เป็นคำถาม.
บทว่า ทิกฺขิโต แปลว่า ถึงความทุกข์ อีกอย่างหนึ่ง บทว่า กึ ทุกขิโต
เป็นบทเดียวกัน ความว่า ถึงทุกข์ ด้วยความทุกข์อะไร.
ลำดับนั้น เทพบุตรกล่าวกะพราหมณ์ว่า
เรือนรถทำด้วยทองคำงามผุดผ่องเกิดขึ้นแก่ข้า
ข้าหาคู่ล้อรถนั้นยังไม่ได้ ข้าจะสละชีวิตเพราะความ
ทุกข์นั้น.

ลำดับนั้น พราหมณ์กล่าวกะเทพบุตรนั้นว่า
พ่อมาณพผู้เจริญ เจ้าอยากได้คู่ล้อทองคำ
แก้วมณี ทองแดง หรือเงินก็จงบอกแก่ข้า ข้าจะจัด
คู่ล้อให้เจ้า.

มาณพได้ฟังดังนั้น คิดว่า พราหมณ์นี้ไม่ทำยารักษาลูก เห็นเรา
คล้ายลูก ร้องไห้พูดว่า จะทำล้อรถทองเป็นต้นให้ ช่างเถอะ จำเราจัก
ข่มเขา จึงกล่าวว่า ท่านจักทำคู่ล้อแก่ข้าใหญ่เท่าไร เมื่อพราหมณ์กล่าวว่า
ให้เท่าที่เจ้าต้องการ จึงขอว่า ข้าต้องการพระจันทร์และพระอาทิตย์
ขอท่านจงให้พระจันทร์พระอาทิตย์แก่ข้าเถิด.

มาณพนั้นกล่าวตอบพราหมณ์นั้นว่า พระจันทร์
พระอาทิตย์ทั้งสองย่อมปรากฏในท้องฟ้านั้น รถทอง
ของข้า ย่อมงามด้วยคู่ล้อนั้น.

ลำดับนั้น พราหมณ์กล่าวกะเทพบุตรว่า
พ่อมาณพ เจ้าเป็นคนโง่ ที่มาปรารถนาสิ่งที่
ไม่ควรปรารถนา ข้าเข้าใจว่าเจ้าจักตาย [ เสียก่อน ]
จักไม่ได้พระจันทร์และพระอาทิตย์แน่นอน.

ลำดับนั้น มาณพกล่าวกะพราหมณ์ว่า คนที่ร้องไห้เพื่อต้องการสิ่ง
ปรากฏอยู่เป็นคนโง่ หรือว่าคนที่ร้องไห้เพื่อต้องการสิ่งที่ไม่ปรากฏอยู่
เป็นคนโง่ แล้วกล่าวว่า
แม้การไปการมาของพระจันทร์พระอาทิตย์ ก็
ยังเห็นกันอยู่ รัศมีของพระจันทร์พระอาทิตย์ ก็ยัง
เห็นกันอยู่ในวิถีทั้งสอง คนที่ตายล่วงลับไปแล้ว ใคร
ก็ไม่เห็น บรรดาเราสองคนที่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ใน
ที่นี้ ใครโง่กว่ากัน.

พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นแล้ว กำหนดในใจว่า เจ้านี่พูดถูกจึงกล่าวว่า
พ่อมาณพ ท่านพูดจริง บรรดาเราสองคนที่
ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ข้านี่แหละเป็นคนโง่กว่า
ปรารถนาบุตรที่ตายล่วงลับไปแล้ว เหมือนทารกร้องไห้
อยากได้พระจันทร์ฉะนั้น.

หายโศกเศร้าเพราะถ้อยคำของมาณพนั้น เมื่อจะชมเชยมาณพ จึงกล่าว
คาถาเหล่านี้ว่า
เจ้ามารดาข้าผู้เร่าร้อนให้สงบ ดับความกระวน
กระวายทั้งหมดได้ เหมือนเอาน้ำรดไฟที่ราดเปรียง
ฉะนั้น เจ้าผู้ที่บรรเทาความโศกเศร้าถึงบุตรของข้าผู้
เฝ้าแต่เศร้าโศก ชื่อว่าได้ถอนลูกศรคือความโศกที่
เกาะหัวใจของข้าขึ้นได้แล้ว พ่อมาณพ ข้าเป็นผู้ที่
เจ้าถอนลูกศร คือความโศกขึ้นได้แล้ว ก็เป็นผู้ดับ
ร้อน เย็นสนิท ไม่ต้องเศร้าโศก ไม่ต้องร้องให้
เพราะฟังเจ้า ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รถปญฺชโร ได้แก่ ตัวรถ. บทว่า
น วินฺทามิ แปลว่า ย่อมไม่ได้. บทว่า ภทฺทมาณว เป็นคำร้องเรียก.
บทว่า ปฏิปาทยามิ แปลว่า จะจัดให้ ประโยคสงค์ความว่า ท่านอย่าสละ
ชีวิตเพราะไม่มีคู่ล้อ. บทว่า อุภเยตฺถ ทิสฺสเร ความว่า พระจันทร์
และพระอาทิตย์ แม้ทั้งสอง ยังเห็นกันได้ในท้องฟ้านี้ อักษรทำหน้าที่
เชื่อมบท อีกอย่างหนึ่ง แยกบทเป็น อุภเย เอตฺถ.
บทว่า คมนาคมนํ ความว่า การไปและการมาของพระจันทร์และ
พระอาทิตย์ ยังเห็นกันได้ โดยลงและขึ้นทุก ๆ วัน บาลีว่า คมโนคมนํ
ก็มี ความว่าขึ้นและลง. บทว่า วณฺณธาตุ ได้แก่ แสงสว่างของวรรณะ
ที่เหลือแต่ความเย็น เป็นแสงสว่างน่ารัก [ พระจันทร์ ] ที่เหลือแต่ความ
ร้อน เป็นแสงสว่างที่กล้า [ พระอาทิตย์ ]. บทว่า อุภยตฺถ พึงประกอบ

ความว่า รัศมีแม้ในพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสองก็ยังเห็นกันอยู่.
บทว่า วิถิยา ได้แก่ ในวิถีที่เป็นไป หรือในวิถีมีนาควิถีเป็นต้น ใน
ท้องฟ้า บาลีว่า อุภเยตฺถ ก็มีบ้าง แยกบทว่า อุภเย เอตฺถ. บทว่า
พาลฺยตโร แปลว่า โง่กว่า คือโง่อย่างที่สุด.
พราหมณ์ฟังคาถานี้แล้ว ก็พิจารณาดูว่า เราปรารถนาเรื่องที่ไม่น่า
จะได้แล้วหนอ จึงถูกไฟคือความโศกเผาอยู่อย่างเดียว ทำไมเรายังจะต้อง
การด้วยความพินาศและความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์ ครั้งนั้น เทพบุตร
คลายรูปมัฏฐกุณฑลีกลับเป็นรูปทิพย์ของตนอย่างเดิม แต่พราหมณ์ไม่ได้
ตรวจดูเทพบุตรนั้น พูดโดยใช้โวหารว่ามาณพอยู่อย่างเดิม กล่าวว่า
สจฺจํ โข วเทสิ มาณว เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จนฺทํ วิย
ทารโก รุทํ
ความว่า เหมือนทารกร้องไห้อยากได้พระจันทร์. บทว่า
กาลกตาภิปตฺถยึ ความว่า ปรารถนาถึงคนที่ตายแล้ว บาลีว่า อภิปฺตฺถยํ
ก็มี.
บทว่า อาทิตฺตํ ได้แก่ เร่าร้อนด้วยไฟคือความโศก. บทว่า
นิพฺพาปเย ทรํ ความว่า ดับความกระวนกระวาย คือความเร่าร้อน
เพราะความโศก. บทว่า อพฺพุหิ แปลว่า ถอน คือยกขึ้น.
ลำดับนั้น พราหมณ์บรรเทาความโศกได้แล้ว เห็นผู้ให้คำชี้แจง
แก่ตน อยู่ในรูปเป็นเทวดา เมื่อจะถามว่า ท่านชื่ออะไร จึงกล่าวคาถาว่า
ท่านเป็นเทวดา หรือเป็นคนธรรพ์ หรือเป็น
ท้าวสักกะผู้ให้ทานในชาติก่อน ท่านเป็นใคร หรือ
เป็นบุตรของใคร เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร.

เทพบุตรแม้นั้นก็ได้ชี้แจงตนแก่พราหมณ์นั้นว่า
ท่านเผาบุตรที่ป่าช้าเองแล้ว คร่ำครวญร้องไห้
ถึงบุตรคนใด ข้าคือบุตรคนนั้น ทำกุศลกรรมแล้ว
ถึงความเป็นสหายของทวยเทพชั้นไตรทศ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยญฺจ กนฺทสิ ยญฺจ โรทสิ ความ
ว่า ท่านร้องไห้ คือหลั่งน้ำตา ถึงมัฏฐกุณฑลีบุตรของท่านคนใด.
ลำดับนั้น พราหมณ์กล่าวกะเทพบุตรนั้นว่า
เมื่อท่านให้ทานน้อยหรือมากในเรือนของตน
หรือรักษาอุโบสถกรรมเช่นนั้น พวกเราก็มิได้เห็น
เพราะกรรมอะไร ท่านจึงไปเทวโลกได้.

ในคาถานั้นประกอบความว่า หรืออุโบสถกรรมเช่นนั้น เราก็
ไม่เห็น.
ลำดับนั้น มาณพกล่าวกะพราหมณ์ว่า
ข้าป่วยเป็นไข้ได้รับทุกข์ มีกายกระสับกระส่าย
อยู่ในที่อยู่ของตน ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจาก
กิเลสธุลี ข้ามพ้นความสงสัย เสด็จไปดีแล้ว มี
พระปัญญาไม่ทราม ข้านั้นมีใจเบิกบานเลื่อมใส ได้
กระทำอัญชลีแด่พระตถาคต ข้าทำกุศลธรรมนั้นจึง
ถึงความเป็นสหายของทวยเทพชั้นไตรทศ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาพาธิโก แปลว่า เพียบด้วยความ
เจ็บป่วย. บทว่า ทุกฺขิโต ความว่า เกิดทุกข์เพราะความเป็นคนเจ็บป่วย

นั้นแหละ. บทว่า คิลาโน ได้แก่ กำลังจับไข้. บทว่า อาตุรรูโป แปลว่า
มีกายอันทุกขเวทนาเสียดแทง. บทว่า วิคตรชํ แปลว่า มีกิเลสดุจธุลี
มีราคะเป็นต้นไปปราศแล้ว. บทว่า วิติณฺณกงฺขํ ความว่า ข้ามพ้นความ
สงสัย เพราะถอนความสงสัยได้ทุกอย่าง. บทว่า อโนมปญฺญํ ได้แก่
มีปัญญาบริบูรณ์ อธิบายว่า เป็นพระสัพพัญญู. บทว่า อกรึ แปลว่า
ได้กระทำแล้ว. บทว่า ตาหํ ตัดบทเป็น ตํ อหํ.
เมื่อมาณพกำลังกล่าวอยู่อย่างนี้นั่นแล ทั่วเรือนร่างของพราหมณ์
เต็มเปี่ยมไปด้วยปีติ เมื่อเขาจะประกาศปีตินั้น จึงกล่าวว่า
น่าอัศจรรย์หนอ ไม่เคยมีหนอ อัญชลีกรรม
มีผลเป็นได้ถึงเช่นนี้ แม้ข้าก็มีใจเบิกบาน มีจิต
เลื่อมใส จึงขอถึงพระพุทธเจ้าว่า เป็นสรณะที่พึ่งใน
วันนี้นี่แหละ.

ในคาถานั้น ชื่อว่า อัจฉริยะ เพราะควรปรบมือ โดยที่เป็นไป
ไม่บ่อยนัก ชื่อว่า อัพภูตะ เพราะไม่เคยมี พราหมณ์ครั้นแสดงความ
ประหลาดใจด้วยบททั้งสองแล้วกล่าวว่า แม้ข้าก็มีใจเบิกบานมีจิตเลื่อมใส
จึงขอถึงพระพุทธเจ้าว่า เป็นสรณะที่พึ่งในวันนี้นี่แหละ.
ลำดับนั้น เทพบุตรเมื่อจะประกอบพราหมณ์นั้นไว้ในการถึงสรณะ
และสมาทานศีล จึงกล่าวสองคาถาว่า
ขอท่านจงมีจิตเลื่อมใส ถึงพระพุทธเจ้า พระ-
ธรรมและพระสงฆ์ว่า เป็นสรณะที่พึ่งในวันนี้นี่แหละ
อนึ่ง ท่านจงสมาทานสิกขาบท 5 อย่าให้ขาดและ

ด่างพร้อย จงรีบงดเว้นจากการฆ่าสัตว์เสีย จงเว้น
การถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้ในโลก จงไม่ดื่มน้ำเมา
และไม่กล่าวเท็จ จงยินดีด้วยภรรยาของตน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตเถว ความว่า ท่านมีจิตเลื่อมใสถึง
พระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นสัมมาสัมพุทธะ ดังนี้
ฉันใด ท่านจงมีจิตเลื่อมใสถึงพระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง ว่า
พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว พระสงฆ์ปฏิบัติดีแล้ว ดังนี้
ฉันนั้นเหมือนกัน อีกอย่างหนึ่ง ท่านมีจิตเลื่อมใสถึงพระรัตนตรัยว่า
เป็นที่พึ่ง ฉันใด ท่านมีจิตเลื่อมใสว่า นี้นำประโยชน์และความสุขมาทั้ง
ในปัจจุบันและอนาคตโดยส่วนเดียว จงสมาทาน คือจงประพฤติถือมั่น
ซึ่งศีลห้า อันเป็นบท คือเป็นส่วนแห่งสิกขาคืออธิศีลสิกขา หรือเป็น
อุบายทางดำเนินถึงอธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา ไม่ให้ขาดและด่าง
พร้อย เพราะไม่กำเริบและไม่เศร้าหมอง ฉันนั้นเหมือนกัน.
พราหมณ์ถูกเทพบุตรประกอบไว้ในการถึงสรณะและการสมาทาน
ศีลอย่างนี้แล้ว เมื่อจะรับคำของเทพบุตรนั้นด้วยเศียรเกล้า จึงกล่าวคาถา
ว่า
ข้าแต่เทวดาผู้น่าบูชา ท่านเป็นผู้ปรารถนา
ประโยชน์ ปรารถนาเกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะ
ทำตามคำของท่าน ขอท่านจงเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า
เถิด ดังนี้.

เมื่อดำรงอยู่ในคำนั้น ได้กล่าวสองคาถาว่า

ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมว่าเป็น
สรณะที่พึ่งอันยอดเยี่ยม และข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์
สาวกของพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นนรเทพว่า เป็นสรณะ
ที่พึ่ง.

ข้าพเจ้างดเว้นจากการฆ่าสัตว์อย่างฉับพลัน
งดการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้ในโลก ข้าพเจ้าไม่
ดื่มน้ำเมา และไม่กล่าวเท็จ และเป็นผู้ยินดีด้วย
ภรรยาของตน
ดังนี้.
แม้คำนั้น ก็รู้ง่ายเหมือนกัน.
แต่นั้น เทพบุตรคิดว่า กิจที่ควรกระทำแก่พราหมณ์ เราก็กระทำ
เสร็จแล้ว บัดนี้พราหมณ์คงจักเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเองดังนี้แล้วได้
อันตรธานไป ณ ที่นั้นเอง แม้พราหมณ์ก็เกิดเลื่อมใสและนับถือมากใน
พระผู้มีพระภาคเจ้า และถูกเทวดาเตือน จึงบ่ายหน้าไปวิหารด้วยหมายใจ
จักเข้าเฝ้าพระสมณโคดม มหาชนเห็นดังนั้น คิดว่า พราหมณ์นี้ไม่เข้า
เฝ้าพระตถาคตตลอดกาลเท่านี้ วันนี้เข้าเฝ้าเพราะโศกถึงบุตร จักมีพระ-
ธรรมเทศนาเช่นไรหนอ จึงพากันติดตามพราหมณ์นั้นไป.
พราหมณ์เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำปฏิสันถารแล้ว กราบทูล
อย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม คนไม่ให้ทานอะไร ๆ หรือไม่รักษาศีล
เพียงแต่เลื่อมใสในพระองค์อย่างเดียว จะบังเกิดในสวรรค์ได้หรือ พระผู้
มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ท่านพราหมณ์ เมื่อย้ำรุ่งวันนี้ มัฏฐกุณฑลี
เทพบุตรได้บอกเหตุที่เข้าถึงเทวโลกของตน แก่ท่านแล้วมิใช่หรือ ขณะ

นั้น มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรมาปรากฏองค์พร้อมกับวิมาน ลงจากวิมาน
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ยืนประคองอัญชลีอยู่ ณ ที่สมควร
แห่งหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงสุจริตที่เทพบุตรนั้นกระทำ
แล้ว ในที่ประชุมนั้น ทรงทราบว่าที่ประชุมมีความสบายใจ จึงทรง
แสดงสามุกกังสิกเทศนา ธรรมแบบยกขึ้นแสดงเอง.1
จบเทศนา เทพบุตร พราหมณ์ และบริษัทที่ประชุมกัน รวมเป็น
สัตว์แปดหมื่นสี่พันได้ตรัสรู้ธรรมแล.
จบอรรถกถามัฏฐกุณฑลีวิมาน

10. เสริสสกวิมาน


ว่าด้วยเสริสสกวิมาน


พระควัมปติเถระ

กล่าวว่า
[84] ขอท่านทั้งหลายจงฟังคำของเทวดา
และของพวกพ่อค้าในทางทะเลทราย ที่ได้มาพบกัน
ในเวลานั้น และฟังถ้อยคำที่เทวดาและพวกพ่อค้า
โต้ตอบกันโดยประการใด ขอท่านทั้งปวงจงฟังคำนั้น

1. สามุกฺกํสิกํ แปลตามอรรถกถาว่า พระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงยกขึ้นถือเอาเอง คือ
ทรงเห็นด้วยพระสยัมภูญาณ (ตรัสรู้เอง) ได้แก่อริยสัจจเทศนา , ตามแบบเรียน แปลว่า
ธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงยกขึ้นแสดงเอง คือ ไม่ต้องปรารภคำถามเป็นต้นของผู้ฟัง ได้แก่
เทศนาเรื่องอริยสัจ.