เมนู

อรรถกถาอัมพวิมาน


อัมพวิมาน มีคาถาว่า อุจฺจมิทํ มณิถูณํ เป็นต้น. อัมพวิมาน
นั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์
สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์มีบุรุษเข็ญใจคนหนึ่ง รับจ้างเฝ้าสวนมะม่วงของ
คนอื่นแลกภัตตาหาร วันหนึ่ง เขาเห็นท่านพระสารีบุตรมีเหงื่อท่วมตัว
กำลังเดินไปตามทางใกล้ ๆ สวนมะม่วงนั้น ในภูมิประเทศที่ร้อนด้วย
แสงแดด ระอุด้วยทรายร้อน มีข่ายพยับแดดเป็นตัวยิบ ๆ แผ่ไปใน
ฤดูร้อน เกิดความเคารพนับถือมาก เข้าไปหาแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า
ฤดูร้อนนี้ร้อนมาก ปรากฏเหมือนร่างกายลำบากเหลือเกิน ขอโอกาสเถิด
เจ้าข้า ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดไปยังสวนมะม่วงนี้ พักเสียสักครู่หนึ่ง หาย
เหนื่อยในการเดินทางแล้วค่อยไป โปรดอนุเคราะห์เถิด. พระเถระ
ประสงค์จะเพิ่มพูนจิตเลื่อมใสของเขาเป็นพิเศษ จึงเข้าไปยังสวนนั้น นั่ง
ที่โคนมะม่วงต้นหนึ่ง.
บุรุษนั้นกล่าวอีกว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าท่านต้องการจะสรงน้ำ กระผม
จักตักน้ำจากบ่อนี้ให้ท่านสรง และจักถวายน่าดื่มด้วย. พระเถระรับ
นิมนต์ด้วยดุษณีภาพ. เขาตักน้ำจากบ่อเอากรองแล้วให้พระเถระสรง และ
ครั้นให้สรงแล้ว เขาล้างมือเท้าแล้วน้อมน้ำดื่มเข้าถวายแด่พระเถระผู้นั่งอยู่
พระเถระดื่มน้ำดื่มแล้ว ระงับความกระวนกระวายได้แล้วกล่าวอนุโมทนา
ในการถวายน้ำและให้สรงน้ำแก่บุรุษนั้นแล้วหลีกไป. ต่อมา บุรุษนั้นได้
เสวยปีติโสมนัสอย่างโอฬารว่า เราได้ระงับความเร่าร้อนของพระสารี-
บุตรเถระผู้เร่าร้อนยิ่งเพราะฤดูร้อน เราได้ขวนขวายบุญมากหนอ. ภาย

หลังเขาทำกาลกิริยาตายไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านพระมหาโมค-
คัลลานะเข้าไปหาเขา ถามถึงบุญที่เขากระทำด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
วิมานเสาแก้วมณีนี้สูง 12 โยชน์ โดยรอบ
มีห้องรโหฐาน 700 ล้วนเสาแก้วไพฑูรย์ ปูลาดด้วย
เครื่องปูลาดที่งดงาม ท่านนั่งและดื่มกินในวิมานนั้น
พิณทิพย์ก็บรรเลงไพเราะ ในวิมานนี้มีกามคุณห้ามีรส
อันเป็นทิพย์ และอัปสรเทพนารีที่แต่งองค์ด้วยทอง
ฟ้อนรำอยู่ เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้
เพราะบุญอะไร ผลอันนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะ
ทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.

ฯ ล ฯ
เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่าง
นี้ และรัศมีของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทพบุตรนั้นถูกพระโมคคัลลานะถามแล้ว ดีใจ
ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า

เมื่อพระอาทิตย์กำลังแผดแสงในเดือนท้ายฤดู-
ร้อน ข้าพเจ้าเป็นคนรับจ้างทำงานของผู้อื่น กำลัง
รดน้ำสวนมะม่วงอยู่ ในขณะนั้น ภิกษุที่ปรากฏชื่อว่า
สารีบุตร ลำบากกาย ไม่ลำบากใจ ได้เดินไปทาง
สวนมะม่วงนั้น ข้าพเจ้ากำลังรดน้ำต้นมะม่วง ได้
เห็นท่านกำลังเดินมา จึงกล่าวว่า ขอโอกาสเถิด

เจ้าข้า กระผมขอให้ท่านสรงน้ำ ซึ่งจะนำสุขใจมา
ให้ ท่านพระสารีบุตรวางบาตรจีวรไว้ เหลือจีวร
ผืนเดียวนั่งที่ร่มเงาโคนต้นไม้ เพื่ออนุเคราะห์แก่
ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าเป็นคนมีใจเลื่อมใส เอาน้ำใส
มาให้ท่าน ซึ่งมีจีวรผืนเดียวนั่งที่ร่มเงาโคนต้นไม้
สรงน้ำ มะม่วงเราก็รดน้ำแล้ว สมณะเราก็ให้ท่าน
สรงน้ำแล้ว เราขวนขวายบุญแล้วมิใช่น้อย บุรุษนั้น
มีปีติซาบซ่านไปทั่วกายของตน ด้วยประการฉะนี้
ข้าพเจ้าได้ทำกรรมมีประมาณเท่านี้นั่นเอง ในชาติ
นั้น ละร่างมนุษย์แล้วเข้าถึงนันทนวัน ข้าพเจ้า
มีเหล่าเทพอัปสรฟ้อนรำขับร้องห้อมล้อมรื่นรมย์อยู่
ในอุทยานนันทนวันอันน่ารื่นรมย์ ประกอบไปด้วย
ฝูงสกุณชาตินานาชนิด.

เทพบุตรแม้นั้น ได้พยากรณ์แก่พระโมคคัลลานเถระนั้น ด้วย
คาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส ได้แก่
ในอาสาฬหมาส (เดือน 8 ). บทว่า ปตปนฺเต ได้แก่ ส่องแสงจ้า.
อธิบายว่า ปล่อยออกซึ่งความร้อนโดยประการทั้งปวง. บทว่า ทิวงฺกเร
ได้แก่ พระอาทิตย์. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะก็อย่างนี้แหละ. บทว่า อสิญฺจติ
ได้แก่ รดน้ำ อ อักษรเป็นเพียงนิบาต, ความว่า รดน้ำ คือ ทำการ
รดน้ำเป็นประจำ ที่โคนต้นมะม่วงทั้งหลาย ปาฐะว่า อสิญฺจถ ก็มี

ความว่า รดแล้ว. บางท่านกล่าวว่า อสิญฺจหํ ก็มี ความว่า ข้าพเจ้า
เป็นบุรุษรับจ้างของคนอื่น ได้รดน้ำสวนมะม่วงในคราวนั้น.
บทว่า เตน ความว่า ได้ไป คือ ได้เดินไปทางทิศาภาคที่สวน
มะม่วงตั้งอยู่ (เดินไปทางสวนมะม่วง). บทว่า อกิลนฺโต ว เจตสา
ประกอบความว่า พระเถระแม้ไม่ลำบากใจ เพราะละทุกข์ใจได้แล้วด้วย
มรรคนั่นเอง แต่ก็เป็นผู้ลำบากกาย ได้เดินไปตามทางนั้น.
ประกอบความว่า คราวนั้น ข้าพเจ้ากำลังรดน้ำต้นมะม่วง ได้
กล่าวแล้ว. อธิบายว่า มีจีวร [ สบง ] ผืนเดียว ต้องการจะสรงน้ำ.
บทว่า อิติ ความว่า บุรุษนั้นมีปีติที่เป็นไปโดยอาการนี้อย่างนี้
คือว่า มะม่วงเราก็รดน้ำแล้ว สมณะเราก็ให้สรงน้ำแล้ว บุญมิใช่น้อย
เราก็ขวนขวายแล้ว ด้วยประโยคพยายามอย่างเดียวเท่านั้น ก็ให้สำเร็จ
ประโยชน์ได้ถึง 3 อย่าง ดังนี้ ซาบซ่านไปทั่วกายของตน ประกอบ
ความว่า ทำให้มีปีติถูกต้องติดต่อกัน. และบทนี้เป็นคำปัจจุบันกาล ใช้
ในข้อความที่เป็นอดีตกาล อธิบายว่า ซาบซ่านแผ่ไปแล้ว.
บทว่า ตเทว เอตฺตกํ กมฺมํ ความว่า ข้าพเจ้าได้ทำกรรมมี
ประมาณเท่านี้นั้น คือ เพียงถวายน้ำดื่มอย่างนั้น. อธิบายว่า ในชาตินั้น
ข้าพเจ้ามิได้ระลึกถึงเรื่องอื่น. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาอัมพวิมาน

6. โคปาลวิมาน


ว่าด้วยโคปาลวิมาน


พระมหาโมคัลลานเถระ

ถามเทพบุตรองค์หนึ่งว่า
[80] ภิกษุเห็นเทพบุตรผู้สวมเครื่องประดับ
มือ ผู้มียศ ในวิมานสูง ซึ่งตั้งอยู่สิ้นกาลนาน
รุ่งโรจน์อยู่ในทิพยวิมาน ดุจพระจันทร์ จึงไต่ถาม
ว่า ท่านเป็นผู้ประดับองค์ทรงมาลัย มีพัสตราภรณ์
สวย มีกุณฑลงาม แต่งผมและหนวดแล้ว สวม
เครื่องประดับมือ มียศ รุ่งโรจน์อยู่ในทิพยวิมาน
เหมือนพระจันทร์ พิณทิพย์ทั้งหลายก็บรรเลงไพเราะ
เหล่าเทพอัปสรชั้นไตรทศ จำนวน 64,000 ล้วน
แต่คนดี ผู้ชำนาญศิลป์ พากันฟ้อนรำขับร้อง ทำ
ความบันเทิงอยู่ ท่านบรรลุเทพฤทธิ์ มีอานุภาพมาก
ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะ
บุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และ
รัศมีของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทพบุตรนั้นดีใจ ถูกพระโมคคัลลานะถามแล้ว
ครั้นแล้วก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า

ครั้งเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในมนุษยโลก ข้าพเจ้า
ได้รับจ้างเลี้ยงแม่โคของคนเหล่าอื่น ต่อมามีสมณะ
มาหาข้าพเจ้า โคทั้งหลายได้ไปกินถั่วราชมาษ
ข้าพเจ้าต้องกระทำกิจสองอย่างในวันนี้ ท่านเจ้าข้า