เมนู

ปัตติเหตุเกิดเรื่อง ทรงแสดงธรรมโปรดบริษัทที่ประชุมกันอยู่ เทศนา
นั้นได้เกิดประโยชน์แก่มหา ชน ดังนี้แล.
จบอรรถกถาสุวรรณวิมาน

5. อัมพวิมาน


ว่าด้วยอัมพวิมาน


พระมหาโมคคัลลานเถระ

ถามเทพบุตรองค์หนึ่งว่า
[79] วิมานเสาแก้วมณีนี้สูง 12 โยชน์
โดยรอบ มีห้องรโหฐาน 700 ล้วนเสาแก้วไพฑูรย์
ปลาด้วยเครื่องปูลาดที่งดงามโอฬาร ท่านนั่งและ
ดื่มกินในวิมานนั้น และพิณทิพย์ก็บรรลงไพเราะ
มีกามคุณห้ามีรสเป็นทิพย์ และอัปสรเทพนารีที่แต่ง
องค์ด้วยทองฟ้อนรำอยู่ เพราะบุญอะไร ท่านจึงมี
วรรณะเช่นนี้ เพราะบุญอะไร ผลอันนี้จึงสำเร็จแก่
ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.

ฯ ล ฯ
เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่าง
นี้ และรัศมีของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทพบุตรนั้นดีใจ ถูกพระโมคคัลลานะถามแล้ว
ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า

เมื่อพระอาทิตย์กำลังแผดแสงในเดือนท้ายฤดูร้อน
ข้าพเจ้าเป็นคนรับจ้างทำงานของผู้อื่น กำลังรดน้ำสวน
มะม่วงอยู่ ในขณะนั้น ภิกษุที่ปรากฏชื่อว่า สารีบุตร
ลำบากกาย ไม่ลำบากใจ ได้เดินไปทางสวนมะม่วงนั้น
ข้าพเจ้ากำลังรดน้ำต้นมะม่วง ได้เห็นท่านกำลังเดิน
มาจึงได้กล่าวว่า ขอโอกาสเถิดเจ้าข้า กระผมขอให้
ท่านสรงน้ำ ซึ่งจะนำสุขใจมาให้ ท่านพระสารีบุตร
วางบาตรจีวรไว้ เหลือจีวรผืนเดียวนั่งที่ร่มเงาโคนต้น
ไม้ เพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าเป็นคน
มีใจเลื่อมใส เอาน้ำใสมาให้ท่าน ซึ่งมีจีวรผืนเดียว
นั่งที่ร่มเงาโคนต้นไม้สรงน้ำ มะม่วงเราก็รดน้ำแล้ว
สมณะเราก็ให้ท่านสรงนำแล้ว เราขวนขวายบุญแล้ว
มิใช่น้อย บุรุษนั้นมีปีติซาบซ่านไปทั่วกายของตน ด้วย
ประการฉะนี้ ข้าพเจ้าได้ทำกรรมมีประมาณเท่านี้นั้น
เองในชาตินั้น ละร่างมนุษย์แล้วเข้าถึงนันทนวัน
ข้าพเจ้ามีเหล่าเทพอัปสรฟ้อนรำขับร้องห้อมล้อม
รื่นรมย์อยู่ในอุทยานนันทนวันอันน่ารื่นรมย์ ประกอบ
ไปด้วยฝูงสกุณชาตินานาชนิด.

จบอัมพวิมานที่ 5

อรรถกถาอัมพวิมาน


อัมพวิมาน มีคาถาว่า อุจฺจมิทํ มณิถูณํ เป็นต้น. อัมพวิมาน
นั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์
สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์มีบุรุษเข็ญใจคนหนึ่ง รับจ้างเฝ้าสวนมะม่วงของ
คนอื่นแลกภัตตาหาร วันหนึ่ง เขาเห็นท่านพระสารีบุตรมีเหงื่อท่วมตัว
กำลังเดินไปตามทางใกล้ ๆ สวนมะม่วงนั้น ในภูมิประเทศที่ร้อนด้วย
แสงแดด ระอุด้วยทรายร้อน มีข่ายพยับแดดเป็นตัวยิบ ๆ แผ่ไปใน
ฤดูร้อน เกิดความเคารพนับถือมาก เข้าไปหาแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า
ฤดูร้อนนี้ร้อนมาก ปรากฏเหมือนร่างกายลำบากเหลือเกิน ขอโอกาสเถิด
เจ้าข้า ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดไปยังสวนมะม่วงนี้ พักเสียสักครู่หนึ่ง หาย
เหนื่อยในการเดินทางแล้วค่อยไป โปรดอนุเคราะห์เถิด. พระเถระ
ประสงค์จะเพิ่มพูนจิตเลื่อมใสของเขาเป็นพิเศษ จึงเข้าไปยังสวนนั้น นั่ง
ที่โคนมะม่วงต้นหนึ่ง.
บุรุษนั้นกล่าวอีกว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าท่านต้องการจะสรงน้ำ กระผม
จักตักน้ำจากบ่อนี้ให้ท่านสรง และจักถวายน่าดื่มด้วย. พระเถระรับ
นิมนต์ด้วยดุษณีภาพ. เขาตักน้ำจากบ่อเอากรองแล้วให้พระเถระสรง และ
ครั้นให้สรงแล้ว เขาล้างมือเท้าแล้วน้อมน้ำดื่มเข้าถวายแด่พระเถระผู้นั่งอยู่
พระเถระดื่มน้ำดื่มแล้ว ระงับความกระวนกระวายได้แล้วกล่าวอนุโมทนา
ในการถวายน้ำและให้สรงน้ำแก่บุรุษนั้นแล้วหลีกไป. ต่อมา บุรุษนั้นได้
เสวยปีติโสมนัสอย่างโอฬารว่า เราได้ระงับความเร่าร้อนของพระสารี-
บุตรเถระผู้เร่าร้อนยิ่งเพราะฤดูร้อน เราได้ขวนขวายบุญมากหนอ. ภาย