เมนู

ของลิ้ม จึงรื่นรมย์อยู่ในสวรรค์อันเป็นเทวบุรี โดย
อุบายนี้ ข้าพเจ้าได้บูชายัญชื่อนิรัคคฬะ ( มีลิ่มสลัก
อันออกแล้ว เพราะได้บริจาคสมบัติของตนทั้งหมด )
อันบริสุทธิ์ 3 อย่างนี้ ละร่างมนุษย์แล้ว เป็นผู้
เสมอกับพระอินทร์ รื่นรมย์อยู่ในเทวบุรี.

ข้าแต่ท่านพระมุนี บุคคลเมื่อหวังอายุ วรรณะ
สุขะ พละ และรูปอันประณีต พึงตั้งข้าวและน้ำที่
ปรุงแต่งดีแล้วเป็นอันมาก ถวายแด่พระพุทธเจ้าผู้มี
พระทัยไม่ข้องเกี่ยวอะไร ๆ ไม่ว่าในโลกนี้หรือโลก
หน้า ไม่มีผู้ประเสริฐสุดหรือเสมอด้วยพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าถึงแล้วซึ่งความเป็นผู้ควรบูชาอย่างยิ่ง
บรรดาผู้ควรบูชาทั้งหลายสำหรับชนผู้ต้องการบุญ ผู้
แสวงผลอันไพบูล.

จบมหารถวิมาน

อรรถกถามหารถวิมาน


มหารถวิมาน มีคาถาว่า สหสฺสยุตฺตํ หยวาหนํ สุภํ เป็นต้น.
มหารถวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี
สมัยนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะเที่ยวเทวจาริกโดยนัยที่กล่าวแล้วใน
หนหลัง ได้ปรากฏในที่ไม่ไกลเทวบุตรชื่อว่าโคปาละ ในภพดาวดึงส์ ผู้

ออกจากวิมานของตน ขึ้นรถทิพย์คันใหญ่เทียมม้าพันหนึ่ง ไปเล่นอุทยาน
ด้วยบริวารยศใหญ่ ด้วยเทวฤทธิ์ยิ่งใหญ่ เทวบุตรเห็นท่านพระมหา-
โมคคัลลานะแล้วเกิดความเคารพมาก รีบลงจากรถเข้าไปไหว้ด้วยเบญ-
จางคประดิษฐ์ แล้วยืนประคองอัญชลีไว้เหนือเศียร.
เทวบุตรนั้นมีบุพกรรมดังต่อไปนี้. เล่ากันมาว่า เทวบุตรนั้นเป็น
พราหมณ์ชื่อว่าโคปาละ เป็นอาจารย์ของพระราชธิดาผู้เสมือนเทพกัญญา
เธอบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ด้วยพวงดอกไม้ทอง แล้ว
ตั้งความปรารถนาไว้ว่า ขอพวงดอกไม้ประดับอก ที่เป็นทองจงเกิด
แก่ข้าพเจ้าทุก ๆ ภพ ด้วยอานุภาพแห่งบุญนี้ เธอท่องเที่ยวอยู่ในสุคติ-
ภพทั้งหลายนั่นแลหลายกัป ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ
เธอบังเกิดในครรภ์อัครมเหสีของพระเจ้ากาสี พระนามว่ากิกิ ได้นามว่า
อุรัจฉทมาลา เพราะได้พวงดอกไม้ทองตามปรารถนา เทวบุตรได้ถวาย
มหาทานเช่นอสทิสทานเป็นต้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ
พร้อมด้วยสงฆ์สาวก แม้ฟังธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงเฉพาะตน และ
ราชธิดาก็ไม่อาจทำคุณวิเศษให้เกิดได้เพราะอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ตายทั้งที่
เป็นปุถุชนนั่นเอง บังเกิดในวิมานทองร้อยโยชน์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
มีอัปสรหลายโกฏิเป็นบริวาร ด้วยอานุภาพแห่งบุญตามที่สั่งสมไว้ อนึ่ง
รถเทียมม้าอาชาไนยเป็นทิพย์ สำเร็จด้วยรัตนะเจ็ด เทียมม้าพันหนึ่ง
วิจิตรด้วยฝาที่จัดไว้อย่างดี เอิกอึงด้วยเสียงไพเราะนุ่มนวล เหมือน
บุคคลกระหยิ่มอยู่ด้วยการเกิดแห่งรัศมีของตน ดังดวงทิพากร ก็บังเกิด
แก่เทวบุตรนั้น.
เทวบุตรนั้นเสวยทิพยสมบัติในดาวดึงส์นั้นชั่วอายุแล้วท่องเที่ยวไป ๆ

มา ๆ อยู่ในเทวโลกทั้งหลาย แม้ในพุทธุปบาทกาลนี้ ก็บังเกิดเป็น
เทวบุตรนามว่าโคปาละนั่นเอง เสวยสมบัติตามที่กล่าวแล้ว ในสวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์ ด้วยเศษวิบากแห่งกรรมนั้นแหละ ท่านหมายเอาเทวบุตรนั้น
จึงกล่าวว่า เตน จ สมเยน อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ฯ เป ฯ
อญฺชลึ สิรสิ ปคฺคยฺห อฏฺฐาสิ
ดังนี้.
เทวบุตรนั้น เข้าไปหาแล้วยืนอยู่อย่างนี้ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ
จึงถามด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ท่านขึ้นรถม้างดงาม มิใช่น้อยคันนี้ เทียมด้วย
ม้าพันหนึ่ง เข้ามาใกล้พื้นที่อุทยาน รุ่งเรืองดังท้าว
วาสวะ ผู้ให้ทานในก่อน ผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดา
ทูบรถทั้งสองของท่านก็ล้วนแล้วด้วยทองประกอบ
ด้วยแผ่นทองสองข้างสนิทดี มีลูกกรงจัดไว้ได้ระเบียบ
เรียบร้อย เหมือนนายช่างพากเพียรบรรจงจัด โชติ
ช่วงดุจพระจันทร์ในวันเพ็ญ รถคันนี้คลุมด้วยข่าย
ทอง วิจิตรด้วยรัตนะต่าง ๆ เป็นอันมาก เอิกอึงน่า
เพลิดเพลินดี มีรัศมีรุ้งร่วง โชติช่วงด้วยหมู่เทพผู้
ถือพัดจามร อนึ่ง ดุมรถเหล่านี้ประดับตรงกลาง
ระหว่างล้อรถ อันจิตจัดเนรมิต วิจิตรไปด้วยลาย
ร้อยลาย พร่างพรายดังสายฟ้าแลบ รถคันนี้ดาดาษ
ด้วยลวดลายวิจิตรมิใช่น้อย กงใหญ่มีรัศมีตั้งพัน
เสียงของกงเหล่านั้นฟังไพเราะ ดุจดนตรีเครื่องห้าที่

เขาประโคม ที่งอนรถงดงามตกแต่งด้วยดวงจันทร์
แก้วมณี วิจิตร บริสุทธิ์ผุดผ่องทุกเมื่อ ประกอบ
ด้วยลายทองเนียนสนิม โสภิตล้ำลายแก้วไพฑูรย์ ม้า
เหล่านี้ผูกสอดแล้วด้วยดวงจันทร์แก้วมณี สูงใหญ่
ว่องไว อุปมาได้ดังผู้เติบใหญ่มีอำนาจมาก ร่างใหญ่
มีกำลังเร็วมาก รู้ใจของท่าน วิ่งรูปได้รวดเร็วดังใจนึก
ม้าทั้งหมดนี้อดทนก้าวไปด้วยเท้าทั้ง 4 รู้ใจของท่าน
วิ่งไปได้รวดเร็วดังใจนึก เป็นม้าอ่อนโอน ไม่ลำพอง
วิ่งเรียบ ทำใจผู้ขับขี่ให้เบิกบาน เป็นยอดของม้า
ทั้งหลาย ผูกสอดเครื่องประดับที่ทำดีแล้ว บางครั้ง
สะบัดขน บางครั้งก็วิ่งเหยาะย่างไปด้วยเท้า บางครั้ง
ก็เหาะไป เสียงของม้าเหล่านั้น ฟังไพเราะดุจดนตรี
เครื่องห้าที่เขาประโคม เสียงรถ เสียงเครื่องประดับ
เสียงกีบม้า เสียงร้องคำรน และเสียงเทพผู้บรรเลง
ฟังไพเราะดี ดุจดนตรีของคนธรรพ์ในสวนจิตรลดา.

เหล่าอัปสรที่ยืนอยู่บนรถ มีดวงตาอ่อนดังตาลูก
เนื้อทราย มีขนตาดก มีรอยยิ้มจากดวงหน้า พูดจา
น่ารัก. คลุมด้วยข่ายแก้วไพฑูรย์ มีผิวละเอียด อัน
คนธรรพ์และเทวดาผู้เลิศบูชาทุกเมื่อทีเดียว อัปสร
เหล่านั้นนุ่งห่มผ้าแดงและผ้าเหลืองน่ายินดี มีเนตร
ไพศาล มีดวงตาอ่อนน่ารักยิ่ง เป็นผู้ดีมีสกุล มีองค์งาม
สรวลเสียงรส อัปสรทั้งหลายยืนประนมมือเด่นอยู่บน

รถ เธอเหล่านั้นสวมทองต้นแขนแต่งองค์ดี เอวส่วน
กลางงาม มีขาและถันสมบูรณ์ นิ้วมือกลม หน้าสวย
น่าชม อัปสรพวกอื่น ๆ ที่ยืนประนมมือเด่นอยู่บนรถ
มีช้องผมงาม เป็นสาวรุ่น ๆ มีผมสอดแซมด้วยแก้ว
ทับทิมและดอกไม้ จัดลอนผมเรียบร้อย มีประกาย
อัปสรเหล่านั้นมีกิริยาเรียบร้อยมีใจยินดีต่อท่าน เหล่า
อัปสรที่ยืนประนมมือเด่นอยู่บนรถ มีดอกไม้กรองบน
ศีรษะ คลุมด้วยดอกปทุมและดอกอุบล ตกแต่งแล้ว
ลูบไล้ด้วยแก่นจันทร์ อัปสรเหล่านั้นมีกิริยาเรียบร้อย
มีใจยินดีต่อท่าน เหล่าอัปสรที่ยืนประนมมือเด่นอยู่
บนรถเหล่านั้น สวมพวงมาลัย คลุมด้วยดอกปทุม
และดอกอุบล ตกแต่งแล้วลูบไล้ด้วยแก่นจันทน์
อัปสรเหล่านั้นมีกิริยาเรียบร้อย มีใจยินดีต่อท่าน
เหล่าอัปสรที่ยืนประนมมือเด่นอยู่บนรถส่องแสงสว่าง
ไปทั่วสิบทิศ ด้วยเครื่องประดับที่คอ ที่มือ ที่เท้า
และที่ศีรษะ เหมือนดวงอาทิตย์ในสารทกาล กำลัง
อุทัยขึ้นมา ดอกไม้และเครื่องประดับที่แขนทั้งสอง
ไหวพริ้วเพราะแรงลม ก็เปล่งเสียงกังวานไพเราะ
เพราะจับใจ อันวิญญูชนทุกคนพึงฟัง ดูก่อนท่าน
จอมเทพ รถช้างม้าและดนตรีทั้งหลายที่อยู่สองข้าง
พื้นที่อุทยาน ส่งเสียงทำให้ท่านบันเทิงใจ ดุจพิณ
ทั้งหลายมีรางและคันถือที่ปรับไว้เรียบร้อย อันนักดีด

พิณบรรเลงอยู่ ย่อมทำชนผู้ฟังให้บันเทิงฉะนั้น เมื่อ
พิณเป็นอันมากเหล่านี้มีเสียงไพเราะเจริญใจ อัน
อัปสรทั้งหลายบรรเลงอยู่สนิทสนมกลมกลืน ซาบซึ้ง
ตรึงใจ เหล่าเทพกัญญาผู้ชำนาญศิลป์ พากันฟ้อนรำ
ขับร้องอยู่ในดอกปทุมทั้งหลาย เมื่อใดการขับร้อง
การประโคมและการฟ้อนรำเหล่านี้ ผสมผสานเป็น
อันเดียวกัน เมื่อนั้น อัปสรพวกหนึ่งก็ฟ้อนรำอยู่ใน
รถของท่านนี้.

อีกพวกหนึ่งซึ่งเป็นเทพกัญญาชั้นสูง ก็ส่อง
รัศมีอยู่สองข้างในรถของท่านนั้น ท่านอันหมู่
ดนตรีปลุกให้ตื่น บันเทิงใจ อันทวยเทพทั้งหลาย
บูชาอยู่ ดุจท้าวสักกะผู้ทรงวชิราวุธ เมื่อพิณเป็นอัน
มากเหล่านี้ มีเสียงไพเราะเจริญใจ ซาบซึ้งตรึงใจ
อันอัปสรบรรเลงอยู่ เมื่อก่อนท่านทำกรรมอะไรไว้
ด้วยตนเอง ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ท่านได้
รักษาอุโบสถ หรือว่าได้ชอบใจการประพฤติธรรม
และการสมาทานวัตรอะไร นี้คงมิใช่ผลของกรรม
เล็กน้อยที่ท่านทำไว้ หรือฤทธานุภาพอันไพบูลของ
ท่านนี้คงมิใช่วิบากของอุโบสถ ที่ท่านประพฤติดีแล้ว
ในชาติก่อน ๆ ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านรุ่งโรจน์ข่มหมู่เทพ
เป็นนักหนา นี้คงเป็นผลแห่งทานศีล หรืออัญชลีกรรม
ของท่าน ท่านถูกอาตมาถามแล้ว โปรดบอกกรรม
นั้นแก่อาตมาเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สหสฺสยุตฺตํ แปลว่า เทียมด้วยม้า
หลายพัน อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า สหัสสยุตตะ เพราะรถมีม้าพันหนึ่ง
เทียมคือประกอบไว้. ถามว่า จำนวนพันหนึ่งนั้นของอะไร. ใคร ๆ ก็
ย่อมจะรู้เนื้อความกันอย่างนี้ทั้งนั้นว่า ของม้าทั้งหลาย เพราะท่านจะกล่าว
ต่อมาว่า หยวาหนํ. ชื่อว่า หยวาหนะ เพราะรถนั้นมีม้าเป็นพาหนะ
เครื่องนำไป แต่อาจารย์บางพวกพรรณนาเป็นบทสมาสบทเดียวกัน ลบ
นิคหิตเสียว่า สหสฺสยุตฺตหยวาหนํ เนื้อความในฝ่ายนี้ว่า พาหนะ
เหมือนพาหนะม้า ดังนี้ ก็ถูก เนื้อความจริง ๆ ว่า เทียนด้วยพาหนะ
ม้าพันหนึ่ง คือมีพาหนะม้าพันหนึ่งอันเทียมแล้ว แต่อาจารย์อีกพวกหนึ่ง
กล่าวว่า บทว่า สหสฺสยุตฺตํ แปลว่า เทียมด้วยม้าอาชาไนยทิพย์พัน
หนึ่ง. บทว่า สนฺทนํ ได้แก่ รถ. บทว่า เนกจิตฺตํ แปลว่า งาม
มิใช่น้อย คือมีความงามหลายอย่าง. บทว่า อุยฺยานภูมึ อภิโต ได้แก่
ในที่ใกล้พื้นที่อุทยาน. ความจริง บทว่า อุยฺยานภูมึ นี้เป็นทุติยาวิภัตติ
ลงในอรรถแห่งฉัฏฐีวิภัตติ เพราะเพ่งบท อภิโต แต่อาจารย์บางพวก
กล่าวว่า อุยฺยานภูมฺยา ก็มี ท่านเหล่านั้นกล่าวโดยไม่ใคร่ครวญถึงนัย
แห่งศัพท์. บทว่า อนุกฺกมํ ได้แก่ ไปอยู่ เชื่อมความว่า ท่านรุ่งโรจน์
ดังท้าววาสวะผู้ให้ทานในก่อน ผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดา.
บทว่า โสวณฺณมยา แปลว่า ล้วนแล้วด้วยทอง. บทว่า เต
แปลว่า ของท่าน. บทว่า รถกุพฺพรา อุโภ ได้แก่ ไพทีสองข้างของรถ
รั้วใดที่ทำไว้โดยอาการของไพทีที่สองข้างรถ เพื่อความงามของรถ และ
เพื่อคุ้มกันคนที่อยู่บนรถ คือส่วนพิเศษที่ทำไว้สำหรับมือยึด ตลอดงอน
รถทั้งสองข้าง ตอนหน้าของรถนั้น รั้วนั้นแหละ ท่านประสงค์เอาว่า

กุพพระ ในที่นี้ เพราะเหตุนั้นเอง ท่านจึงกล่าวว่า อุโถ แต่ในที่อื่น
งอนรถท่านเรียกว่า กุพพระ. บทว่า ผเลหิ ความว่า ปลายไม้ค้ำรถ
2 ง่าม คือข้างขวาและข้างซ้าย ท่านเรียกว่า ผละในที่นี้. บทว่า อํเสหิ
ได้แก่ ส่วนล่าง ที่ตั้งอยู่บนตัวทูบ. บทว่า อตีว สงฺคตา ได้แก่
ปรับเรียบเหลือเกินคือด้วยดี คือติดกันสนิท ไม่มีช่อง ก็คำนี้ท่านยกเอา
ความวิเศษที่ได้ในรถมีชื่อเสียงซึ่งกวีศิลปินรจนาไว้มากล่าวในที่นั้น แต่
รถคันนั้นไม่มีชื่อเสียงเพราะไม่ใช่ของมนุษย์ เกิดเอง ใคร ๆ พยายามให้
เกิดมิได้. บทว่า สุชาตคุมฺพา ได้แก่ มีลูกกรงจัดไว้เป็นระเบียบเรียบ
ร้อย. จริงอยู่ ลูกกรงเหล่าใดมีส่วนพิเศษมีปุ่มไม้ที่จัดไว้เป็นระเบียบ
เป็นต้น ตั้งอยู่ติด ๆ กับไพที ด้วยอำนาจของลูกกรงเหล่านั้นนั่นแล ท่าน
จึงเรียกว่า สุชาตคุมฺพา. บทว่า นรวีรนิฏฺฐิตา ได้แก่ เหมือนอาจารย์
ศิลปะสร้างเสร็จแล้ว ความจริง พวกอาจารย์ศิลปะ ชื่อว่า มีความเพียร
ในนระทั้งหลาย เพราะไม่คิดถึงความลำบากกายของตน จัดศิลปะด้วยดี
ด้วยกำลังความเพียร เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นรวีร ในที่นี้ อีก
อย่างหนึ่ง คำว่า นรวีร เป็นคำเรียกเทวบุตร. บทว่า นิฏฺฐิตา ได้แก่
ให้เสร็จสิ้นแล้ว คือมีความงามอันดียิ่งบริบูรณ์ อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า
นรวีรนิมฺมิตา ความว่า เหมือนที่คนผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญาในนระทั้งหลาย
เนรมิตไว้ รถของท่านนี้รุ่งโรจน์เพราะมีงอนรถอย่างนี้ รุ่งโรจน์เหมือน
อะไร เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ คือราวกะพระจันทร์ในวันขึ้น 15 ค่ำ
เวลาเต็มดวง.
บทว่า สุวณฺณชาลาวตโต ได้แก่ คลุม คือ ปกปิดด้วยข่ายทอง.
ปาฐะว่า สุวณฺณชาลาวิตโต ดังนี้ก็มี ความว่า เปล่งปลั่ง. บทว่า

พหูหิ ได้แก่ ไม่น้อย. บทว่า นานารตเนหิ ได้แก่ รัตนะหลายอย่าง
มีปัทมราคพลอยสีแดงและบุษราคัมพลอยสีเหลืองเป็นต้น. บทว่า สุนนฺ-
ทีโฆโส
ได้แก่ มีเสียงอึงคะนึงน่าเพลิดเพลินอย่างดี ความว่า มีความ
กังวานไพเราะน่าฟัง. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สุนนฺทิโฆโส ได้แก่ มี
เอิกอึงน่าเพลิดเพลินที่ทำไว้อย่างดี อธิบายว่า เอิกอึงน่าบันเทิงที่ทำด้วย
อำนาจเสียงสาธุการที่เป็นไปในเพราะการดูการฟ้อนรำเป็นต้น อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า มีเสียงเอิกอึงน่าเพลิดเพลินที่ประกอบด้วยดีด้วยอาเศียร-
วาทกล่าวสรรเสริญเยินยอเสมอ ๆ ดังนี้ก็มี. บทว่า สุภสฺสโร ได้แก่
มีสภาพสว่างไสวด้วยดีคืออย่างยิ่ง อีกอย่างหนึ่ง ชื่อ สุภัสสระ เพราะ
เสียงขับร้องและประโคมดนตรีที่ไพเราะ ของเทวดาทั้งหลายที่ดำเนินไป
อยู่ในรถนั้น. บทว่า จามรหตฺถ พาหุภิ ความว่า ย่อมรุ่งโรจน์ด้วย
แขนที่มือถือจามร คือด้วยแขนของเหล่าเทวดาที่มีกำขนหางเนื้อทราย
สะบัดปกไปข้างโน้นข้างนี้ หรือด้วยเทวดาทั้งหลายผู้เป็นอย่างนั้น.
บทว่า นาโภฺย ได้แก่ ดุมล้อรถ. บทว่า มนสาภินิมฺมิตา
ความว่า เหมือนเนรมิตด้วยใจว่า ขอสิ่งเหล่านี้จงเป็นเช่นนี้. บทว่า
รถสฺส ปาทนฺตรมชฺฌภูสิตา ความว่า ประดับด้วยกงปลายของเท้ารถ
คือล้อรถ และด้วยท่ามกลางของชื่อทั้งหลายที่รุ่งโรจน์ด้วยรัตนะต่าง ๆ.
บทว่า สตราชิจิตฺติตา ความว่า งดงาม คือถึงความงดงามด้วยแถวคือ
ลายหลายร้อยหลายสี. บทว่า สเตรตา วิชฺชุริว ความว่า ส่องประกาย
โชติช่วง เหมือนวิชชุลดาคือสายฟ้าแลบ.
บทว่า อเนกจิตฺตาวตโต ความว่า คลุม คือ ดาดาษ ด้วยมาลา
กรรมลายดอกไม้เป็นต้น อันวิจิตรมิใช่น้อย อาจารย์บางพวกกล่าวว่า

อเนกจิตตาวิตโต ดังนี้ก็มี เนื้อความก็อย่างนั้นนั่นแหละ แต่ทำให้ยาว
ออกไปก็เพื่อสะดวกในการผูกคาถา. บทว่า ปุถู จ เนมี จ แปลว่า
กงใหญ่ อักษร จ ตัวหนึ่งเป็นเพียงนิบาต. บทว่า สหสฺสรํสิโก แปลว่า
มีรัศมีหลายพัน บาลีว่า สหสฺสรํสิโย ก็มี แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า
นตา รํสิโย ก็มี. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นตา ได้แก่ ตัวกงรถ
โค้งเหมือนคันธนูไม่มีสาย. บทว่า สหสฺสรํสิโย ได้แก่ มีเปลวรัศมี
แผ่กระจายเหมือนดวงอาทิตย์. บทว่า เตสํ ได้แก่ ตัวกงทั้งหลายมี
กระดิ่งห้อยอยู่.
บทว่า สิรสฺมึ แปลว่า ที่หัว ความว่า งอนรถ หรืองอนที่รถนั้น.
บทว่า จิตฺตํ แปลว่า วิจิตร. บทว่า มณิจนฺทกปฺปิตํ ความว่า แต่ง
เป็นดวงจันทร์แก้วมณี คือ ร้อยด้วยแก้วมณีเหมือนดวงจันทร์ ด้วยบทว่า
รุจิรํ ปภสฺสรํ นี้ ท่านแสดงว่า งอนรถนั้นเหมือนดวงจันทร์ทีเดียว. แต่
ด้วยบทว่า สทา วิสุทฺธํ นี้ แสดงว่า งอนรถนั้นวิเศษกว่าดวงจันทร์
ด้วยซ้ำไป. บทว่า สุวณฺณราชีหิ ได้แก่ ลายทองที่ทรวดทรงกลมใน
ระหว่าง ๆ. บทว่า สงฺคตํ แปลว่า ประกบ. บทว่า เวฬุริยราชีว
ความว่า งามคล้ายลายแก้วไพฑูรย์ เพราะดวงจันทร์แก้วมณีขจิตด้วย
ลายทองในระหว่าง ๆ อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เวฬุริยราชีหิ ลายแก้ว
ไพฑูรย์ ก็มี.
บทว่า วาฬี แปลว่า มีขนหาง. ท่านกล่าวหมายเอาม้าทั้งหลาย
ที่มีขนหางสมบูรณ์ ปาฐะว่า วาชี ก็มี. บทว่า มณิจนฺทกปฺปิตา ได้แก่
แต่งแก้วมณีเป็นรูปดวงจันทร์ ในที่ที่ห้อยขนหางจามร. บทว่า อาโรห-
กมฺพู
แปลว่า ทั้งสูงทั้งใหญ่เหมาะแก่ม้านั้น ความว่า ถึงพร้อมด้วย

ความสูงและความใหญ่. บทว่า สุชวา แปลว่า เร็วดี คือมีความเร็ว
เร็วมาก อธิบายว่า ไปได้สวย. บทว่า พฺรหูปมา ได้แก่ พึงกำหนด
เหมือนใหญ่ ความว่า ปรากฏเหมือนใหญ่โดยขนาดของตน. บทว่า
พฺรหา ได้แก่เจริญ คือมีอวัยวะน้อยใหญ่ทุกอย่างเติบโต. บทว่า มหนฺตา
ได้แก่ มีอานุภาพมาก มีฤทธิ์มาก. บทว่า พลิโน ได้แก่ มีกำลัง
ทั้งกำลังกายและกำลังอุตสาหะ. บทว่า มหาชวา ได้แก่ มีกำลังเร็ว.
บทว่า มโน ตวญฺญาย แปลว่า รู้ใจของท่าน. บทว่า ตเถว ได้แก่
หมายใจทีเดียว. บทว่า สึสเร แปลว่า ไป ความว่า เป็นไป ( วิ่ง ).
ด้วยบทว่า อิเม ท่านกล่าวหมายเอาม้าตามที่กล่าวแล้ว. บทว่า
สพฺเพ ได้แก่ แม้มีจำนวนถึงพัน. บทว่า สหิตา ความว่า พรักพร้อม
ในการไปด้วยความเร็วสม่ำเสมอและเดินสม่ำเสมอ อธิบายว่า ระยะเดิน
ไม่ขาดไม่เกิน ชื่อว่า จตุกฺกมา เพราะก้าวไป คือไปด้วยเท้าทั้งสี่.
บทว่า สมํ วหนฺติ ย่อมทำเนื้อความที่กล่าวด้วยบทว่า สหิตา นั่นแล
ให้ชัดขึ้น. บทว่า มุทุกา แปลว่า มีสภาพอ่อนโยน ความว่า เป็นม้า
ชั้นดี คือม้าอาชาไนย เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อนุทฺธตา ความว่า
เว้นจากความฟุ้งซ่าน คือไม่ทำควานกำเริบ [ คะนอง ]. บทว่า อาโม-
ทมานา
แปลว่า ให้เบิกบาน ความว่า ทำผู้ใช้รถเป็นต้นให้รู้สึกยินดี
กะกันและกัน เพราะไม่ใช่ม้ากระจอก.
บทว่า ธุนนฺติ ความว่า สะบัดพวงขน สร้อยคอและขนหาง.
บทว่า วคฺคนติ ความว่า บางคราวก็ซอยเท้าไป. บทว่า ปวตฺตนฺติ
แปลว่า บางคราวก็เป็นไป ความว่า โดดไป อาจารย์บางพวกกล่าวว่า
ปฺลวนฺติ ก็มี เนื้อความก็อย่างนั้นแหละ. บทว่า อพฺภุทฺธุนนฺตา ความว่า

สะบัดคือสลัดเครื่องประดับม้ามีระฆังเล็ก ๆ เป็นต้น ที่ผู้ชำนาญงานทำ
ไว้ดีแล้ว คือเนรมิตไว้อย่างดี. บทว่า เตสํ ได้แก่ เครื่องประดับ
เหล่านั้น.
บทว่า รถสฺส โฆโส ได้แก่ เสียงกึกก้องของรถตามที่กล่าวแล้ว.
อักษร ในบทว่า อปิลนฺธนาน จ เป็นเพียงนิบาต ความว่า ของ
เครื่องประดับ คืออาภรณ์ทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวว่า บทว่า
อปิลนฺธนํ เป็นปริยายคล้ายอาภรณ์ ความว่า เสียงกึกก้องของรถ ของม้า
และของอาภรณ์ทั้งหลาย. บทว่า ขุรสฺส นาโท ได้แก่ เสียงกีบม้า
กระทบ ท่านกล่าวว่า ม้าทั้งหลายไปทางอากาศก็จริง ถึงกระนั้นก็ย่อม
ได้การกระทบในการเหยาะย่างกีบของม้าเหล่านั้น ด้วยกรรมอันเป็นเหตุ
ให้ได้เสียงกระทบของกีบที่ไพเราะ. บทว่า อภิหึสนาย ได้แก่ เสียงน้ำ
ลำพอง ความว่า เสียงคำรนร้องที่ม้าทั้งหลายให้เป็นไปในระหว่าง ๆ
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อภิเหสนาย เสียงม้าคะนอง. บทว่า สมิตสฺส
ความว่า เสียงของเทวดาที่บันเทิงฟังไพเราะเพราะพริ้ง เพื่อจะตอบคำถาม
ว่า เหมือนอะไร ท่านกล่าวว่า คนฺธพฺพตุริยานิ วิจิตฺตสํวเน ความว่า
เหมือนดนตรีเครื่อง 5 ของเหล่าคนธรรพเทวบุตรในสวนจิตรลดา ก็
เสียงที่อาศัยดนตรี ท่านกล่าวว่า ตุริยานิ โดยนิสสยโวหาร. ปาฐะว่า
คนฺธพฺพตุริยานํ จ วิจิตฺตสํวเน ดังนี้ก็มี. ท่านนำนิคหิตมาประกอบ
เป็น ตุริยานญฺจ อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า คนฺธพฺพตุริยานิ วิจิตฺร-
ปวเน
ดนตรีของคนธรรพ์ ในสวนจิตรลดา.
บทว่า รเถ ฐิตา ตา ได้แก่ อัปสรที่ยืนอยู่บนรถเหล่านั้น. บทว่า
มิคมนฺทโลจนา ได้แก่ มีดวงตาอ่อนน่ารักเหมือนตาของลูกเนื้อทราย.

บทว่า อาฬารปมฺหา แปลว่า มีขนตาดก ความว่า มีขนตาเหมือนโค.
บทว่า หสิตา แปลว่า ร่าเริง ความว่า มีหน้าชวนให้รื่นเริง. บทว่า
ปิยํวทา แปลว่า มีวาจาน่ารัก. บทว่า เวฬุริยชาลาวตตา ได้แก่ มี
ร่างปกปิดด้วยข่ายแก้วไพฑูรย์และแก้วมณี. บทว่า ตนุจฺนิวา แปลว่า
มีผิวพรรณละเอียด. บทว่า สเทว แปลว่า ทุกเมื่อทีเดียว คือตลอดกาล
ทั้งปวงนั่นแหละ. บทว่า คนฺธพฺพสูรคฺคปูชิตา ความว่า อันเทวดา
คนธรรพ์และเทวดาผู้เลิศอื่น ๆ ได้บูชาแล้ว.
บทว่า ตา รตฺตรตฺตมฺพรปีตวาสสา ได้แก่ มีรูปน่ารักด้วย มี
ผ้าแดงและผ้าเหลืองด้วย. บทว่า อภิรตฺตโลจนา ได้แก่ มีนัยน์ตางาม
ซึ้งด้วยแนวสีแดงเป็นพิเศษ. บทว่า กุเล สุชาตา ได้แก่ เกิดดีใน
ตระกูลสินธพ คือเกิดในหมู่เทพผู้ประเสริฐ. บทว่า สุตนู แปลว่า มี
ร่างงาม. บทว่า สุจิมฺหิตา แปลว่า ยิ้มแย้มอย่างบริสุทธิ์.
บทว่า ตา กมฺพุเกยูรธรา ได้แก่ สวนกำไลแขนล้วนแล้วด้วยทอง.
บทว่า สุมชฺฌิมา แปลว่า มีเอวน่ารัก. บทว่า อูรุถนูปปนฺนา แปลว่า
มีลำขาและถันสมบูรณ์ คือมีขาเหมือนต้นกล้วยและมีถันเหมือนผอบ.
บทว่า วฏฺฏงฺคุลิโย ได้แก่ นิ้วมือกลมกลึง. บทว่า สุมุขา แปลว่า
มีหน้างาม หรือมีหน้าเบิกบาน. บทว่า สุทสฺสนา แปลว่า น่าทัศนา
[ ชม ] . บทว่า อญฺญา ได้แก่ บางเหล่า. บทว่า สุเวณี แปลว่า
มีช้องผมงาม. บทว่า สุสุ แปลว่า สาวรุ่น. บทว่า มิสฺสเกสิโย ได้แก่
มีมวยผมสอดแซมด้วยแก้วทับทิมและพวงดอกไม้เป็นต้น คืออย่างไร
คือที่จัดไว้เรียบร้อยและมีประกายพรายพราว.
ประกอบความว่า มีผมสอดแซมด้วยเกลียวผม โดยจัดเป็นแบบ

ต่าง ๆ เท่า ๆ กัน เหมือน ๆ กัน ประดับด้วยใยไม้ทองเป็นต้น
มีประกายพรายพราวดังดอกอินทนิลและแก้วมณีเป็นต้น. บทว่า อนุพฺ-
พตา
ได้แก่ มีกิริยาอนุกูล. บทว่า ตา ได้แก่ เหล่าอัปสร.
บทว่า จนฺทนสารวาสิตา ได้แก่ ไล้ทา คือลูบไล้ ด้วยจันทน์ทิพย์
ที่นำมาจากแก่นจันทน์ ด้วยบทว่า กณฺเฐสุ เป็นต้น ท่านแสดงถึง
เครื่องประดับสำหรับคอ สำหรับมือ สำหรับเท้า และสำหรับศีรษะเป็นต้น.
บทว่า โอภาสนนฺติ ประกอบความว่า ย่อมสว่างไสวไปด้วยเครื่องประดับ
ที่คอทั้งหลายเหล่านั้น แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนี้. บทว่า อพฺภุทฺทยํ
แปลว่า กำลังอุทัยขึ้นไป. ปาฐะว่า อพฺภุทฺทสํ ก็มี เนื้อความก็เหมือน
กันอย่างนั้นแหละ. บทว่า สารทิโก แปลว่า ในสรทกาล. บทว่า
ภาณุมา แปลว่า พระอาทิตย์ ความจริง พระอาทิตย์นั้น ย่อมสว่าง
ด้วยดีตลอดทั้งสิบทิศ เพราะเว้นโทษมีหมอกเป็นต้น.
บทว่า วาตสฺส เวเคน จ ความว่า อันกำลังของลมและกำลัง
ของม้าเทียมรถ การทำการนำกลิ่นและเสียงเป็นที่พอใจเข้ามา กระพือ
พัดเหมือนนำออกไป. บทว่า มุญฺจนฺติ ได้แก่ ปล่อย [ กลิ่น ]. บทว่า
รุจิรํ ได้แก่ ให้ความชอบใจยิ่ง ๆ ขึ้น เหมือนดนตรีเครื่อง 5. บทว่า
สุจึ ได้แก่ หมดจด ไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง. บทว่า สุภํ ได้แก่ เป็นที่
พอใจ. บทว่า สพฺเพหิ วิญฺญูหิ สุตพฺพรูปํ ประกอบความว่า ย่อม
เปล่งเสียงที่มีสภาพสูงสุด น่าฟัง อันวิญญูชนที่รู้ลัทธิคนธรรพ์ [ วิชา
ดนตรี พึงฟัง.
บทว่า อุยฺยานภูมฺยา แปลว่า เนื้อที่อุทยาน. บทว่า ทุวทฺธโต
ได้แก่ กึ่งทั้งสองข้างอุทยาน อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ทุภโต จ ฐิตา

ดังนี้ก็มี เนื้อความก็อย่างนั้นแหละ. บทว่า รถา แปลว่า รถ. บทว่า
นาคา แปลว่า ช้าง บทนี้เป็นปฐมาวิภัตติลงในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ.
บทว่า สโร ได้แก่ เสียงที่อาศัย [ ซึ่ง ] รถ ช้าง และดนตรีเกิด.
ท่านเรียกเทวบุตรว่า เทวินทะ. บทว่า วีณา ยถา โปกฺขรปตฺตพาหุภิ
ความว่า เหมือนพิณที่นักดนตรีถือรางและคันพิณที่ปรับไว้อย่างดีแล้ว
กำหนดให้เหมาะแก่มุจฉนา [ ระดับเสียง 3 คือ แข็งอ่อนปานกลาง ]
ที่จะเปล่งเสียงนั้น ๆ บรรเลงอยู่ ย่อมทำชนผู้พึงให้บันเทิง ฉันใด รถ
เป็นต้นย่อมยังท่านให้บันเทิงด้วยเสียงของตน ฉันนั้น อธิบายว่า พิณที่
บรรเลงด้วยมือทั้งสองของนักบรรเลงพิณ ที่ชำนาญช่องพิณและเสียงพิณ
เพราะตนชำนาญดีแล้ว ย่อมทำมหาชนให้บันเทิง ฉันใด รถเป็นต้น
ย่อมทำให้ท่านบันเทิงด้วยเสียงของตน ฉันนั้น.
คาถาว่า อิมาสุ วีณาสุ มีความย่อดังต่อไปนี้ เมื่อพิณเป็นอันมาก
เหล่านี้ ต่างโดยเสียงเป็นต้นว่า เสียงตรง เสียงปลา เสียงคด เสียงเพลิด
เพลินมาก ชื่อว่า ไพเราะ เพราะมีเสียงหวานสนิท จากนั้น อัปสรได้
บรรเลงคือประโคมอย่างจับใจ ถึงใจ ติดใจ อิ่มใจ มีปีติเป็นนิมิต เหล่า
อัปสร คือสาวสวรรค์พากันร่ายรำ คือเที่ยวแสดงการฟ้อนรำอยู่ในดอก
ปทุมทิพย์ทั้งหลาย เพราะกำลังแห่งปีติพลุ่งขึ้น และเพราะคนชำนาญ
ดีแล้ว.
บทว่า อิมานิ นี้ พึงประกอบเฉพาะบทว่า อิมานิ คีตานิ การ
ขับร้องเหล่านี้ อิมานิ วาทิตานิ การบรรเลงเหล่านี้ อิมานิ นจฺจานิ
การฟ้อนรำเหล่านั้น ดังนี้. บทว่า สเมนฺติ เอกโต ความว่า ย่อม
มีรสกลมกลืนกัน. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สเมนฺติ เอกโต ความว่า

ย่อมกระทำให้ผสมผสานเป็นอันเดียวกัน คือรวมกัน ให้มีรสกลมกลืนกัน
อธิบายว่า เทียบเสียงพิณกับเสียงขับร้อง และเทียบเสียงขับร้องกับเสียง
พิณ ไม่ลดรสมีรสหรรษาเป็นต้น ตามที่ได้แล้วด้วยการฟ้อนรำ ชื่อว่า
ย่อมผสมผสานกลมกลืนกัน. บทว่า อเถตฺถ นจฺจนฺติ อเถตฺถ อจฺฉรา
โอภาสยนฺติ
ความว่า อัปสรเหล่าอื่น บางพวกก็กระทำการขับร้อง
เป็นต้น ให้มีรสเหมาะกันอย่างนี้ ฟ้อนรำอยู่ในรถนี้ คือรถของท่านนี้
อีกพวกหนึ่ง เป็นอัปสรชั้นประเสริฐ เป็นอัปสรชั้นสูงสุด ชมการ
ฟ้อนรำ ทำสิบทิศให้สว่างไสว คือให้โชติช่วงไปสิ้น ทั้งสองส่วน คือ
ในทั้งสองข้าง ในนั้น คือในที่นี้ ด้วยแสงสว่างแห่งเรือนร่างของตน
และด้วยแสงสว่างแห่งพัสตราภรณ์.
บทว่า โส ได้แก่ ท่านนั้นเป็นอย่างนั้น. บทว่า ตุริยคณปฺป-
โพธโน
ได้แก่ อันหมู่ทิพยดนตรีปลุกปลื้มแล้ว. บทว่า มหียฺยมาโน
แปลว่า อันทวยเทพบูชาอยู่. บทว่า วชิราวุโธริว แปลว่า ราวกะ
พระอินทร์.
บทว่า อุโปสถํ กํ วา ตุวํ อุปาวสิ ความว่า พระมหาโมค-
คัลลานเถระถามว่า แม้คนอื่น ๆ ก็รักษาอุโบสถกัน ท่านเล่ารักษา
อุโบสถอะไร คือเช่นไร. บทว่า ธมฺมจริยํ ได้แก่ บำเพ็ญบุญมีให้ทาน
เป็นต้น. บทว่า วตํ ได้แก่ สมาทานวัต. บทว่า อภิโรจยิ แปลว่า
ชอบใจยิ่ง ความว่า ชอบใจบำเพ็ญ ปาฐะว่า อภิราธยิ ก็มี ความว่า
ให้เกิดประโยชน์ คือให้สำเร็จประโยชน์.
บทว่า อิทํ เป็นเพียงนิบาต อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า ผลนี้.
บทว่า อภิโรจเส แปลว่า โชติช่วงข่ม.

เทวบุตรนั้นถูกพระมหาเถระถามอย่างนี้แล้ว ได้บอกเนื้อความนั้น
เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า
เทวบุตรนั้นดีใจ ลูกพระโมคคัลลานะถามแล้ว
ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า

ข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ชนะอินทรีย์แล้ว
มีความเพียรไม่ทราม ผู้สูงสุดแห่งนระทั้งหลาย
ทรงพระนามว่า กัสสปะ เป็นอัครบุคคล ผู้เปิด
ประตูแห่งอมตนคร ผู้เป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดา ผู้
มีบุญลักษณะตั้งร้อย ผู้เป็นเช่นกับกุญชร ผู้ข้าม
โอฆะได้แล้ว ผู้มีพระรูปงามเช่นกับทองสิงคีและ
ทองชมพูนุท ครั้นได้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แล้ว ข้าพเจ้าก็มีใจเลื่อมใสทันที ข้าพเจ้าได้เห็น
พระองค์ผู้มีสุภาษิตเป็นธง ได้ถวายข้าวและน้ำอัน
สะอาด ประณีต ประกอบด้วยรส และจีวรใน
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ในที่อยู่ของตนอัน
เกลื่อนกล่นไปด้วยดอกไม้ ข้าพเจ้านั้นมีใจไม่ข้อง
ในอะไร ๆ ได้อังคาส [ เลี้ยงดู ] พระพุทธเจ้า
พระองค์นั้น ผู้สูงสุดกว่าเหล่าสัตว์สองเท้า ด้วยข้าว
น้ำ จีวร ของเคี้ยว ของบริโภค และของลิ้ม จึง
รื่นรมย์อยู่ในสวรรค์อันเป็นเทวบุรี โดยอุบายนี้
ข้าพเจ้าได้บูชายัญ ชื่อนิรัคคฬะ (มีลิ่มสลักอัน

ออกแล้ว เพราะได้บริจาคสมบัติของตนทั้งหมด)
อันบริสุทธิ์ 3 อย่างนี้ ละร่างมนุษย์แล้ว เป็นผู้
เสมอกับพระอินทร์ รื่นรมย์อยู่ในเทวบุรี ข้าแต่
ท่านพระมุนี บุคคลเมื่อหวังอายุ วรรณะ สุขะ พละ
และรูปอันประณีต พึงตั้งข้าวและน้ำที่ปรุงแต่งดีแล้ว
เป็นอันมากถวาย แด่พระพุทธเจ้าผู้มีพระทัยไม่ข้อง
เกี่ยวอะไร ๆ ไม่ว่าในโลกนี้หรือโลกหน้า ไม่มีผู้
ประเสริฐสุดหรือเสมอด้วยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า
ถึงแล้วซึ่งความเป็นผู้ควรบูชาอย่างยิ่ง บรรดาผู้ควร
บูชาทั้งหลาย สำหรับชนผู้ต้องการบุญ ผู้แสวงผล
อันไพบูล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชิตินฺทฺริยํ ความว่า ชื่อว่า มีอินทรีย์
อันชนะแล้ว เพราะทรงชนะอินทรีย์มีใจเป็นที่หกด้วยมรรคอันยอดเยี่ยม
ที่โคนโพธินั่นแล คือทรงทำให้หมดพยศแล้ว ชื่อว่า พุทธะ เพราะ
ตรัสรู้ธรรมที่ควรรู้ยิ่งเป็นต้น โดยความเป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่ง เป็นต้น
ไม่เหลือเลย ชื่อว่า มีความเพียรไม่ทราม เพราะมีความเพียรบริบูรณ์
อธิบายว่า เพราะบริบูรณ์ด้วยความเพียรอันประกอบด้วยองค์ 4 (ความ
เพียรมีองค์ 4 คือยอมเหลือแต่หนัง 1 เอ็น 1 กระดูก 1 เนื้อเลือดจะ
แห้งไปก็ตาม 1 ) และด้วยความเพียรชอบ 4 [ เพียร 4 คือ สังวรปธาน
ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขนาปธาน]. บทว่า นรุตฺตมํ ได้แก่
สูงสุดแห่งนระทั้งหลาย คือสูงสุดแห่งสัตว์สองเท้า ท่านเรียกพระผู้มี-

พระภาคเจ้าด้วยพระโคตรว่า กัสสปะ. บทว่า อปาปุรนฺตํ อมตสฺส
ทฺวารํ
ความว่า ทรงเปิดอริยมรรค คือประตูมหานครนิพพาน ที่ปิด
มาตั้งแต่ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามโกนาคมนะอันตรธาน.
บทว่า เทวาติเทวํ ได้แก่ เป็นเทพยิ่งกว่าเทพแม้ทั้งปวง. บทว่า
สตปุญฺญลกฺขณํ ได้แก่ มีลักษณะมหาบุรุษเกิดขึ้นด้วยอำนาจบุญหลาย
ร้อย.
บทว่า กุญฺชรํ ได้แก่ เหมือนช้าง เพราะย่ำยีข้าศึกคือกิเลส ความว่า
ช้างยิ่งใหญ่. ชื่อว่า ข้ามโอฆะได้แล้ว เพราะข้ามโอฆะใหญ่คือสังสารวัฏ
แห่งโอฆะทั้ง 4. บทว่า สุวณฺณสิงฺคีนทพิมฺพสาทิสํ ได้แก่ เช่นกับ
รูปทองสิงดีและทองชมพูนุท ความว่า มีพระฉวีวรรณเปล่งปลั่งดังทอง.
บทว่า ทิสฺวาน ตํ ขิปฺปมหุํ สุจีมโน ความว่า ข้าพเจ้าเห็นพระกัสสป-
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทันทีทันใดนั้นเอง ก็มีใจสะอาด คือมีใจ
หมดจด เพราะปราศจากมลทินคือกิเลส เหตุเลื่อมใสว่า สมฺมาสมฺพุทฺโธ
ภควา
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ ดังนี้. ก็บทว่า ตเมว
ทิสฺวาน
นั้นแล ความว่า ครั้นได้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นนั่นเทียว.
บทว่า สุภาสิตทฺธชํ ได้แก่ ผู้มีธรรมเป็นธง.
บทว่า ตมนฺนปานํ ได้แก่ ซึ่งข้าวและน้ำ ในพระผู้มีพระภาค-
เจ้าพระองค์นั้น. บทว่า อถ วาปิ จีวรํ ได้แก่ แม้ซึ่งจีวร. บทว่า
รสสา อุเปตํ ได้แก่ ประกอบด้วยรส คือมีรสอร่อย ความว่า โอฬาร
[ประณีต ]. บทว่า ปุปฺผาภิกิณฺณมฺหิ ได้แก่ เกลื่อนกล่นไปด้วย
ดอกไม้ทั้งหลาย ที่ร้อยแล้วก็มี ที่ไม่ได้ร้อยก็มี ห้อยไว้ก็มี ลาดไว้ก็มี.
บทว่า ปติฏฺฐเปสิ ได้แก่ มอบให้แล้ว คือได้ถวายแล้ว. บทว่า

อสงฺคมานโส ประกอบความว่า ข้าพเจ้านั้นมีจิตไม่ข้องในอะไร ๆ.
บทว่า สคฺคโส ได้แก่ ทุก ๆ สรรค์ เพราะเกิดเที่ยวไปเที่ยวมา
ในเทวบุรี คือในสุทัศนมหานคร แม้นั่นเอง. บทว่า รมามิ ได้แก่
เล่นบันเทิงใจ.
บทว่า เอเตนุปาเยน ความว่า โดยอุบายที่ข้าพเจ้าได้ถวายอส-
ทิสทานแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสปะ พร้อมด้วยหมู่พระ-
สาวก ครั้งเป็นโคปาลพราหมณ์. บทว่า อิมํ นิรคฺคฬํ ยญฺญํ ยชิตฺวา
ติวิธํ วิสุทฺธํ
ความว่า บูชายัญ เพราะจาคะใหญ่ เหตุบริจาคทรัพย์นับ
ไม่ได้ คือ ถวายมหาทาน ชื่อว่า นิรัคคฬะ มีลิ่มสลักออกแล้ว เพราะ
ไม่ปิดประตูเรือนด้วย เพราะหลั่งจาคะด้วย ชื่อว่า สามอย่าง เพราะถึง
พร้อมด้วยวิธีกระทำเอง วิธีใช้ให้เขากระทำ และวิธีระลึกถึง ตามทวาร
สาม ในกาลแม้ทั้งสาม ชื่อว่า บริสุทธิ์ เพราะไม่มีสังกิเลสในทานนั้น
เลย ก็เทวบุตรถือเอาทานแม้ทำไว้นานแล้วนั้น ทำให้ปรากฏ ใกล้ชิด
ผุดขึ้นชัดแกตน ด้วยระลึกถึงในระหว่าง ๆ เพราะความที่สัมปทา คือ
เขต [ทักขิไณย ] วัตถุ [ ไทยธรรม ] และจิต [เจตนา] โอฬาร
จึงกล่าวว่า อิมํ ดังนี้.
เทวบุตรครั้นกล่าวถึงกรรมที่ตนทำไว้แล้วแก่พระเถระอย่างนี้แล้ว
บัดนี้ เมื่อประกาศความที่ตนปรารถนาจะให้ผู้อื่นตั้งอยู่ในสมบัติเช่นนั้น
บ้าง และความเลื่อมใสมากของตนมีอย่างสูงสุดในพระตถาคต จึงกล่าว
สองคาถาด้วยนัยว่า อายุญฺจ วณฺณญฺจ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อภิกงฺขตา แปลว่า เมื่อปรารถนา เทวบุตรเรียกพระเถระว่า
มุนี ข้าแต่ท่านพระมุนี.

ด้วยบทว่า นยิมสฺมึ โลเก เทวบุตรกล่าวโลกที่ประจักษ์แก่ตน.
บทว่า ปรสฺมึ แปลว่า อื่นจากโลกนั้น. ด้วยบทนี้ ท่านแสดงโลก
พร้อมทั้งเทวโลกไว้หมด. บทว่า สโมว วิชฺชติ ความว่า คนที่
ประเสริฐสุด จงยกไว้ก่อน คนที่เสมอกันเท่านั้น ก็ไม่มี. บทว่า
อาหุเนยฺยานํ ปรมาหุตึ คโต ความว่า ชื่อว่า ผู้ที่ควรบูชาทั้งหลาย
มีประมาณเท่าใดในโลกนี้ พระพุทธเจ้าทรงถึงแล้วซึ่งการบูชาอย่างยิ่ง
คือซึ่งความเป็นผู้ควรบูชาอย่างยิ่ง ในบรรดาผู้ควรบูชาเหล่านั้นทั้งหมด
อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า ทกฺขิเณยฺยานํ ปรมคฺคตํ คโต ดังนี้. บรรดา
บทเหล่านั้น บทว่า ปรมคฺคตํ แปลว่า ความเป็นผู้เลิศอย่างยิ่ง ความ
ว่า ความเป็นพระทักขิไณยบุคคลผู้เลิศ เพื่อจะแก้ปัญหาว่า สำหรับใคร
ท่านจึงกล่าวว่า สำหรับชนผู้ต้องการบุญ ผู้แสวงผลอันไพบูลย์ ความว่า
สำหรับชนผู้มีความต้องการด้วยบุญ ผู้ปรารถนาผลแห่งบุญอันไพบูลย์
อย่างใหญ่ ท่านแสดงว่า พระตถาคตเท่านั้นเป็นบุญเขตของโลก แต่
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อาหุเนยฺยานํ ปรมคฺคตํ คโต เนื้อความก็
อย่างนั้นแหละ.
พระเถระรู้ว่า เทวบุตรนั้นซึ่งกำลังกล่าวอยู่อย่างนั้นแล มีจิตสบาย
มีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตรื่นเริง และมีจิตเลื่อมใส จึงได้
ประกาศสัจจะทั้งหลาย เวลาจบสัจจะ เทวบุตรนั้นก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
ลำดับนั้น พระเถระกลับมามนุษยโลก ได้กราบทูลความนั้นแด่พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ตามทำนองที่ตนและเทวบุตรกล่าวแล้วนั่นแล พระศาสดา

ทรงทำความนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง ทรงแสดงธรรมแก่บริษัท
ที่ประชุมกัน เทศนานั้นได้เป็นประโยชน์แก่มหาชน แล.
จบอรรถกถามหารถวิมาน
กถาพรรณนาความแห่งมหารถวรรคที่ 5 ซึ่งประดับด้วยเรื่อง
14 เรื่อง ในวิมานวัตถุแห่งอรรถกถาขุททกนิกาย ชื่อ ปรมัตถทีปนี
จบแล้วด้วยประการฉะนี้.

ปายาสิกวรรคที่ 6


1. ปฐมอคาริยวิมาน


ว่าด้วยอคาริยวิมานที่ 1


พระมหาโมคคัลลานเถระ

ได้ถามเทพบุตรองค์หนึ่งว่า
[65] สวนจิตรลดาวันเป็นวนะประเสริฐสูงสุด
ของทวยเทพชั้นไตรทศ ส่องแสงสว่างไสว ฉันใด
วิมานของท่านนี้ก็มีอุปมาฉันนั้น ส่องแสงสว่างไสว
อยู่ในอากาศ ท่านบรรลุเทวฤทธิ์มีอานุภาพมาก
ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ท่านได้ทำบุญอะไรว่า เพราะ
บุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และ
ส่องแสงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทพบุตรนั้น ถูกพระโมคคัลลานเถระถามแล้ว
ดีใจ ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมมีผลอย่างนี้ว่า

ในมนุษยโลก ข้าพเจ้าและภรรยา อยู่ครอง
เรือน เป็นดุจอู่ข้าวอู่น้ำ มีจิตเลื่อมใส ได้บริจาค
ข้าวและน้ำอย่างไพบูลโดยเคารพ เพราะบุญนั้น
ข้าพเจ้าจึงมีวรรณะเช่นนี้ ฯ ล ฯ และวรรณะของ
ข้าพเจ้าจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

จบปฐมอคาริยวิมาน