เมนู

อย่างไร พวกเราจะประพฤติกุศลอะไร พวกเรานั้น
ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว พึงปฏิบัติมนุษยธรรม มีศีล
กันอยู่อีกทีเดียว พระศาสดาทรงมีอุปการะมาก ทรง
อนุเคราะห์อย่างนี้ เมื่อข้าพระองค์ถูกโจรฆ่าชิงทรัพย์
ยังกลางวันแสก ๆ อยู่เลย ข้าพระองค์นั้น เป็นผู้
เข้าถึงพระผู้มีพระนามอันเป็นสัจจะ ขอพระองค์
โปรดอนุเคราะห์เถิด พวกข้าพระองค์ทั้งหลายขอฟัง
ธรรมอีก ชนเหล่าใดในศาสนานี้ละกามราคะอนุสัย
คือภวราคะ และโมหะ ละได้ขาด ซนเหล่านั้น
ย่อมไม่ต้องนอนในครรภ์ คือเกิดอีก เพราะถึง
ปรินิพพานดับทุกข์ เย็นสนิทแล้ว.

จบอัตตมาณวกวิมาน

อรรถกถาอัตตมาณวกวิมาน


ฉัตตมาณวกวิมาน มีคาถาว่า โย วทตํ ปวโร มนุเชสุ เป็นต้น.
ฉัตตมาณวกวิมาณเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี
สมัยนั้น มีมาณพพราหมณ์ชื่อฉัตตะ เป็นบุตรที่ได้มาโดยยาก ของพราหมณ์
คนหนึ่ง ในเสตัพยนคร มาณพนั้นเจริญวัยแล้ว บิดาส่งไปอุกกัฏฐนคร

เรียนมนต์และฐานวิชาทั้งหลายในสำนักของพราหมณ์ชื่อโปกขรสาติ ไม่
นานนักก็สำเร็จการศึกษาในศิลปพราหมณ์ เพราะเป็นคนมีปัญญาและไม่
เกียจคร้าน เขากล่าวกะอาจารย์ว่า กระผมศึกษาศิลปะในสำนักของท่าน
อาจารย์แล้ว กระผมจะให้ทักษิณาค่าบูชาครูแก่ท่านอาจารย์อย่างไร อาจารย์
กล่าวว่า ธรรมดาทักษิณาค่าบูชาครู ต้องพอเหมาะแก่ทรัพย์สมบัติของ
อันเตวาสิก เธอจงนำกหาปณะมาพันหนึ่ง ฉัตตมาณพกราบอาจารย์กลับ
ไปเสตัพยนคร ไหว้บิดามารดา บิดามารดาก็ชื่นชมยินดีกระทำปฏิสันถาร
ต้อนรับ เขาบอกความนั้นแก่บิดา กล่าวว่า โปรดให้ของที่ควรจะให้แก่
ฉันเถิด ฉันจักให้ค่าบูชาครูในวันนี้แหละแล้วจักกลับมา บิดามารดา
กล่าวกะเขาว่า ลูก วันนี้ค่ำแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไป แล้วนำกหาปณะทั้งหลาย
ออกมาผูกเป็นห่อแล้ววางไว้.
พวกโจรรู้เรื่องนั้น แอบอยู่ในป่าชัฏแห่งหนึ่ง ในทางที่ฉัตตมาณพ
จะไป ด้วยคิดว่า จักฆ่ามาณพแล้วชิงเอากหาปณะทั้งหลายเสีย.
เวลาใกล้รุ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากมหากรุณาสมาบัติ
ทรงตรวจดูโลกอยู่ ทรงเห็นว่า ฉัตตมาณพจะดำรงอยู่ในสรณะและศีล
เขาจักถูกพวกโจรฆ่าตายไปบังเกิดในเทวโลก มาจากเทวโลกกับวิมาน
และบริษัทที่ประชุมกันในที่นั้นจะตรัสรู้ธรรม จึงเสด็จไปก่อนประทับนั่ง
ณ โคนค้นไม้แห่งหนึ่ง ในทางเดินของมาณพ มาณพถือเอาทรัพย์ค่าบูชา
อาจารย์ ไปจากเสตัพยนคร มุ่งหน้าไปอุกกัฏฐนคร เห็นพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าประทับนั่งอยู่ในระหว่างทาง จึงเข้าไปเฝ้ายืนอยู่ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสว่า เธอจักไปไหน กราบทูลว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม
ข้าพระองค์จักไปอุกกัฏฐนคร เพื่อให้ทักษิณาค่าบูชาครู แก่โปกขรสาติ

พราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ของข้าพระองค์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ว่า มาณพ เธอรู้สรณะ 3 และศีล 5 หรือ เมื่อมาณพกราบทูลว่า
ข้าพระองค์ไม่รู้สรณะ 3 และศีล 5 เหล่านั้นว่ามีและเป็นเช่นไร ทรง
ประกาศผลานิสงส์ของการถึงสรณะและการสมาทานศีล 5 ว่า นี้เป็นเช่นนี้
แล้วตรัสว่า มาณพ เธอจงเรียนวิธีถึงสรณะก่อน มาณพทูลขอว่า สาธุ
ข้าพระองค์จักเรียน ขอพระองค์โปรดตรัสบอกเถิด พระเจ้าข้า เมื่อทรง
แสดงวิธีถึงสรณะโดยประพันธ์เป็นคาถา สมควรแก่อัธยาศัยของมาณพนั้น
ได้ตรัสคาถา 3 คาถาว่า
บรรดาผู้กล่าวสอนอยู่ [ ศาสดา ] ผู้ใดเป็นผู้
ประเสริฐในมนุษย์ เป็นศากยมุนี เป็นภควา ผู้ทำกิจ
เสร็จแล้ว ถึงฝั่งแล้ว พรั่งพร้อมด้วยพละและวิริยะ
เธอจงเข้าถึงผู้นั้น ผู้เป็นสุคต เป็นสรณะ เธอจงเข้า
ถึงพระธรรมที่สำรอกราคะ ไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก
เป็นอสังขตธรรม ไม่ปฏิกูล ไพเราะ ซื่อตรง จำแนก
ไว้ดีนี้ เป็นสรณะ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวทานที่ถวาย
ในท่านเหล่าใดว่ามีผลมาก ท่านเหล่านั้น คือ อริย-
บุคคลสี่คู่ เป็นบุคคลแปด ผู้แสดงธรรม เธอจงเข้า
ถึงพระสงฆ์นี้ เป็นสรณะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โย เป็นคำไม่กำหนดแน่. ด้วยบทว่า ตํ
นี้ พึงทราบกำหนดแน่ ของบทนั้น. บทว่า วทตํ แปลว่า ผู้กล่าวอยู่.
บทว่า ปวโร แปลว่า ประเสริฐ อธิบายว่า สูงสุดของผู้กล่าวทั้งหลาย

คือประเสริฐในหมู่นักพูด. บทว่า มนุเชสุ เป็นการแสดงไขอย่างอุกฤษฏ์
เหมือนบทว่า สตฺถา เทวมนุสฺสานํ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ประเสริฐ
ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายบ้าง ของพรหมทั้งหลายบ้าง ของเหล่าสัตว์
ทั้งปวงบ้าง. อนึ่ง บทว่า มนุเชสุ ท่านกล่าวเพราะความที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเสด็จอุบัติในหมู่มนุษย์ในภพก่อน เพราะเหตุนั้นแหละ ท่านจึง
กล่าวว่า สกฺยมุนี. บทว่า สกฺยมุนี ความว่า ชื่อว่า สักยะ เพราะเป็น
โอรสของราชตระกูลสักยะ ชื่อว่า มุนี เพราะประกอบด้วยกายโมเนยย
( ความนิ่งทางกาย ) เป็นต้น และเพราะรู้ไญยธรรมหมดสิ้นไม่เหลือเลย
เหตุนั้นจึงชื่อว่า ศากยมุนี. ชื่อว่า ภควา เพราะเหตุ 4 ประการ
มีความเป็นผู้มีภาคยะเป็นต้น ชื่อว่า ทำกิจเสร็จแล้ว เพราะทำคือให้
สำเร็จกิจ 16 อย่าง ต่างโดยมีปริญญากิจเป็นต้น ที่จะต้องทำด้วย
มรรค 4 ชื่อว่า ปารคตะ ( ถึงฝั่งแล้ว ) เพราะถึง คือบรรลุด้วย
ญาณของพระสยัมภู ผู้ตรัสรู้เองซึ่งฝั่ง คือฝั่งโน้นของสักกายะ ได้แก่
นิพพาน ชื่อว่า พรั่งพร้อมด้วยพละและวิริยะ เพราะประกอบด้วยพลังกาย
ซึ่งไม่มีใครเหมือน ด้วยพลังญาณอันไม่สาธารณ์ทั่วไปแก่ผู้อื่น และด้วย
ความเพียรคือสัมมัปปธาน 4 อย่าง ชื่อว่า สุคต เพราะเสด็จถึงฐานะที่ดี
เพราะเสด็จไปโดยชอบ และเพราะตรัสโดยชอบ เธอจงถึง จงเข้าถึง
ซึ่งท่านผู้นั้น ผู้เป็นสุคต เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสรณะ คือเป็น
ที่พึ่ง เป็นที่เป็นไปเบื้องหน้า เป็นที่ช่วยต่อต้านทุกข์ในอบายและทุกข์ใน
วัฏฏะ จำเดิมแต่วันนี้ไป เธอจงคบคือจงเสพว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระ-
องค์นี้ เป็นสรณะ เป็นที่ช่วยต่อต้าน เป็นที่เร้น เป็นที่ไปในเบื้องหน้า
เป็นคติ เป็นที่พึ่งอาศัย ของเรา ดังนี้ ด้วยการกับจากสิ่งที่ไม่เป็น

ประโยชน์ ด้วยการพัฒนาเจริญแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ เธอจงรู้อย่างนี้
หรือจงคบหา [ เสพ ] เนื้อความมีดังนี้.
ท่านกล่าวอริยมรรค ด้วยบทว่า ราควิราคํ จริงอยู่ พระอริยะ
ทั้งหลายย่อมสำรอกราคะแม้ที่อบรมมาตลอดกาลที่ไม่มีเบื้องต้น ด้วยอริย-
มรรคนั้น. บทว่า อเนญฺชมโสกํ ได้แก่ อริยผล จริงอยู่ อริยผลนั้น
ท่านเรียกว่า อเนญชะ อโสกะ เพราะสงบตัณหากล่าวคือความอยาก
เหลือเกิน และกิเลสทั้งหลายที่มีความโศกเป็นนิมิตส่วนที่เหลือได้ โดย
ประการทั้งปวง. บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ สภาวธรรมที่พึงถือเอา จริงอยู่
ธรรมที่พึงถือเอาโดยสภาวะนี้ ก็คือมรรคผลและนิพพาน ไม่พึงถือเอา
โดยเป็นบัญญัติธรรม เหมือนอย่างปริยัติธรรม. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า
ธมฺมํ ได้แก่ ปรมัตถธรรม อธิบายว่า พระนิพพาน ที่ปัจจัยเป็นอันมาก
ประชุมกันกระทำ ชื่อ สังขตะ. ชื่อ อสังขตะ เพราะปัจจัยเป็นอันมาก
ประชุมกันทำมิได้ อสังขตะนั้นแหละ คือพระนิพพาน ชื่อว่าไม่เป็นที่ปฏิกูล
เพราะเป็นที่ไม่มีสิ่งปฏิกูลแม้อะไร ๆ ชื่อว่าไพเราะ เพราะปรารถนากัน
นักแม้ทุกเวลา ไม่ว่าเวลาฟัง เวลาสอบสวน เวลาปฏิบัติ ชื่อว่า ซื่อตรง
เพราะทรงประกาศไว้ดี เหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศด้วยปฏิภาณ-
สัมปทาที่มีพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่พึ่งพาอาศัยและเพราะเป็นธรรมละเอียด
อ่อน ชื่อว่า จำแนกไว้ดี เพราะจำแนกได้ด้วยดีซึ่งเนื้อความที่ควรจำแนก
โดยเป็นขันธ์เป็นต้น โดยเป็นกุศลเป็นต้น และเป็นอุทเทสเป็นต้น ด้วย
บททั้งสาม ก็ตรัสเฉพาะปริยัติธรรมเท่านั้น ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ จึงตรัส
บทว่า อิมํ เพื่อทรงแสดงให้ประจักษ์ทั้งสองฝ่าย ต่อหน้าเขาซึ่งแม้
กำลังฟังอยู่เหมือนที่พระองค์ตรัสอยู่ แม้ในเวลาที่โจรฆ่าชิงทรัพย์เหมือน

เวลาเหตุการณ์มาปรากฏในพระญาณ. บทว่า ธมฺมํ ความว่า ชื่อว่าธรรม
เพราะอรรถว่า ทรงไว้ซึ่งเหล่าสัตว์ผู้ปฏิบัติจริง ไม่ให้ตกไปสู่ทุกข์ในอบาย
บทนี้เป็นคำทั่วไปแก่ธรรมทั้ง 4 อย่าง จริงอยู่ ถึงประยัติธรรมก็ทรงสัตว์
ไว้ไม่ให้ตกไปสู่ทุกข์ในอบาย เพราะการปฏิบัติจริง แม้เพียงดำรงอยู่ใน
สรณะและศีลทั้งหลาย และวิมานนี้แหละ พึงทราบว่า สาธกความข้อนี้
เพื่อทรงแสดงธรรมตามที่กล่าวแล้วให้ประจักษ์ชัดโดยภาวะทั่ว ๆ ไป จึง
ได้ตรัสว่า อิมํ อีก.
บทว่า ยตฺถ ได้แก่ ในอริยสงฆ์ใด. บทว่า ทินฺนํ ได้แก่
ไทยธรรมมีข้าวเป็นต้นที่บริจาคแล้ว. ในบทว่า ทินฺนมหปฺผลํ ท่าน
ลบนิคหิตเพื่อสะดวกในการผูกคาถา ในคู่บุรุษสี่ ที่กล่าวไว้โดยคำเป็น
ต้นว่า พระโสดาบัน พระผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ดังนี้
ชื่อว่าผู้สะอาด เพราะหมดจดจากของไม่สะอาดคือกิเลสอย่างเด็ดขาดทีเดียว.
บทว่า อฏฺฐ ได้แก่ บุคคลแปด เพราะกำหนดเป็นคน ๆ โดยมิได้จัด
ท่านที่ตั้งอยู่ในมรรคกับท่านที่ตั้งอยู่ในผล เป็นคู่ ๆ และในบทว่า ปุคฺคล-
ธมฺมทสา
นี้ ท่านทำให้สั้นแสดงไว้ ก็เพื่อสะดวกในการผูกคาถานั่นเอง.
บทว่า ธมฺมทสา ได้แก่ ผู้เห็นธรรมคืออริยสัจ 4 และธรรมคือนิพพาน
โดยประจักษ์ ชื่อว่าสงฆ์ เพราะเบียดเสียดไม่ใช่เสียดสีด้วยทิฏฐิสามัญญตา.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสวิธีถึงสรณะพร้อมด้วยทรงชี้คุณของสรณะ
ด้วยคาถา 3 คาถาอย่างนี้แล้ว มาณพเมื่อจะประกาศวิธีถึงสรณะตั้งอยู่ใน
หทัยของตน โดยมุขคือระลึกถึงคุณของสรณะนั้น ๆ ขึงน้อมรับคาถา
นั้น ๆ โดยนัยเป็นต้นว่า โย วทตํ ปวโร ในลำดับแห่งคาถานั้น ๆ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศสิกขาบท 5 ทั้งโดยปฐมทั้งโดยผลานิสงส์

ได้ตรัสวิธีสมาทานสิกขาบทเหล่านั้น แก่มาณพผู้น้อมรับอย่างนี้แล้ว
มาณพนั้นทบทวนแม้วิธีสมาทานนั้นด้วยดี มีใจเลื่อมใส กราบทูลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์จักไปละ แล้วระลึกคุณพระรัตนตรัย
เดินไปตามทางนั้นเอง แม้พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพุทธดำริว่า กุศล
เพียงเท่านี้ของมาณพนี้ พอที่จะให้เกิดในเทวโลก แล้วได้เสด็จไปพระ-
วิหารเชตวันอย่างเดิม.
เมื่อมาณพมีจิตเลื่อมใส ตั้งอยู่ในสรณะทั้งหลายด้วยความเป็นผู้มี
จิตตุปบาทเป็นไปว่า ข้าพเจ้าเข้าถึงสรณะ ดังนี้ โดยกำหนดคุณพระ-
รัตนตรัย และทิ้งอยู่ในศีลทั้งหลาย ด้วยอธิฐานศีล 5 ตามนัยที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสไว้นั้นแล กำลังเดินระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยตามนัยนั่นแล
พวกโจรก็กรูกันมาที่หนทาง มาณพไม่ใส่ใจพวกโจรเหล่านั้น เดินระลึก
ถึงคุณพระรัตนตรัยอย่างเดียว โจรคนหนึ่งยืนซ่อนในระหว่างพุ่มไม้ เอา
ลูกธนูอาบยาพิษแทงอย่างฉับพลัน ทำให้เขาสิ้นชีวิต แล้วยึดห่อกหาปณะ
หลีกไปพร้อมกับพวกสหายของตน ฝ่ายมาณพทำกาละแล้วตายไปบังเกิด
ในวิมานทอง 30 โยชน์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเหมือนหลับแล้ว
ตื่นขึ้น มีอัปสรพันหนึ่งแวดล้อม มีอัตภาพประดับด้วยเครื่องประดับ
มีภาระ 60 เล่มเกวียน รัศมีของวิมานนั้นแผ่ไปกว่า 20 โยชน์.
ครั้งนั้น พวกมนุษย์ชาวเสตัพยนครเห็นมาณพทำกาละแล้ว จึงไป
เสตัพยนคร บอกแก่บิดามารดาของมาณพนั้น พวกชาวบ้านอุกกัฏฐะก็ไป
อุกกัฏฐนคร บอกแก่โปกขรสาติพราหมณ์ บิดามารดาของมาณพนั้น
พวกญาติและมิตร และโปกขรสาติพราหมณ์พร้อมด้วยบริวาร มีน้ำตา
ไหลอาบหน้าร้องไห้ไปประเทศนั้น ส่วนมากชาวเสตัพยะ ชาวอุกกัฏฐะ

และชาวอิจฉานังคละ ก็ได้ประชุมกัน.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระดำริว่า เมื่อเราไป ฉัตตมาณพ-
เทพบุตรจะมาพบเรา เราจักให้เขาผู้มาแล้วกล่าวถึงกรรมที่ทำไว้ ให้ทำ
ผลแห่งกรรมให้ประจักษ์ แล้วเราจักแสดงธรรม มหาชนจักตรัสรู้ธรรม
ด้วยอาการอย่างนี้ ครั้นมีพระดำริแล้ว พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่เสด็จเข้าไป
ยังประเทศนั้น ประทับนั่งเปล่งพระพุทธรังสีมีพรรณ 6 ประการ ณ โคน
ต้นไม้แห่งหนึ่ง ครั้งนั้น แม้ฉัตตมาณพเทพบุตรตรวจดูสมบัติของตน
ทบทวนเหตุแห่งสมบัตินั้น เห็นการถึงสรณะและการสมาทานศีล เกิด
ความประหลาดใจ เกิดความเลื่อมใสมากในพระผู้มีพระภาคเจ้า คิดว่า
เราจักไปถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า และไหว้ภิกษุสงฆ์ ในบัดนี้แหละ
และจักทำคุณพระรัตนตรัยให้ปรากฏแก่มหาชน เทพบุตรอาศัยความเป็น
ผู้กตัญญู กระทำประเทศแห่งป่านั้นทั้งหมดให้มีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน
มาพร้อมกับวิมาน ลงจากวิมาน ปรากฏองค์ให้เห็นพร้อมด้วยบริวาร
หมู่ใหญ่ เข้าไปหมอบถวายบังคมด้วยเศียรเกล้าแทบพระยุคลบาทของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วยืนประคองอัญชลีอยู่ มหาชนเห็นดังนั้นมีความ
ประหลาดอัศจรรย์ว่า นี้ใครหนอ เทวดาหรือพรหมพากันเข้าแวดล้อม
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงทำบุญกรรมที่เทพบุตรนั้นกระทำ
ไว้ให้ปรากฏ ได้ตรัสไต่ถามเทพบุตรนั้นว่า
พระอาทิตย์ในท้องฟ้าก็ไม่สว่าง พระจันทร์ก็
ไม่สว่าง ดาวฤกษ์ผุสสะก็ไม่สว่างเหมือนวิมานนี้ มี

รัศมีสว่างมาก ไม่มีที่เปรียบ ท่านเป็นใคร จาก
ดาวดึงส์มาสู่แผ่นดิน รัศมีมีเกิน 20 โยชน์ ตัดรังสี
พระอาทิตย์ และทำกลางคืนให้เป็นเหมือนกลางวัน
วิมานของท่านงามบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีดอกปทุมมาก มี
ดอกบุณฑริกงามเกลื่อนกลาดไปด้วยดอกไม้ทั้งหลาย
งามไม่น้อย คลุมด้วยข่ายทองที่ปราศจากละออง
ธุลี สว่างอยู่ในอากาศ เหมือนดวงอาทิตย์ วิมาน
ของท่านบริบูรณ์ด้วยเหล่าอัปสรผู้ทรงผ้าแดงและผ้า
เหลือง หอมตลบด้วยกฤษณา ประยงค์ และจันทน์
มีองค์และผิวพรรณเปล่งปลั่งดังทอง เหมือนท้องฟ้า
เต็มไปด้วยดวงดาวทั้งหลาย ทวยเทพบุตรและเทพธิดา
ในวิมานนี้มีมาก หลายหลากวรรณะ มีอาภรณ์
ประดับด้วยดอกไม้ มีใจดี มีกรองทอง นุ่งห่มด้วย
อาภรณ์ที่เป็นทอง โชยกลิ่นหอมลอยไปตามลม นี้
เป็นวิบากแห่งการสำรวมอะไร ท่านเกิดในวิมานนี้
ด้วยผลแห่งกรรมอะไร และท่านได้วิมานนี้โดยวิธีใด
ท่านถูกเราถามแล้ว เชิญบอกตามสมควรแก่วิธีนั้น
ด้วยเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตปติ แปลว่า ย่อมสว่าง. บทว่า
นภสฺมึ แปลว่า ในอากาศ. บทว่า ผุสฺโส แปลว่า หมู่ดาวฤกษ์ผุสสะ.
บทว่า อตุลํ แปลว่า ไม่มีที่เปรียบหรือประมาณไม่ได้ ท่านอธิบายคำนี้

ไว้ว่า วิมานของท่านนี้ ไม่มีที่เปรียบ ประมาณไม่ได้ สว่างมาก คือสว่าง
ไปในอากาศ จากวิมานนั้น ๆ แหละ เพราะผ่องใสฉันใด ดวงดาว
ทั้งหลายย่อมไม่สว่างเหมือนฉันนั้น พระจันทร์ก็ไม่สว่าง ดาวเหล่านั้น
ไม่ต้องพูดถึง แม้พระอาทิตย์ก็ยังไม่สว่างเท่า ท่านเป็นใครถึงได้เป็น
อย่างนี้ จากเทวโลกมายังภูมิประเทศนี้ ขอจงบอกกล่าวแก่มหาชนนี้
ทำความข้อนั้นให้ปรากฏ.
บทว่า ฉินฺทติ แปลว่า ตัดขาด ความว่า ต่อต้านไม่ให้เป็นไป.
บทว่า รํสี แปลว่า รัศมีทั้งหลาย. บทว่า ปภงฺกรสฺส แปลว่า ของ
ดวงอาทิตย์ ก็รัศมีของวิมานนั้น แผ่ไปโดยรอบ 25 โยชน์ เพราะเหตุ
นั้นท่านจึงกล่าวว่า สาธิกวีสติโยชนานิ อาภา ดังนี้. บทว่า รตฺติมฺปิ
จ ยถา ทิวํ กโรติ
ความว่า วิมานของท่านกำจัดความมืดด้วยรัศมีของ
ตน ทำแม้ภาคราตรีให้เป็นเหมือนภาคกลางวัน ชื่อว่า บริสุทธิ์ เพราะ
สะอาดทั้งภายในและภายนอก โดยรอบ ๆ ชื่อว่า ผุดผ่อง เพราะไม่มี
มลทินโดยประการทั้งปวง ชื่อว่า งาม เพราะดี.
บทว่า พหุปทุมวิจิตฺรปุณฺฑรีกํ ได้แก่ ดอกบัวแดงหลายอย่าง
มากมาย และดอกบัวขาวมีสีงดงาม อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ดอกบัวขาว
ชื่อว่าปทุม ดอกบัวแดงชื่อว่า บุณฑริก. บทว่า โวกิณฺณํ กุสุเมหิ
ความว่า เกลื่อนไปด้วยดอกไม้อื่น ๆ นานาชนิด. บทว่า เนกจิตฺตํ
ความว่า งามอย่างต่าง ๆ ด้วยมาลากรรมและลดากรรมเป็นต้น. บทว่า
อรชวิรชเหม ชาลจฺฉนฺนํ ความว่า ปราศจากละอองเอง และคลุมด้วย
ข่ายทองที่ปราศจากธุลี ไม่มีโทษ.

บทว่า รตฺตกมฺพลปีตวาสสาหิ แปลว่า ด้วยผ้าแดงทั้งหลาย และ
ด้วยผ้าเหลืองทั้งหลาย จริงอยู่ เทพธิดาองค์หนึ่งนุ่งห่มผ้าทิพย์สีแดง ย่อม
ทำให้ผ้าทิพย์สีเหลือง เหลือยิ่งขึ้น อีกองค์หนึ่งนุ่งห่มผ้าทิพย์สีเหลือง
ย่อมทำให้ผ้าทิพย์สีแดง แดงยิ่งขึ้น ท่านหมายความดังนั้น จึงกล่าวว่า
รตฺตกมฺพลปีตวาสสาหิ ดังนี้. บทว่า อครุปิยงฺคุจนฺทนุสฺสทาหิ ความว่า
หอมฟุ้งด้วยกลิ่นกฤษณา ด้วยดอกประสงค์ และด้วยกลิ่นจันทน์ทั้งหลาย
อธิบายว่า อบอวลไปด้วยกลิ่นกฤษณาอันเป็นทิพย์เป็นต้น. บทว่า
กญฺจนตนุนฺนิภตฺตจาหิ แปลว่า มีผิวละเอียดอ่อนคล้ายทอง. บทว่า ปริปูรํ
ความว่า เต็มไปด้วยเทพธิดาผู้เที่ยวไปในที่นั้น ๆ และขับร้องเสียง
ประสาน.
บทว่า พหุเกตฺถ แปลว่า ในวิมานนี้มาก. บทว่า อเนกวณฺณา
แปลว่า มีรูปต่าง ๆ. บทว่า กุสุมวิภูสิตาภรณา ความว่า มีทิพยาภรณ์
ประดับด้วยดอกไม้ทิพย์ทั้งหลาย เพื่อโชยกลิ่นหอมเป็นพิเศษ. บทว่า
เอตฺถ แปลว่า ในวิมานนี้. บทว่า สุมนา แปลว่า มีใจดี คือมีจิต
เบิกบาน. บทว่า อนิลปมุญฺจิตา ปวนฺติ สุรภึ ความว่า ย่อมโชยกลิ่น
หอมของดอกไม้ทั้งหลายที่มีกลิ่นลอยไปตามลม เพราะเป็นดอกไม้แก่และ
บานแล้ว เหมือนพวงกลีบหลุดด้วยลม อาจารย์บางท่านกล่าวว่า อนิล-
ปธูปิตา
อันลมขจัดแล้วดังนี้ก็มี ความว่า ดอกไม้ทองถูกลมพัดแผ่ว ๆ
ชื่อว่า มีกรองทอง เพราะเครื่องประดับมีเปลือกไม้ทองเป็นต้นแผ่ไปที่
ช้องผมเป็นต้น ชื่อว่า นุ่งห่มด้วยอาภรณ์ที่เป็นทอง เพราะมีสรีระปกปิด
ด้วยอาภรณ์อันเป็นทองโดยมาก ด้วยบทว่า นรนาริโย ทรงแสดงว่า
ในวิมานของท่านนี้ มีเทพบุตรและเทพธิดามาก.

บทว่า อิงฺฆ เป็นนิบาต ในอรรถว่า เตือน. บทว่า ปุฏฺโฐ
แปลว่า อันเราถามแล้ว อธิบายว่า เพื่อผลกรรมประจักษ์ชัด แก่
มหาชนนี้.
ลำดับนั้น เทพบุตรได้พยากรณ์ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
พระศาสดาเสด็จมาพบมาณพในทางนี้ ด้วย
พระองค์เอง เมื่อทรงอนุเคราะห์ ได้ตรัสสอนแล้ว
ฉัตตมาณพฟังธรรมของพระองค์ผู้เป็นรัตนะอันประ-
เสริฐ ได้กราบทูลว่า ข้าพระองค์จักกระทำตาม
พระองค์ตรัสสอนว่า เธอจงเข้าถึงพระชินวรผู้
ประเสริฐ ทั้งพระธรรมและภิกษุสงฆ์ เป็นสรณะ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทีแรกข้าพระองค์ได้กล่าวว่า
ไม่รู้ แต่ภายหลังได้กระทำตามพระดำรัสของ
พระองค์ อย่างนั้นทีเดียว พระองค์ตรัสสอนว่า จง
อย่าฆ่าสัตว์ อย่าประพฤติกรรมไม่สะอาดต่าง ๆ ผู้มี
ปัญญาทั้งหลายไม่สรรเสริญความไม่สำรวมในสัตว์
ทั้งหลายเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทีแรกข้าพระ-
องค์ได้กล่าวว่า ไม่รู้ แต่ภายหลังได้กระทำตามพระ-
ดำรัสของพระองค์ อย่างนั้นทีเดียว พระองค์ตรัส
สอนว่า อย่าเป็นผู้มีความสำคัญของที่เจ้าของมิได้ให้
แม้ที่ชนอื่นรักษาไว้ ว่าเป็นของควรถือเอา ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ทีแรกข้าพระองค์ได้กล่าวว่า ไม่รู้

แต่ภายหลังได้กระทำ ตามพระดำรัสของพระองค์
อย่างนั้นทีเดียว พระองค์ตรัสสอนว่า อย่าได้ล่วงเกิน
ภริยาของคนอื่นที่คนอื่นรักษา นั่นเป็นสิ่งไม่ประเสริฐ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทีแรกข้าพระองค์ได้กล่าวว่า
ไม่รู้ แต่ภายหลังได้กระทำตามพระดำรัสของพระองค์
อย่างนั้นทีเดียว พระองค์ตรัสสอนว่า อย่าได้กล่าว
เรื่องจริงเป็นเท็จ ผู้มีปัญญาทั้งหลายไม่สรรเสริญ
มุสาวาทเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทีแรกข้าพระองค์
ได้กล่าวว่า ไม่รู้ แต่ภายหลังได้กระทำตามพระดำรัส
ของพระองค์ อย่างนั้นทีเดียว พระองค์ตรัสสอนว่า
จงงดเว้นนำเมา ซึงเป็นเครื่องให้คนปราศจากสัญญา
นั้นทั้งหมด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทีแรกข้าพระองค์ได้
กล่าวว่า ไม่รู้ แต่ภายหลังได้กระทำตามพระดำรัสของ
พระองค์ อย่างนั้นทีเดียว ข้าพระองค์นั้นถือสิกขา-
บท 5 ในศาสนานี้ ปฏิบัติในธรรมของพระตถาคต
ได้ไปยังทางสองแพร่ง ท่ามกลางพวกโจร พวกโจร
เหล่านั้นฆ่าข้าพระองค์ ที่ทางนั้น เพราะโภคะเป็น
เหตุ ข้าพระองค์ระลึกถึงกุศลนี้เพียงเท่านี้ กุศลอื่น
นอกจากนั้น ของข้าพระองค์ไม่มี ด้วยกรรมอัน
สุจริตนั้น ข้าพระองค์จึงเกิดในหมู่เทวดาชาวไตรทิพย์
พรั่งพร้อมด้วยสิ่งที่น่าปรารถนา ขอพระองค์โปรดดู
วิบากแห่งการสำรวมชั่วขณะครู่หนึ่ง ด้วยการปฏิบัติ

ธรรมตามสมควร ซึ่งเหมือนรุ่งเรืองอยู่ด้วยยศ คน
เป็นอันมากผู้มีกรรมต่ำทรามเพ่งดูข้าพระองค์ ก็นึก
กระหยิ่ม โปรดดูเถิด ข้าพระองค์ถึงสุคติ และถึง
ความสุข ด้วยเทศนาเล็กน้อย ก็เหล่าสัตว์ผู้ที่
ฟังธรรมของพระองค์ติดต่อกันเหล่านั้น เห็นทีจะ
สัมผัสพระนิพพานอันเป็นแดนเกษมเป็นแน่ กรรม
ที่ทำแม้น้อย ก็มีวิบากใหญ่ไพบูลย์ เพราะธรรม
ของพระตถาคตแท้ ๆ โปรดดูเถิด เพราะเป็นผู้ได้
ทำบุญไว้ ฉัตตมาณพจึงเปล่งรัศมีสว่างตลอดแผ่น
ปฐพี เหมือนดังดวงอาทิตย์ คนพวกหนึ่งประชุม
ปรึกษากันว่า กุศลนี้เป็นอย่างไร พวกเราจะประพฤติ
กุศลอะไร พวกเรานั้นได้ความเป็นมนุษย์แล้ว พึง
ปฏิบัติมนุษยธรรม มีศีลกันอยู่อีกทีเดียว พระศาสดา
ทรงมีอุปการะมาก ทรงอนุเคราะห์อย่างนี้ เมื่อข้า-
พระองค์ถูกโจรฆ่าชิงทรัพย์ ยังกลางวันแสก ๆ อยู่
เลย ข้าพระองค์นั้นเป็นผู้เข้าถึงพระผู้มีพระนามอัน
เป็นสัจจะ ขอพระองค์โปรดอนุเคราะห์เถิด พวก
ข้าพระองค์ทั้งหลายขอฟังธรรมอีก ชนเหล่าใดใน
ศาสนานี้ละกามราคะ อนุสัย คือภวราคะ และโมหะ
ละได้ขาด ชนเหล่านั้นย่อมไม่ต้องนอนในครรภ์ คือ
เกิดอีก เพราะถึงปรินิพพานดับทุกข์ เย็นสนิทแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สยมิธ ปเถ สเมจฺจ มาณเวน
ความว่า มาประชุมกัน คือร่วมกันกับมาณพกุมารพราหมณ์ ผู้เข้าไปหา
เองทีเดียว ในที่นี้ที่ทางนี้ คือที่ทางใหญ่นี้ ประกอบบทว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ชื่อว่า ศาสดา เพราะทรงสั่งสอนเหล่าสัตว์ด้วยทิฏฐธัมมิกัตถ-
ประโยชน์ สัมปรายิกัตถประโยชน์ และปรมัตถประโยชน์ ตามควร
ทรงเอ็นดูอนุเคราะห์สั่งสอนมาณพใด ตามธรรม มาณพนั้น ชื่อฉัตตะ
คือมาณพที่ชื่อว่าฉัตตะ กล่าวแล้ว กราบทูลแล้วว่า ข้าพระองค์ฟังธรรม
นั้น ของพระองค์ผู้เป็นรัตนะอันประเสริฐ คือของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้เป็นรัตนะชั้นเลิศ จักกระทำตามธรรมนั้น คือปฏิบัติตามที่ทรงสั่งสอน
ดังนี้อย่างนี้.
เทพบุตรแสดงกรรมตามที่ถูกถาม โดยเหตุการณ์อย่างนี้แล้ว เมื่อ
แสดงกรรมนั้นทั้งรวม ๆ ทั้งแยกเป็นส่วน ๆ จึงกล่าวว่า ชินวรปวรํ
เป็นต้น เพื่อแสดงว่าตนถูกพระศาสดาทรงชักชวน และที่ตนตั้งมั่นใน
สรณะและศีลนั้นภายหลัง. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โนติ ปฐมํ
อโวจหํ ภนฺเต
ความว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพระองค์
ถูกพระองค์ตรัสถามว่า เธอรู้สรณคมน์หรือ ทีแรกได้กราบทูลว่า ไม่ คือ
ไม่รู้. บทว่า ปจฺฉา เต วจนํ ตเถวกาสึ ความว่า ภายหลังข้าพระองค์
เมื่อทบทวนพระดำรัส ก็ได้กระทำคือปฏิบัติตามพระดำรัสของพระองค์
อย่างนั้นทีเดียว อธิบายว่า ได้เข้าถึงสรณะทั้งสาม.
บทว่า วิวิธํ ได้แก่ สูงและต่ำ ความว่า มีโทษน้อยและมีโทษ
มาก. บทว่า มาจรสฺสุ ได้แก่ อย่าได้กระทำ. บทว่า อสุจึ ได้แก่
ไม่สะอาด เพราะเจือปนด้วยของไม่สะอาดคือกิเลส. บทว่า ปาเณสุ

อสญฺญตํ ได้แก่ ไม่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์. บทว่า น หิ อวณฺณยึสุ
ได้แก่ ในปัจจุบันก็ไม่สรรเสริญ ความจริง บทนี้เป็นคำอดีตกาล ลงใน
อรรถปัจจุบันกาล อีกอย่างหนึ่ง คำว่า อวณฺณยึสุ เป็นกำหนดกาล
ทั้งสิ้นแต่โดยเอกเทศ เพราะฉะนั้น ท่านจึงอธิบายว่า ไม่สรรเสริญมา
แล้วในอดีตกาลฉันใด ก็ไม่สรรเสริญอยู่ในปัจจุบันกาล จักไม่สรรเสริญ
แม้ในอนาคตกาลฉันนั้น.
บทว่า ปรชนสฺส รกฺขิตํ ได้แก่ ของที่เจ้าของหวงแหน เพราะ
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อทินฺนํ เขาไม่ให้. บทว่า มา อคมา แปลว่า
อย่าล่วงละเมิด. บทว่า วิตถํ ได้แก่ ไม่แท้ อธิบายว่า เท็จ. บทว่า
อญฺญถา แปลว่า โดยประการอื่นเทียว อธิบายว่า มีความสำคัญว่าไม่แท้
คือรู้อยู่ว่าไม่แท้อย่างนี้ อย่าได้กล่าวอย่างนี้.
บทว่า เยน ได้แก่ เพราะน้ำเมาใด อธิบายว่า ที่ดื่มเข้าไป
บทว่า อเปติ แปลว่า ไปปราศ. บทว่า สญฺญา ได้แก่ ธรรมสัญญา
หรือโลกสัญญานั่นเอง. บทว่า สพฺพํ ความว่า ไม่เหลือเลย ตั้งแต่พืช.
บทว่า สฺวาหํ ความว่า ข้าพระองค์ คือเป็นฉัตตมาณพครั้งนั้น.
บทว่า อิธ ได้แก่ ในที่แห่งทางนี้. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อิธ ได้แก่ ใน
ศาสนาของพระองค์นี้ เพราะเหตุนั้น จึงกล่าวว่า ตถาคตสฺส ธมฺเม.
บทว่า ปญฺจ สิกฺขา ได้แก่ สิกขาบท 5. บทว่า กริตฺวา ความว่า
ถือ คืออธิษฐาน. บทว่า เทฺวปถํ ได้แก่ ทางที่อยู่กลางเขตบ้าน 2 ตำบล
อธิบายว่า ทางระหว่างเขต. บทว่า เต ได้แก่ พวกโจรเหล่านั้น. บทว่า
ตตฺถ ได้แก่ ตรงทางระหว่างเขตนั้น. บทว่า โภคเหตุ ได้แก่ เพราะ
เห็นแก่อามิส.

ความว่า ไม่มี คือไม่ได้กุศลอื่น นอกเหนือไปจากนั้น คือจาก
กุศลตามที่กล่าวแล้ว ที่ข้าพระองค์ระลึกได้. บทว่า กามกามี แปลว่า
พรั่งพร้อมด้วยกามคุณตามที่ปรารถนา.
บทว่า ขณมุหุตฺตสญฺญมสฺส ได้แก่ รักษาศีลชั่วขณะครู่เดียว.
บทว่า อนุธมฺมปฏิปตฺติยา ความว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอ
พระองค์โปรดดูวิบาก ของบุคคลผู้ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ผลตามที่ได้
บรรลุแล้ว อีกอย่างหนึ่ง ขอพระองค์โปรดดูวิบากแห่งการถึงสรณะ และ
แห่งการสมาทานศีล ด้วยการปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรม คือโอวาท
ของพระองค์ โดยทำนองที่กล่าวแล้วนั่นแล. บทว่า ชลมิว ยสสา
ความว่า เหมือนรุ่งเรืองอยู่ด้วยฤทธิ์และด้วยปริวารสมบัติ. บทว่า
สเมกฺขมานา แปลว่า เห็นอยู่. บทว่า พหุกา แปลว่า มาก. บทว่า
ปิหยนฺติ ความว่า ย่อมปรารถนาว่า ทำอย่างไรหนอ พวกเราถึงจะเป็น
เช่นนี้. บทว่า หีนกมฺมา ความว่า มีโภคะเลวกว่าสมบัติของเรา.
บทว่า กติปยาย แปลว่า น้อย. บทว่า เย ได้แก่ ภิกษุ
ทั้งหลายด้วย อุบาสกเป็นต้นด้วย เหล่าใด ศัพท์ลงในอรรถพยติเรก.
บทว่า เต แปลว่า ของพระองค์. บทว่า สตตํ ได้แก่ ทุก ๆ วัน.
บทว่า วิปุลํ ได้แก่ ผลโอฬาร อานุภาพไพบูลย์. บทว่า
ตถาคตสฺส ธมฺเม ประกอบความว่า ตั้งอยู่ในโอวาทคำสอนของพระ-
ตถาคตกระทำตามแล้ว. เนื้อความที่กล่าวไว้ในได้ยกอะไรแสดงเลย อย่างนี้
เทพบุตรเมื่อแสดงโดยยกตนขึ้นแสดง จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ปสฺส ดังนี้.
ด้วยคำว่า ปสฺส ในคำนั้น เทพบุตรกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า อีก
อย่างหนึ่ง กล่าวถึงตนเองนั่นแหละ แต่ทำเหมือนเป็นผู้อื่น.

บทว่า กิมิทํ กุสลํ กิมาจเรม ความว่า ธรรมดาว่ากุศลนี้ มี
สภาพย่างไร คือเป็นเช่นไร อีกอย่างหนึ่ง พวกเราพึงประพฤติกุศลนั้น
อย่างไร. บทว่า อิจฺเจเก หิ สเมจฺจ มนฺตยนฺติ ความว่า คนพวกหนึ่ง
มาประชุม คือมาร่วมกันปรึกษา คือวิจารณ์ว่าทำได้แสนยาก เหมือน
พลิกแผ่นดิน และเหมือนยกเขาสินรุ [ พระสุเมรุ ] อธิบายว่า แต่พวก
เราพึงประพฤติกันได้อีกโดยไม่ยากเย็นเลย เพราะเหตุนั้นแหละ เทพบุตร
จึงกล่าวว่า มยํ เป็นต้น.
บทว่า พหุกาโร แปลว่า มีอุปการะมาก หรือมีอุปการะใหญ่.
บทว่า อนุกมฺปิโก ได้แก่ มีความกรุณา อักษรทำหน้าที่เชื่อมบท.
บทว่า อิติ แปลว่า อย่างนี้ เทพบุตรกล่าวหมายถึงอาการที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงปฏิบัติในตน. บทว่า เม สติ ความว่า เมื่อข้าพระองค์
มี คือมีอยู่ ถูกพวกโจรฆ่าทีเดียว. บทว่า ทิวา ทิวสฺส แปลว่า
กลางวันแม้ของวัน อธิบายว่า ยังกลางวันอยู่. บทว่า สฺวาหํ ได้แก่
ข้าพระองค์ผู้เป็นฉัตตมาณพนั้น. บทว่า สจฺจนามํ ความว่า ผู้มีพระนาม
ไม่เท็จ คือมีพระนามที่เป็นจริง โดยพระนามว่า ภควา อรหํ สมฺมา-
สมฺพุทฺโธ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น. บทว่า
อนุกมฺปสฺสุ แปลว่า โปรดอนุเคราะห์. บทว่า ปุนปิ ความว่า พึง
ฟังแม้ยิ่ง ๆ ขึ้น อธิบายว่า พึงฟังธรรมของพระองค์.
เทพบุตรตั้งอยู่ในความเป็นผู้กตัญญู เมื่อแสดงความไม่อิ่มด้วยดี
ด้วยการเข้าไปใกล้ และด้วยการฟังธรรม จึงกล่าวคำนั้นทั้งหมด ด้วย
ประการฉะนี้ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูอัธยาศัยของเทพ-
บุตร และบริษัทที่ประชุมกันในที่นั้นแล้วทรงแสดงอนุปุพพิกถา ทรง

ทราบว่าชนเหล่านั้นมีจิตสงบ จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่ทรงยก
ขึ้นแสดงเอง ( อริยสัจ ) จบเทศนา เทพบุตรและบิดามารดาตั้งอยู่ใน
โสดาปัตติผลและมหาชนหมู่ใหญ่ได้ตรัสรู้ธรรม.
เทพบุตรตั้งอยู่ในปฐมผล เมื่อประกาศความเคารพหนักของตนใน
มรรคชั้นสูง และความที่การบรรลุมรรคนั้นมีอานิสงส์มาก จึงกล่าวคาถา
สุดท้ายว่า เย จิธ ปชหนฺติ กามราคํ ดังนี้ เนื้อความของคาถานั้นว่า
ชนเหล่าใดดำรงอยู่ในศาสนานี้ ย่อมละ คือย่อมถอนกามราคะได้ขาดไม่
เหลือเลย ชนเหล่านั้นย่อมไม่ต้องนอนในครรภ์อีก เพราะถอนโอรัม-
ภาคิยสังโยชน์ [สังโยชน์เบื้องต่ำได้แล้ว] อนึ่ง ชนเหล่าใดละโมหะ คือ
เพิกถอนโดยประการทั้งปวง ชื่อว่าละภวราคานุสัยได้ด้วย จึงไม่มีคำที่จะ
ต้องกล่าวว่า ชนเหล่านั้นย่อมต้องนอนในครรภ์อีก ดังนี้ เพราะเหตุไร.
เพราะถึงปรินิพพานดับทุกข์ เป็นผู้เย็นสนิทแล้ว. จริงอยู่ ชนเหล่านั้น
เป็นอุดมบุรุษถึงปรินิพพานดับทุกข์ ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดังนั้น
จึงเป็นผู้เย็นสนิทแล้ว เพราะความเร่าร้อนทุกอย่างที่สัตว์ทั้งปวงเสวยสิ้น
สุดไปในปรินิพพานนั้นนั่นเอง.
เทพบุตรเมื่อประกาศความที่ตนถึงกระแสอริยะแล้ว จับเอายอด
เทศนาด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า การทำ
ประทักษิณแล้วแสดงความนับถือแก่ภิกษุสงฆ์ ลาบิดามารดาแล้วกลับ
เทวโลกอย่างเดิม แม้พระศาสดาทรงลุกจากพุทธอาสน์แล้ว เสด็จไปพร้อม
ด้วยภิกษุสงฆ์ บิดามารดาของมาณพ โปกขรสาติพราหมณ์ และมหาชน
ทั้งหมด ส่งเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วพากันกลับ พระผู้มีพระภาคเจ้า

เสด็จไปพระวิหารเชตวัน ตรัสวิมานนี้โดยพิสดารแก่บริษัทที่ประชุมกัน
เทศนานั้นได้เป็นประโยชน์แก่มหาชนแล.
จบอรรถกถาฉัตตมาณวกวิมาน

4. กักกฏกรสทายกวิมาน


ว่าด้วยกักกฏกรสทายกวิมาน


พระมหาโมคคัลลานเถระ

ถามเทพบุตรองค์หนึ่งว่า
[54] วิมานเสาแก้วมณีนี้สูง 12 โยชน์ โดยรอบ
มีห้องรโหฐาน 700 ห้อง โอฬาร มีเสาแก้วไพฑูรย์
ลาดด้วยเครื่องลาดที่ถูกใจ สวยงาม ท่านอยู่ ดื่ม
กิน ในวิมานนั้น มีพิณทิพย์บรรเลงไพเราะ มี
เบญจกามคุณ มีรสเป็นทิพย์ และเทพนารีแต่งองค์
ด้วยเครื่องทองฟ้อนรำอยู่ เพราะบุญอะไร วรรณะของ
ท่านจึงเป็นเช่นนั้น เพราะบุญอะไร ผลอันนี้จึงสำเร็จ
แก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.

ดูก่อนเทวะผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถาม
ท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไรไว้
เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และ
วรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.