เมนู

ประโยชน์แก่ชนหมู่มากจริงหนอ ที่ทายกกระทำบุญ
ในท่านแล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์.

จบรัชชุมาลาวิมาน

อรรถกถารัชชุมาลาวิมาน


รัชชุมาลาวิมาน มีคาถาว่า อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน เป็นต้น.
รัชชุมาลาวิมานนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี.
สมัยนั้น พราหมณ์คนหนึ่งในหมู่บ้านคยาได้ให้ธิดา แก่บุตรพราหมณ์
คนหนึ่งในบ้านนั้นเอง นางไปมีสามีแล้ว ตั้งตนเป็นใหญ่ในเรือนนั้น
นางเห็นลูกสาวทาสีในเรือนนั้นแล้วไม่ชอบหน้า นับแต่เห็นมา นางก็
แสดงอาการฮึดฮัดด่าว่าด้วยความโกรธ และชูกำหมัดแก่ลูกสาวทาสีนั้น
เมื่อลูกสาวทาสีเติบโตขึ้นพอจะทำการงานได้ นางก็ใช้เข่า ศอก กำหมัด
ทุบตีเธอ เหมือนผูกอาฆาตกันมาในชาติก่อน ๆ หลายชาติทีเดียว.
เล่ากันมาว่า ทาสีนั้นได้เป็นนายของนาง ครั้งพระทศพลพระนาม
ว่ากัสสปะ ส่วนนางเป็นทาสี เธอทุบต่อยทาสีนั้นด้วยก้อนดินและกำหมัด
เป็นต้นเนือง ๆ ทาสีเหนื่อยหน่ายเพราะการกระทำนั้น ได้กระทำบุญ
ทั้งหลายมีให้ทานเป็นต้นตามกำลัง ตั้งความปรารถนาว่า ในอนาคตกาล
ขอเราพึงเป็นนายมีความเป็นให้เหนือหญิงนี้.

ภายหลัง ทาสีนั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เวียนว่ายไป ๆ มา ๆ อยู่
ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในหมู่บ้านคยา ไปมี
สามี ตามนัยดังกล่าวแล้ว ส่วนหญิงอีกคนหนึ่งได้เป็นทาสีของนาง นาง
จึงเบียดเบียนเธอเพราะผูกอาฆาตกันไว้อย่างนั้น.
เมื่อเบียดเบียนอยู่อย่างนี้ โดยไม่มีเหตุที่สมควรเลย นางได้จิกผม
ใช้ทั้งมือทั้งเท้าตบถีบอย่างเต็มที่ ทาสีนั้นไปศาลาอาบน้ำ โกนผมเสีย
เกลี้ยง หญิงผู้เป็นนายกล่าวว่า เฮ้ย อีทาสีชั่ว เพียงโกนผมเกลี้ยง มึง
จะพ้นหรือ แล้วเอาเชือกพันศีรษะ จับนางให้ก้มลงเฆี่ยนตรงนั้น และ
ไม่ให้นางเอาเชือกนั้นออก นางทาสีจึงได้ชื่อว่า รัชชมาลา ตั้งแต่นั้นมา.
ต่อมาวันหนึ่ง ตอนใกล้รุ่ง พระศาสดาเสด็จออกจากมหากรุณา-
สมาบัติ ทรงตรวจดูสัตวโลก ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของ
นางรัชชุมาลา และการดำรงอยู่ในสรณะและศีลของนางพราหมณีนั้น
จึงเสด็จเข้าไปป่าประทับนั่งที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ทรงเปล่งพระพุทธรัศมี
มีพรรณะ 6 ไป. ฝ่ายนางรัชชุมาลาเล่า ถูกเขาเบียดเบียนอยู่เช่นนั้น
ทุก ๆ วัน คิดว่าจะมีประโยชน์อะไรด้วยชีวิตอันลำเค็ญเช่นนี้ของเรา ดังนี้
เกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต ประสงค์จะตายเสีย จึงถือเอาหม้อน้ำออก
จากเรือนไป ทำทีเดินไปท่าน้ำ เข้าไปตามลำดับ ผูกเชือกเข้าที่กิ่งไม้
ต้นหนึ่ง ที่ไม่ไกลต้นไม้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ประสงค์จะทำ
เป็นบ่วงผูกคอตาย มองดูไปข้างโน้นข้างนี้ ก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับนั่งอยู่ ณ ที่นั้น ดูน่าพอใจ น่าเลื่อมใส ทรงบรรลุความฝึกและ
ความสงบอย่างสูงสุด กำลังเปล่งพระพุทธรัศมีมีพรรณะ 6 อยู่. ครั้น
เห็นแล้วมีใจถูกความเคารพในพระพุทธเจ้าเหนี่ยวรั้งไว้จึงคิดว่า ทำไฉน

พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงแสดงธรรมแม้แก่คนเช่นเรา ที่เราได้ฟังแล้ว
พึงพ้นจากชีวิตที่ลำเค็ญนี้ได้หนอ.
ทีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูอาจาระความประพฤติทางจิต
ของนางแล้ว จึงตรัสเรียกว่า รัชชุมาลา. นางได้ยินพระดำรัสนั้นแล้ว
เป็นประหนึ่งว่า ถูกโสรจสรงด้วยน้ำอมฤต ได้ถูกปีติสัมผัสไม่ขาดสาย
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วน
หนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกถาว่าด้วยสัจจะ 4 อันเป็นลำดับต่อจาก
อนุบุพพีกถาแก่นาง. นางก็ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. พระศาสดาทรงดำริว่า
การอนุเคราะห์แก่นางรัชชุมาลาเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว บัดนี้นางเกิดเป็นคน
ที่ใคร ๆ จะกำจัดไม่ได้แล้ว ดังนี้ จึงเสด็จออกจากป่า ประทับนั่งที่โคน
ต้นไม้แห่งหนึ่งไม่ไกลบ้าน. ฝ่ายนางรัชชุมาลา เพราะเหตุที่นางเป็นผู้ไม่
ควรที่จะฆ่าตัวตาย และเพราะเหตุที่นายเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยขันติ เมตตา
และความเอ็นดูแล้ว จึงคิดว่า นางพราหมณีจะฆ่าหรือจะเบียดเบียนเรา
หรือจะทำการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามที ดังนี้ แล้วเอาหม้อตักน้ำกลับไป
เรือน. สามียืนอยู่ที่ประตูเรือนเห็นนางแล้วจึงถามว่า วันนี้เธอไปท่าน้ำ
ตั้งนานแล้วจึงมา และสีหน้าของเธอก็ดูผ่องใสยิ่งนัก เธอปรากฏโดย
อาการเปลี่ยนไป (ไม่เหมือนเดิม) นี่อะไรกัน. นางจึงเล่าความเป็นไป
นั้นแก่สามี.
พราหมณ์ฟังคำของนางแล้วยินดีไปยังเรือน แล้วกล่าวแก่ลูกสะใภ้
ต่อหน้านางรัชชุมาลาว่า เธอไม่ต้องทำอะไร ดังนี้ แล้วมีใจยินดีรีบไป
ยังสำนักของพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ทำปฏิสันถารด้วยความเอื้อเฟื้อ
นิมนต์พระศาสดาแล้วนำมาสู่เรือนของตน อังคาสเลี้ยงดูด้วยของเคี้ยวของ

ฉันอันประณีต พอพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จ ชักพระหัตถ์ออกจาก
บาตร จึงเข้าไปเฝ้านั่ง ณ ที่ตรงส่วนข้างหนึ่ง. แม้สะใภ้ของพราหมณ์นั้น
ก็เข้าไปเฝ้าถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พวกพราหมณ์และคฤหบดี แม้ที่อยู่ในหมู่บ้านคยาคามได้ฟังเรื่อง
นั้นแล้ว เข้าไปเผ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า บางพวกถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกก็เพียงแต่กล่าวทักทายปราศรัยแล้วนั่ง ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระศาสดาตรัสกรรมที่กระทำในชาติก่อนของนางรัชชุมาลา และ
ของนางพราหมณีนั้น โดยพิสดารแล้วทรงแสดงธรรมตามสมควรแก่
บริษัทที่มาประชุมกัน. นางพราหมณีและมหาชนที่ประชุมกันในที่นั้น
ฟังธรรมนั้นแล้ว ต่างดำรงอยู่ในสรณะ และศีล. พระศาสดาเสด็จลุกขึ้น
จากอาสนะ ได้เสด็จไปกรุงสาวัตถีตามเดิม. พราหมณ์ได้ตั้งนางรัชชุมาลา
ไว้ในตำแหน่งเป็นลูกสาว. ลูกสะใภ้ของพราหมณ์ก็มองดูนางรัชชุมาลา
ด้วยนัยน์ตาแสดงความรัก ปฏิบัติต่อกันด้วยความสิเนหาน่าพอใจทีเดียว
ตราบเท่าชีวิตหาไม่.
ต่อนานางรัชชุมาลาตายไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นางมี
อัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร. นางประดับองค์ด้วยเครื่องอาภรณ์อันเป็นทิพย์
มีประมาณบรรทุกหกสิบเล่มเกวียน มีอัปสรพันหนึ่งห้อมล้อม เสวยทิพย์
สมบัติอย่างใหญ่หลวง มีใจเบิกบานเที่ยวเตร่ไปในสวนนันทนวันเป็นต้น.
ครั้งนั้นท่านพระมหาโมคคัลลานะไปเที่ยวเทวจาริก เห็นนางรุ่งโรจน์อยู่
ด้วยเทวานุภาพ ด้วยเทวฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ จึงถามถึงกรรมที่นางได้กระทำ
ไว้ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า

ดูก่อนเทวดา ท่านมีวรรณะงานยิ่ง กรีดกราย
มือและเท้าฟ้อนรำได้เหมาะเจาะ ในเมื่อดนตรี
บรรเลงอยู่อย่างไพเราะ เมื่อท่านนั้นร่ายรำอยู่
เสียงทิพย์อันน่าฟัง น่ารื่นรมย์ใจ ก็เปล่งออกจาก
อวัยวะน้อยใหญ่ทั่วสรรพางค์ เมื่อท่านนั้นร่ายรำอยู่
กลิ่นทิพย์ที่มีกลิ่นอันหอมหวนน่ารื่นรมย์ใจ ก็ฟุ้งขจร
ไปจากอวัยวะน้อยใหญ่ทั่วสรรพางค์ เครื่องประดับที่
มวยผมที่แกว่งไกวไปมาตามกาย ก็เปล่งเสียงกังวาน.
ให้ได้ยิน ปานประหนึ่งว่า ดนตรีเครื่อง 5 เทริดที่
ถูกลมกระพือพัดเคลื่อนไหวไปตามสายลม ก็เปล่ง
เสียงกังวานให้ได้ยิน ปานประหนึ่งว่า เสียงดนตรี
เครื่อง 5 เช่นกัน พวงมาลัยประดับเศียรของท่าน
มีกลิ่นหอมน่ารื่นรมย์ใจ ก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบไป
ทุกทิศ ดังหนึ่งต้นมัญชูสกะ (เป็นชื่อต้นไม้ใน
สวรรค์ ว่ามีกลิ่นหอมยิ่งนัก) ท่านได้สูดดมกลิ่น
หอมนั้น ทั้งได้เห็นรูปอันมิใช่ของมีอยู่ในมนุษย์
ดูก่อนเทวดา อาตมาถามท่าน ขอท่านได้โปรดบอกว่า
นี้เป็นผลของกรรมอะไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หตฺเถ ปาเท จ วิคฺคยฺห คือ ขยับมือ
และเท้าด้วยอาการหลายอย่าง อธิบายว่า ขยับมือด้วยอาการหลายอย่าง
แปลก ๆ กันออกไป ด้วยอำนาจการแสดงท่าร่ายรำต่าง ๆ อย่าง เป็นต้น
ว่า รำกำดอกไม้ รำประนมดอกไม้ และเยื้องย่างเท้าด้วยอาการหลายอย่าง

หลาก ๆ ท่าด้วยอำนาจการแสดงท่าแปลก ๆ แห่งการยืน มีการวางเท้า
เสมอกันเป็นต้น. ด้วย ศัพท์ท่านรวมเอาท่าร่ายรำไว้ด้วยกัน. บทว่า
นจฺจสิ แปลว่า ร่ายรำ. บทว่า ยา ตฺวํ ความว่า ท่านใดกระทำการ
ฟ้อนรำตามที่กล่าวมาแล้ว. บทว่า สุปฺปวาทิเต ความว่า เมื่อมีการ
บรรเลงที่เหมาะสม คือ เมื่อเครื่องดนตรีมีพิณ ซอ ตะโพน และฉิ่ง
เป็นต้นที่เขาบรรเลงอยู่ได้จังหวะกับการฟ้อนรำของท่าน ได้แก่ เมื่อ
ดนตรีเครื่อง 5 ที่เขาประโคมอยู่. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วในวิมาน
หนหลัง.
เทวดาถูกพระเถระได้ถามอย่างนี้แล้ว จึงได้พยากรณ์ชี้แจงถึงชาติ
ก่อนเป็นต้น ของตนให้ท่านทราบด้วยคาถาเหล่านี้
ในชาติก่อนดีฉันเกิดเป็นทาสีในบ้านชื่อคยา
ของพราหมณ์ มีบุญน้อย ไม่มีวาสนา คนทั้งหลาย
เรียกชื่อดีฉันว่า รัชชุมาลา ดีฉันเศร้าเสียใจมาก
เพราะถูกขู่เข็ญของผู้ที่ด่าทอและโดนตี จึงถือเอาหม้อ
น้ำออกไปทำเป็นเหมือนจะไปตักน้ำ ครั้นแล้วได้วาง
หม้อน้ำไว้ข้างทางเข้าไปยังป่าชัฏ ด้วยคิดว่า เราจัก
ตายในป่านี้แหละ จะมีประโยชน์อะไรเล่าด้วยการ
เป็นอยู่ของเราดังนี้ แล้วจึงผูกเชือกเป็นบ่วงให้แน่น
แล้วเหวี่ยงไปยังต้นไม้ ทีนั้นก็มองดูไปรอบทิศว่า
จะมีใครไหมหนอ อาศัยอยู่ในป่าบ้าง ในที่นั้นดีฉันได้
เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นมุนีบำเพ็ญประโยชน์

เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ประทับนั่งที่โคนต้นไม้ ทรงเพ่ง
พินิจอยู่ มิได้ทรงมีภัยแต่ที่ไหน ๆ ความสังเวชใจ
ทำให้เกิดขนพองสยองเกล้าอย่างไม่เคยมีได้มีแก่
ดีฉันนั้นว่า ใครหนอแลมาอยู่ในป่านี้ เป็นเทวดาหรือ
มนุษย์กันแน่ ใจของดีฉันเลื่อมใสแล้ว เพราะได้เห็น
พระองค์ผู้น่าเลื่อมใส ควรแก่ความเลื่อมใส เสด็จ
ออกจากป่า (คือกิเลส) บรรลุถึงนิพพานอันปราศจาก
ป่าแล้ว ท่านผู้นี้มิใช่คนธรรมดาสามัญเลย ท่านผู้นี้
มีอินทรีย์อันคุ้มครองแล้ว ยินดีในฌาน มีใจไม่วอก
แวกไปตามอารมณ์ภายนอก ทรงเกื้อกูลโลกทั้งมวล
จักต้องเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ท่านผู้นี้เป็นที่หวาดหวั่น
ของเหล่าผู้มิจฉาทิฏฐิ หาผู้เข้าใกล้ได้ยาก ดุจดัง
ราชสีห์อาศัยอยู่ในถ้ำ ท่านผู้นี้ยากที่จะได้เห็น
เหมือนดอกมะเดื่อ พระตถาคตนั้นตรัสเรียกดีฉันด้วย
พระดำรัสอันอ่อนหวาน นี่แน่ะรัชชุมาลา พระองค์
ท่านได้ตรัสกะดีกว่า เธอจงถึงตถาคตเป็นที่พึ่ง ดีฉัน
ได้ฟังพระดำรัสอันปราศจากโทษ ประกอบด้วย
ประโยชน์ เป็นวาจาสะอาดนิ่มนวล อ่อนโยนไพเราะ
ที่จะบรรเทาความโศกทั้งปวงได้นั้นแล้ว พระตถาคต
ผู้ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่โลกทั้งปวง ทรงทราบว่า
ดีฉันมีจิตอาจหาญดีแล้ว จึงทรงสั่งสอนดีฉันผู้เลื่อมใส
มีใจใสสะอาดแล้ว พระองค์ได้ตรัสกะดีฉันว่า นี้ทุกข์

นี้เหตุเกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางตรงให้ถึงอมตะ
ดีฉันตั้งตนอยู่ในพระโอวาทของพระองค์ผู้ทรงเอ็นดู
เฉลียวฉลาด จึงได้บรรลุทางนิพพานอันเป็นอมตะ
สงบไม่มีการจุติ ดีฉันนั้นมีความรักตั้งอยู่มั่นคงแล้ว
ไม่มีที่จะหวั่นไหวในเรื่องทัสสนะ เป็นธิดาผู้บังเกิดใน
พระอุระของพระพุทธองค์ด้วยศรัทธาที่หยั่งรากลงแล้ว
ดีฉันนั้นรื่นรมย์เที่ยวเล่นบันเทิงใจอยู่ ไม่มีสิ่งน่ากลัว
แต่ที่ไหน ๆ ทัดทรงพวงมาลัยทิพย์ ได้ดื่มน้ำหวาน
หอมที่ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า นางฟ้านักดนตรี
นับได้หกหมื่นกระทำการขับกล่อมดีฉันอยู่ เหล่า
เทพบุตรมีชื่อต่าง ๆ กันคือ ชื่ออาฬัมพะ ชื่อคัคคระ ชื่อ
ภีมะ ชื่อสาธุวาที ชื่อสังสยะ ชื่อโปกขระ ชื่อสุผัสสะ
และเหล่านางอัปสรมีชื่อว่าวีณา ชื่อโมกขา ชื่อนันทา
ชื่อสุนันทา ชื่อโสณทินนา ชื่อโมกขา ชื่อนันทา
ชื่อมิสสเกสี ชื่อปุณฑรีกา ชื่ออติทารุณี ชื่อเอณิปัสสา
ชื่อสุปัสสา ชื่อสุภัททา ชื่อมุทุกาวที เหล่านี้ล้วนแต่
เลิศกว่านางอัปศรทั้งหลายในการขับกล่อม เทวดา
เหล่านั้นเข้าไปหาดีฉันตามเวลาแล้วกล่าวเชิญชวนว่า
มาเถิด พวกเราจะฟ้อนรำ จะขับร้อง จะทำให้ท่าน
ร่าเริง ที่นี้มิใช่ที่ของผู้มีได้ทำบุญไว้ แต่เป็นที่ของ
ผู้ทำบุญไว้ สวนมหาวันของเทพยเจ้าทั้งหลาย เป็น
ที่ไม่เศร้าโศก เป็นที่น่าบันเทิง น่ารื่นรมย์ สำหรับ

ผู้ที่มิได้ทำบุญไว้ สุขไม่มีในโลกนี้และโลกหน้า สุข
ในโลกนี้และโลกหน้าจะมีแก่คนทำบุญไว้ ผู้มีประ-
สงค์จะอยู่ร่วมกับเทพเหล่านั้น ควรกระทำกุศลให้
มากไว้ เพราะผู้มีบุญอันทำไว้แล้ว ย่อมพรั่งพร้อม
ด้วยโภคสมบัติ บันเทิงในสวรรค์ พระตถาคตทั้ง
หลาย เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน เป็นบ่อเกิดแห่งบุญ-
เขตของมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมอุบัติขึ้นมาเพื่อประโยชน์
แก่ชนหมู่มากจริงหนอ ที่ทายกกระทำบุญในท่านแล้ว
ย่อมบันเทิงในสวรรค์
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทาสี อหํ ปุเรอาสึ ได้แก่ ใน
ชาติก่อนคือมีในปางก่อน ดีฉันได้เป็นนางทาสีในเรือนเบี้ย ในบทนั้น
นางกล่าวว่า ของใคร ตอบว่า ของพราหมณ์ในบ้านคยา. ของพราหมณ์
คนหนึ่งในบ้านอันมีชื่อว่าคยา. บทว่า หํ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า
อปฺปปุญฺญา คือ มีโชคน้อยไม่มีบุญ. บทว่า อลกฺขิกา คือ ปราศจาก
สิริ เป็นกาลกรรณี. บทว่า รชฺชุมาลาติ มํ วิทู คือ พวกมนุษย์เรียกชื่อ
ดีฉันว่า รัชชุมาลา ก็เนื่องด้วยมีเชือกวงแหวนที่เขาผูกไว้แน่นแล้ววางไว้
บนศีรษะ ในเมื่อเขาโกนศีรษะลำบากด้วยจับเส้นผมดึงมาดึงไป เพื่อเหตุ
นี้นี่เอง.
บทว่า วธานํ แปลว่า เฆี่ยน. บทว่า ตชฺชนาย แปลว่า
ด้วยการขู่ให้กลัว. บทว่า อุกฺคตา คือ เพราะการเกิดขึ้นแห่งโทมนัส
อย่างเหลือล้น. บทว่า อุทหาริยา คือ จะไปตักน้ำมา อธิบายว่า ทำ
เป็นเหมือนจะไปนำเอาน้ำมา.

บทว่า วิปเถ แปลว่า ในที่มิใช่ทางเดิน. ความว่า หลีกออกจาก
ทาง. บทว่า กฺวตฺโถ ตัดบทเป็น โก อตฺโถ (ประโยชน์อะไร). อีก
นัยหนึ่ง บาลีก็เป็นเช่นเดียวกัน.
บทว่า ทฬฺหํ ปาสํ กริตฺวาน คือ การทำบ่วงที่ผูกไว้ให้มั่น
ไม่ให้ขาดได้. บทว่า อาสุมฺภิตฺวาน ปาทเป คือ โยนไปที่ต้นไม้ด้วย
ทำให้คล้องไว้ที่คบไว้. บทว่า ตโต ทิสาวิโลเกสึ โก นุ โข วนมสฺสิโต
อธิบายว่า จะมีใครบ้างไหมหนอที่อยู่โดยเข้าไปสู่ป่านี้ เพราะเหตุจะเป็น
อันตรายแก่การตายของเรา.
บทว่า สมฺพุทฺธํ เป็นต้น ท่านกล่าวไว้ด้วยอำนาจความเป็นเอง
แม้เมื่อนางจะไม่มีความรู้สึกตระหนักแน่เช่นนั้น ในกาลนั้นก็ตาม. บทนั้น
มีใจความว่า พึงทราบว่า ชื่อว่าเป็นสัมพุทธะ เพราะพระองค์ตรัสรู้
ธรรมที่ควรตรัสรู้แม้ทั้งสิ้นด้วยพระองค์เองโดยแท้และโดยชอบด้วย ชื่อว่า
เป็นผู้เกื้อกูลแก่โลกทั้งมวล เพราะพระองค์มีประโยชน์เกื้อกูลโดยส่วนเดียว
แก่โลกแม้ทั้งมวลที่แตกต่างกันโดยประเภทเป็นคนเลวเป็นต้น เพราะทรง
ประกอบด้วยพระมหากรุณา ชื่อว่าเป็นมุนี เพราะทรงรู้โลกทั้งสอง ชื่อว่า
ประทับนั่งแล้วด้วยอำนาจแห่งการประทับนั่ง และด้วยไม่มีการเคลื่อนไป
จากที่ด้วยอภิสังขารคือกิเลส ชื่อว่าทรงเพ่งพินิจอยู่ด้วยอารัมมณูปนิชฌาน
และลักขณูปนิชฌาน ชื่อว่าไม่ทรงมีภัยแต่ที่ไหน ๆ เพราะไม่มีภัยแต่ที่
ไหน ๆ เพราะเหตุที่ภัยพระองค์ตัดขาดแล้วที่โคนต้นโพธิ์นั่นแล.
ญาณประกอบด้วยโอตตัปปะ ชื่อว่าความสังเวช. ความสังเวชนั้น
เกิดขึ้นแก่นางเพราะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า ตสฺมา เม อหุ สํเวโค ดังนี้.

บทว่า ปาสาทิกํ แปลว่า นำมาซึ่งความเลื่อมใส. อธิบายว่า
เป็นผู้ทำความเลื่อมใสให้เจริญยิ่งขึ้น เพราะความถึงพร้อมด้วยความงาม
แห่งพระสรีระของพระองค์อันประดับประดาด้วยพระมหาปุริสลักษณะ 32
พระอนุพยัญชนะ 80 พระรัศมีข้างละวา และพระเกตุมาลาที่ก่อให้เกิด
ความเลื่อมใสทั่วไป เป็นของให้สำเร็จประโยชน์สำหรับชนผู้ขวนขวายจะ
ดูพระรูปกาย. บทว่า ปาสาทนิยํ คือ ทรงประกอบด้วยพระธรรมกาย
สมบัติอันพรั่งพร้อมด้วยพระคุณอันหาประมาณมิได้ คือทศพลญาณ จตุ-
เวสารัชชญาณ อสาธารณญาณ 6 และเป็นแดนเกิดแห่งพระพุทธธรรม
อันประเสริฐ 18 ประการที่ชนผู้เห็นสมจะพึงเลื่อมใส. อธิบายว่า เป็นที่
ตั้งแห่งความเลื่อมใส. บทว่า วนา คือ หลีกออกจากป่าคือกิเลส. บทว่า
นิพฺพนมาคตํ คือ เข้าถึง ได้แก่บรรลุธรรมที่ปราศจากตัณหา คือนิพพาน
นั่นเอง. บทว่า ยาทิสกีทิโส คือ คนธรรมดาสามัญ อธิบายว่า คนทั่ว ๆไป.
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า มีพระอินทรีย์อันทรงคุ้มครองแล้ว
เพราะพระอินทรีย์ทั้งหลายมีใจเป็นที่ 6 พระองค์ทรงคุ้มครองได้แล้วด้วย
มรรคอันยอดเยี่ยม. ทรงพระนามว่า ยินดีในฌาน เพราะทรงยินดียิ่งใน
ผลฌานอันเลิศ. ทรงพระนามว่า มีพระทัยไม่วอกแวกไปภายนอก
เพราะทรงมีพระทัยหลีกออกจากอารมณ์มีรูปเป็นต้น อันเป็นภายนอก
แล้วหยั่งลงในพระนิพพานอันเป็นอารมณ์ภายใน. ทรงพระนามว่า เป็นที่
หวาดหวั่นของมิจฉาทิฏฐิกบุคคลผู้น่ากลัว เพราะอันมิจฉาทิฏฐิกบุคคลผู้
มีความหลงผิดด้วยกลัวจะถูกปลดเปลื้องจากการถือผิด และเพราะให้เกิด
ความกลัวแก่เขาเหล่านั้น. ทรงพระนามว่า หาผู้เข้าใกล้ได้ยาก เพราะอัน
บุคคลผู้ประโยควิบัติและอาสยวิบัติเข้าถึงไม่ได้ และอันใคร ๆ จะพึงเข้าใกล้

ไม่ได้. บทว่า ทุลฺลภายํ ตัดบทเป็น ทุลฺลโภ อยํ. บทว่า ทสฺสนาย
คือ แม้เพื่ออันเห็น. บทว่า ปุปฺผํ อุทุมฺพรํ ยถา ความว่า ดอกที่มี
ในต้นมะเดื่อเป็นของเห็นได้ยาก บางคราวก็มี บางคราวก็ไม่มี ฉันใด
การเห็นบุคคลผู้สูงสุดเช่นนี้ ก็ฉันนั้น.
พึงทราบโยชนาดังนี้ พระตถาคตนั้นทรงร้องเรียกคือตรัสเรียกดีฉัน
ว่า รัชชุมาลา ด้วยพระวาจาอันอ่อนโยน คือด้วยพระวาจาอันละเอียดอ่อน
แล้วได้ตรัสคือได้ทรงบอกดีฉันว่า ท่านจงถึงตถาคตที่กล่าวโดยนัยเป็นต้น
ว่า ผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ.
บทว่า ตาหํ ตัดบทเป็น ตํ อหํ. บทว่า คิรํ แปลว่า วาจา.
บทว่า เนลํ คือ ไม่มีโทษ. บทว่า อตฺถวตึ แปลว่า ประกอบด้วย
ประโยชน์ คือ เป็นไปกับด้วยประโยชน์ หรือว่ามีประโยชน์โดยส่วนเดียว.
วาจาชื่อว่า สะอาด เพราะเป็นวาจาที่มีความสะอาด. วาจาชื่อว่า ละเอียด
อ่อน เพราะเป็นวาจาไม่หยาบคาย. ชื่อว่าอ่อนโยน เพราะการทำเวไนย-
สัตว์ให้อ่อนโยน. ชื่อว่า ไพเราะ เพราะความเป็นวาจาน่าฟัง. บทว่า
สพฺพโสกาปนูทนํ พึงทราบสัมพันธ์ดังนี้ ดีฉันได้มีจิตเลื่อมใสแล้ว
เพราะได้ฟังพระดำรัสอันบรรเทาความโศก ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากเหตุมีความ
พินาศแห่งญาติเป็นต้นได้หมดสิ้น. นางกล่าวหมายเอาอนุบุพพีกถาของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าที่เริ่มต้นแต่ทานกถานั้นทั้งหมด สืบต่อเป็นไปด้วย
อำนาจแห่งการทำให้แจ้งซึ่งอานิสงส์ในเนกขัมมะ. เพราะเหตุนั้น นางจึง
กล่าวคำเป็นต้นว่า กลฺลจิตฺตญฺจ มํ ญตฺวา เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กลฺลจิตฺตํ คือ มีจิตอันควรแก่การงาน.
อธิบายว่า มีจิตเหมาะแก่การงานโดยเข้าถึงความเป็นภาชนะของธรรม

เบื้องหน้าจากโทษแห่งจิตมีความไม่มีศรัทธาเป็นต้นด้วยเทศนาที่เป็นไปใน
หนหลัง คือมีจิตเหมาะสมแก่ภาวนากรรม. เพราะเหตุนั้น นางจึงกล่าวว่า
ปสนฺนํ สุทฺธมานสํ. บรรดาบทเหล่านั้น นางกล่าวถึงการปราศจาก
ความไม่มีศรัทธาด้วยบทนี้ว่า ปสนฺนํ. ด้วยบทนี้ว่า สุทฺธมานสํ นางแสดง
ถึงความที่จิตอ่อนและความที่จิตมีอารมณ์เลิศด้วยการปราศจากนิวรณ์มีกาม
ฉันท์เป็นต้น. บทว่า อนุสาสิ แปลว่า ตรัสสอนแล้ว อธิบายว่า ทรง
ยกขึ้นแสดงถึงความเปลี่ยนแปลงแห่งความเป็นไปของธรรมเทศนาที่พระ-
องค์ทรงยกขึ้นแสดงเองพร้อมทั้งอุบาย เพราะเหตุนั้น นางจึงกล่าวว่า
อิทํ ทุกฺขํ เป็นต้น. เพราะคำนี้เป็นคำแสดงถึงอาการที่ทรงพร่ำสอน.
พึงทราบสัมพันธ์ในบรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทํ ทุกฺขนฺติ มํ
อโวจ
ความว่า พระองค์ได้ตรัสแก่ดีฉันว่า ธรรมชาติอันเป็นไปในภูมิ
3 มีตัณหาเป็นโทษนี้เป็นของต่ำช้า เพราะมีอันเบียดเบียนเป็นสภาพ
เป็นทุกขอริยสัจ เพราะเป็นของว่างเปล่าเป็นสภาพและเพราะเป็นของแท้.
บทว่า อยํ ทุกฺขสฺสสมฺภโว ความว่า ตัณหาต่างชนิดมีกามตัณหาเป็น
ต้นนี้ เป็นแดนเกิด คือ เป็นแดนมีขึ้น เป็นการอุบัติขึ้นเป็นเหตุ ชื่อว่า
สมุทัยอริยสัจ. บทว่า ทุกฺขนิโรโธ มคฺโค ความว่า ความสงบระงับ
แห่งทุกข์ เป็นสังขตธาตุ จัดเป็นนิโรธอริยสัจ. ชื่อว่า เป็นหนทาง
เพราะเว้นเสียได้ซึ่งที่สุด 2 อย่าง ชื่อว่า หยั่งลงสู่อมตะ เพราะเป็น
ปฏิปทามีปกติให้ถึงพระนิพพาน ชื่อว่า มรรคอริยสัจ พระองค์ได้ตรัส
กะดีฉันดังนี้.
บทว่า กุสลสฺส คือ ทรงฉลาดในการประทานพระโอวาทในการ
ทรงฝึกฝนเวไนยสัตว์ ผู้ไม่มีโทษเพราะเป็นข้อปฏิบัติเพื่อความไม่ประมาท

หรือเพราะเป็นเครื่องถึงธรรมอันสุดยอด. บทว่า โอวาทมฺหิ อหํ ฐิตา
ความว่า ดีฉันตั้งมั่นแล้วในพระโอวาท คือ ในคำพร่ำสอนตามที่กล่าว
แล้ว โดยการะเทงตลอดซึ่งสัจจะด้วยการบำเพ็ญให้บริบูรณ์ในสิกขา 3.
เพราะเหตุนั้น นางจึงกล่าวว่า อชฺฌคา อมตํ สนฺตึ นิพฺพานํ ปทมจฺจุตํ
คำนี้เป็นคำแสดงเหตุแห่งการตั้งอยู่ในพระโอวาท. นางได้บรรลุคือได้ถึง
ทางพระนิพพาน ชื่อว่า อมตะ เพราะไม่มีความตาย. เหตุเป็นของเที่ยง
ชื่อว่า สงบระงับ เพราะเข้าไปสงบระงับทุกข์ทั้งปวง. ชื่อว่า อันไม่มีจุติ
เพราะเป็นเหตุให้ผู้ได้บรรลุแล้วไม่จุติ. นางชื่อว่าตั้งอยู่ในพระโอวาทของ
พระศาสดาโดยส่วนเดียว.
บทว่า อวฏฺฐิตา เปมา คือ มีความภักดีมั่นคง ได้แก่มีความเยื่อใย
ด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย. นางเป็นผู้ไม่หวั่นไหว คือ
อันใครให้หวั่นไหวมิได้ในความเห็นชอบนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมอันพระองค์ตรัสดีแล้ว พระสงฆ์ปฏิบัติดีแล้ว
ดังนี้ เพราะเหตุที่นางชื่อว่า ไม่หวั่นไหวในทัสสนะ. ก็การไม่หวั่นไหวนั้น
มีได้เพราะอะไร เพราะเหตุนั้น นางจึงกล่าวว่า เพราะศรัทธาที่เกิดรากเหง้า
ขึ้นแล้ว . นางแสดงว่า ดีฉันมีปกติไม่หวั่นไหวเพราะศรัทธาที่เกิดรากเหง้า
ขึ้นแล้วด้วยรากเหง้า กล่าวคือการรู้แจ้งสัจจะในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดย
นัยเป็นต้นว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระอรหันต์ ใน
พระธรรมของพระองค์โดยนัยเป็นต้นว่า ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ดีแล้ว ในพระสงฆ์ของพระองค์โดยนัยเป็นต้นว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้-
มีพระภาคเจ้าปฏิบัติดีแล้ว. เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ นางจึงชื่อว่าเป็นธิดา
ผู้บังเกิดจากพระอุระของพระพุทธเจ้า คือเป็นบุตรีผู้เกิดจากพระอุระ

เพราะเป็นผู้มีกำเนิดดีอันเกิดจากความพยายามที่พระอุระของพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้า.
บทว่า สาหํ รมามิ ความว่า ดีฉันนั้นมาเกิดเป็นเทพเจ้าในบัดนี้
เพราะการเกิดเป็นพระอริยเจ้าในครั้งนั้น จึงยินดีในมรรค และยินดี
ในผล ดีฉันเที่ยวเล่นอยู่ด้วยความยินดีในกามคุณ. ดีฉันบันเทิงอยู่แม้ด้วย
ความยินดีทั้งสอง. ชื่อว่า ผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหน เพราะเป็นผู้มีภัยคือการ
ติเตียนตนเป็นต้น ไปปราศแล้ว. บทว่า มธุมทฺทวํ คือ น้ำที่กระทำ
ให้กระปรี้กระเปร่า, กระชุ่มกระชวย กล่าวคือน้ำผึ้ง นางกล่าวหมายเอาน้ำ
ที่มีกลิ่นหอมที่นำมาซึ่งความกระปรี้กระเปร่าแห่งเนื้อตัวและสุ้มเสียง ใน
เวลาฟ้อนรำและขับร้อง. บางอาจารย์กล่าวว่า มธุมาทวํ ความว่า ดีฉัน
ดื่มน้ำหวานที่ทำให้รื่นเริง เพียงเล่นสนุกสนานมีแต่เที่ยวสนุกไป.
บทว่า ปุญฺญกฺเขตฺตานมากรา ความว่า พระตถาคตเป็นบ่อเกิด
คือเป็นสถานที่เกิดขึ้นแห่งพระอริยะผู้ตั้งมั่นอยู่ในมรรคและผล ผู้เป็นบุญ-
เขตของโลกพร้อมทั้งเทวโลก คือพระอริยสงฆ์. บทว่า ยตฺถ คือ ใน
บุญเขตใด. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ท่านพระมหาโมคคัลลานะ
ฟังประวัตินี้แล้วกลับมามนุษยโลกกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้-
มีพระภาคเจ้าทรงกระทำเรื่องนั้นให้เป็นเหตุเกิดเรื่องแล้ว ทรงแสดงธรรม
แก่บริษัทที่มาประชุมกัน. เทศนานั้นได้เป็นประโยชน์แก่มหาชนแล้วด้วย
ประการฉะนี้.
จบอรรถกถารัชชุมาลาวิมาน

การพรรณนาเนื้อความแห่งมัญชิฏฐกวรรคที่ 4 ที่ประดับด้วยเรื่อง
12 เรื่อง ในวิมานวัตถุแห่งอรรถกถาขุททกนิกาย ชื่อปรมัตถทีปนี
จบแล้วด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาอิตถีวิมาน

รวมวิมานที่มีในวรรคนี้คือ


1. มัญชิฏฐกวิมาน 2. ปภัสสรวิมาน 3. นาควิมาน 4. อโลม-
วิมาน 5. กัญชิกทายิกาวิมาน 6. วิหารวิมาน 7. จตุริตถีวิมาน
8. อัมพวิมาน 9. ปีตวิมาน 10. อุจฉุวิมาน 11. วันทนวิมาน
12. รัชชุมาลาวิมาน และอรรถกถา.