เมนู

เทวดานั้นดีใจ ถูกพระโมคคัลลานะถามแล้ว
ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า

ครั้งเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในมนุษยโลก ดีฉันเห็น
สมณะทั้งหลายผู้มีศีล ไหว้เท้าทั้งหลายทำใจให้
เลื่อมใส อนึ่ง ดีฉันปลื้มใจ ได้กระทำอัญชลี
เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญนั้น
ผลอันนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารัก
จึงเกิดแก่ดีฉัน.

ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอก
พระคุณเจ้า ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ดีฉันได้กระทำบุญอัน
ใดไว้ เพราะบุญอันนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรือง
อย่างนี้ และรัศมีของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

จบวันทนวิมาน

อรรถกถาวันทนวิมาน


วันทนวิมาน มีคาถาว่า อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน เป็นต้น.
วันทนวิมานนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ กรุงสาวัตถี สมัยนั้น ภิกษุมาก
รูปด้วยกัน อยู่จำพรรษาในอาวาสใกล้บ้านแห่งหนึ่ง ครั้นออกพรรษา
ปวารณาแล้ว เก็บงำเสนาสนะ ถือบาตรจีวรเดินมุ่งไปกรุงสาวัตถี เพื่อ

เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ผ่านไปกลางหมู่บ้านตำบลหนึ่ง. หญิงคนหนึ่งใน
หมู่บ้านนั้น เห็นภิกษุทั้งหลาย มีจิตเลื่อมใสเกิดความเคารพอย่างมาก
ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วประคองอัญชลีไว้เหนือศีรษะ ยืนลืมตา
ที่แสดงความเลื่อมใส แลดูอยู่จนภิกษุทั้งหลายลับตาไป.
สมัยต่อมา หญิงนั้นทำกาลกิริยาตายไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้สอบถามเทพธิดานั้น ผู้เสวยทิพย-
สมบัติอยู่ในดาวดึงส์นั้น ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม เปล่งรัศมี
สว่างไปทุกทิศ เหมือนดาวประกายพรึก เพราะบุญ
อะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญอะไร ผล
อันนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึง
เกิดขึ้นแก่ท่าน.

ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน
ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญ
อะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และรัศมีของ
ท่านจึงสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ.

เทพธิดานั้นดีใจ ถูกพระโมคคัลลานะถาม
แล้ว ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า

ครั้งเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในมนุษยโลก ดีฉันเห็น
สมณะทั้งหลายผู้มีศีล ไหว้เท้าทั้งหลายทำใจให้
เลื่อมใส อนึ่ง ดีฉันปลื้มใจ ได้กระทำอัญชลี

เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญ
นั้น ผลอันนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะทุกอย่าง
ที่น่ารักจึงเกิดขึ้นแก่ดีฉัน.

ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอก
พระคุณเจ้า ครั้งเป็นมนุษย์ดีฉันได้กระทำบุญอันใดไว้
เพราะบุญอันนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้
และรัศมีของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทพธิดาได้พยากรณ์ด้วยคาถาเหล่านี้ ดังกล่าวมาฉะนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมเณ ได้แก่ ผู้สงบบาป. บทว่า
สีลวนฺเต ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยคุณคือศีล. บทว่า มนํ ปสาทยึ
ความว่า ดีฉันทำจิตให้เลื่อมใสปรารภคุณของสมณะเหล่านั้นว่า พระคุณเจ้า
เหล่านั้นดีหนอ เป็นธรรมจารี เป็นพรหมจารี ( เป็นผู้ประพฤติธรรม
เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์). บทว่า วิตฺตา จหํ อญฺชลิกํ อกาสึ
ความว่า ดีฉันยินดี เกิดโสมนัส ไหว้แล้ว. อธิบายว่า แม้เพียงลืมตาที่
แย้มบานด้วยความเลื่อมใส แลดูภิกษุทั้งหลายผู้น่ารัก ยังมีอุปการะมาก
แก่สัตว์เหล่านี้ จะป่วยกล่าวไปไยถึงการไหว้เล่า. ด้วยเหตุนั้น เทพธิดา
จึงกล่าวว่า เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้ ดังนี้เป็นต้น. คำที่
เหลือมีนัยดังกล่าวมาแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาวันทนวิมาน

12. รัชชุมาลาวิมาน


ว่าด้วยรัชชุมาลาวิมาน


พระมหาโมคคัลลานเถระถามเทพธิดาองค์หนึ่งว่า
[50] ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม
กรีดกรายมือและเท้าฟ้อนรำได้เหมาะเจาะ ในเมื่อ
ดนตรีบรรเลงอยู่อย่างไพเราะ เมื่อท่านนั้นร่ายรำอยู่
เสียงทิพย์อันน่าฟังน่ารื่นรมย์ใจ ก็เปล่งออกจาก
อวัยวะน้อยใหญ่ทั่วสรรพางค์ เมื่อท่านนั้นร่ายรำอยู่
กลิ่นทิพย์ที่มีกลิ่นอันหอมหวนน่ารื่นรมย์ใจ ก็ฟุ้งขจร
ไปจากอวัยวะน้อยใหญ่ทั่วสรรพางค์ เครื่องประดับที่
มวยผมที่แกว่งไกวไปมาตามกาย ก็เปล่งเสียงกังวาน
ให้ได้ยิน ปานประหนึ่งว่า ดนตรีเครื่อง 5 เทริดที่
ถูกลมกระพือพัดอ่อนไหวไปมาตามสายลม ก็เปล่ง
เสียงกังวานให้ได้ยิน ปานประหนึ่งว่า ดนตรีเครื่อง 5
เช่นกัน พวงมาลัยประดับเศียรของท่านมีกลิ่นหอม
น่ารื่นรมย์ใจ ก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบไปทุกทิศ ดังหนึ่ง
ต้นมัญชูสกะ (เห็นชื่อต้นไม้สวรรค์ ว่ามีกลิ่นหอม
ยิ่งนัก) ท่านได้สูดดมกลิ่นหอมนั้น ทั้งได้เห็นรูป
อันมิใช่ของมีอยู่ในมนุษย์ ดูก่อนเทวดา อาตมา
ถามท่าน ขอท่านได้โปรดบอกว่า นี้เป็นผลของ
กรรมอะไร.