เมนู

ไม่ชื่อว่าน้อยเลย มาเถิด มาตลี แม้ชาวเราทั้งหลาย
ก็ควรจะพากันบูชาพระบรมธาตุของพระตถาคตให้ยิ่ง
ยวดขึ้นไป เพราะการสั่งสมบุญ นำสุขมาให้ เมื่อ
พระตถาคตยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตาม เสด็จปรินิพ-
พานแล้วก็ตาม เมื่อจิตสม่ำเสมอ ผลบุญก็ย่อม
สม่ำเสมอ เพราะเหตุที่ตั้งจิตไว้ชอบ สัตว์ทั้งหลาย
ย่อมไปสู่สุคติ ทายกทั้งหลายกระทำสักการะใน
พระตถาคตเหล่าใดแล้ว ย่อมไปสู่สวรรค์ พระตถา-
คตเหล่านั้น ย่อมอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ชนเป็น
อันมากหนอ.

จบปีตวิมาน

อรรถกถาปีตวิมาน


ปีตวิมาน มีคาถาว่า ปีตวตฺเถ ปีตธเช เป็นต้น. ปีตวิมานนั้น
เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระเจ้าอชาตศัตรู
นำพระบรมสารีริกธาตุที่พระองค์ได้รับส่วนแบ่ง มาสร้างพระสถูปและ
ทำการฉลอง อุบาสิกาชาวราชคฤห์คนหนึ่งปฏิบัติกิจของร่างกายแต่เช้าตรู่
คิดจักบูชาพระศาสดาถือดอกบวบขม 4 ดอกตามที่ได้มา มีศรัทธาเกิด
ฉันทะอุตสาหะขึ้นในใจอย่างฉับพลัน มิได้คำนึงถึงอันตราย ในหนทาง

เดินมุ่งหน้าไปสู่ยังพระสถูป.
ขณะนั้น โคแม่ลูกอ่อนวิ่งสวนทางมาอย่างเร็ว ขวิดอุบาสิกานั้นให้
สิ้นชีวิต. นางทำกาลกิริยาตายในขณะนั้นเอง บังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เมื่อท้าวสักกเทวราชเสด็จทรงกรีฑาในอุทยาน นางได้ปรากฏองค์พร้อม
กับรถ ข่มเทพธิดาทั้งหมดด้วยรัศมีแห่งสรีระของตน ท่ามกลางเทพ-
นาฏกะนักฟ้อนสองโกฏิครึ่งซึ่งเป็นบริวาร ท้าวสักกเทวราชทอดพระเนตร
เห็นดังนั้น มีพระทัยพิศวง เกิดอัศจรรย์ไม่เคยเป็น ทรงดำริว่า ด้วย
กรรมอันยิ่งใหญ่เช่นไรหนอ เทพธิดาผู้นี้จึงได้เทพฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้
แล้ว ตรัสถามเทพธิดานั้นด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ดูราเทพธิดาผู้เจริญ ผู้มีผ้าเหลือง มีธงเหลือง
ประดับด้วยอลังการเหลือง มีกายลูบไล้ด้วยจันทน์
เหลือง ทัดทรงดอกอุบลเหลือง มีปราสาทเหลือง
มีที่นอนที่นั่งเหลือง มีภาชนะเหลือง มีฉัตรเหลือง
มีรถเหลือง มีม้าเหลือง มีพัดเหลือง ครั้งเกิดเป็น
มนุษย์ในชาติก่อน เจ้าได้ทำกรรมอะไรไว้ เจ้าถูกเรา
ถามแล้ว ขอจึงบอกทีเถิด นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร.

เทพธิดาแม้นั้น ก็ได้พยากรณ์แก่ท้าวสักกะนั้นด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระบาทได้น้อมนำ
ดอกบวมขม ซึ่งมีรสขมไม่มีใครปรารถนา จำนวน
4 ดอก บูชาพระสถูป ข้าพระบาทมีใจผ่องใส มุ่ง
เฉพาะพระบรมสารีริกธาตุของพระศาสดา ไม่ทัน
พิจารณาหนทางที่มาแห่งแม่โคมิได้นึกไปที่แม่โคนั้น

ทันใดนั้นแม่โคได้ขวิดข้าพระบาทผู้มีความปรารถนา
แห่งใจยังไม่ถึงพระสถูป ถ้าข้าพระบาทพึงสั่งสมบุญ
นั้นยิ่งขึ้นไซร้ ทิพยสมบัติพึงมียิ่งกว่านี้เป็นแน่ ข้า
แต่ท้าวมฆวานเทพกุญชรจอมเทพ เพราะบุญกรรม
นั้น ข้าพระบาทละกายมนุษย์แล้ว จึงมาอยู่ร่วมกับ
พระองค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปีตจฺทนลิตฺตงฺเค ได้แก่มีสรีระลูบไล้
ด้วยจันทน์มีสีดังทอง. บทว่า ปีตปาสาพสยเน ได้แก่ ประกอบด้วย
ปราสาททองทั้งหมดและที่นอนขลิบทอง ด้วยปีตศัพท์ในที่ทุกแห่งทั้งข้าง
ล่างข้างบน พึงทราบว่า ท่านหมายความถึงทองทั้งนั้น ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ลตตฺถิ ตัดบทเป็น ลตา อตฺถิ แปลว่า มีเครือเถา.
เทพธิดาเรียกท้าวสักกเทวราชด้วยความเคารพ ว่า ภนฺเต. บทว่า
อนภิจฺฉิตา แปลว่า ไม่มีใครปรารถนา.
บทว่า สรีรํ ได้แก่ พระธาตุที่เป็นพระสรีระ. อนึ่ง นี้เป็น
โวหารเรียกรวมส่วนย่อย เหมือนข้อความว่า ผ้าไฟไหม้แล้ว ทะเลเขา
เห็นแล้ว. บทว่า อสฺส ประกอบ โครูปสฺส แปลว่า ของโคนั้น. บทว่า
มคฺคํ ได้แก่ ทางที่มา. บทว่า น อเวกฺขิสฺสํ ได้แก่ ไม่ทันตรวจดู.
เพราะเหตุไร ? เพราะใจไม่นึกถึงโคนั้น. บทว่า น ตคฺคมนสา สตี
ความว่า มิได้มีใจไปจดจ่อที่แม่โคนั้น ที่แท้มีใจจดจ่อที่พระสถูปของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น. ปาฐะว่า ตทงฺคมานสาสตี ดังนี้ก็มี. ใจ
ของเทพธิดานั้นมีในองค์นั้น คือในองค์แห่งพระธาตุของพระผู้มีพระภาค-
เจ้าพระองค์นั้น เหตุนั้น เทพธิดานั้นจึงชื่อว่า ตทงฺคมนสา มีใจใน

องค์นั้น. เทพธิดาชี้แจงว่า คราวนั้น ข้าพระบาทเป็นอย่างนี้ ไม่ทัน
พิจารณาหนทางของแม่โคนั้น.
บทว่า ถูปํ อปตฺตมานสํ ได้แก่ มีอัธยาศัยยังไม่ถึงพระสถูป คือ
พระเจดีย์. จริงอยู่ ชื่อว่า มานัส เพราะมีในใจ ได้แก่อัธยาศัย คือ
มโนรถ. เทพธิดากล่าวอย่างนี้ เพราะมโนรถที่เกิดขึ้นว่า เราจักเข้าไป
ยังพระสถูปแล้วบูชาด้วยดอกไม้ทั้งหลาย ดังนี้ยังไม่สมบูรณ์. แต่จิตที่คิด
บูชาพระสถูปเจดีย์ด้วยดอกไม้ทั้งหลายสำเร็จแล้วโดยแท้ จึงเป็นเหตุให้
เทพธิดานั้นเกิดในเทวโลก.
บทว่า ตญฺจาหํ อภิสญฺเจยฺยํ ความว่า ถ้าข้าพระบาทพึงสั่งสม
อธิบายว่า ถ้าข้าพระบาทพึงสั่งสม คือเข้าไปสั่งสมโดยชอบทีเดียวซึ่งบุญ
นั้น ด้วยการบูชาด้วยดอกไม้ คือด้วยการไปถึงพระสถูปแล้วบูชาตาม
ความประสงค์. บทว่า ภิยฺโย นูน อิโต สิยา ความว่า สมบัติเห็น
ที่จะพึงมีโดยยิ่ง คือยิ่ง ๆ ขึ้นไปกว่านี้ คือกว่าสมบัติตามที่ได้อยู่แล้ว.
บทว่า มฆวา เทวกุญฺชร เป็นคำเรียกท้าวสักกะ. ในสองบทนั้น
บทว่า เทวกุญฺชร ความว่า เช่นกับกุญชรในเทวโลก โดยคุณวิเศษมี
ความบากบั่นเพื่อผลทั้งปวงเป็นต้น. บทว่า สหพฺยํ ได้แก่ ความเป็น
ร่วมกัน.
ท้าวมฆวานเทพกุญชร ผู้เป็นอธิบดีในสรรรค์
ชั้นไตรทศทรงสดับคำนี้แล้ว เมื่อจะยังเทวดาชั้น
ดาวดึงส์ให้เลื่อมใสจึงได้ตรัสคำนี้กะมาตลีเทพสารถี

นี้เป็นคำของพระธรรมสังคาหกาจารย์.
ตั้งแต่นั้น ท้าวสักกะทรงแสดงธรรมแก่หมู่เทวดา ซึ่งมีพระมาตลี

เทพสารถีเป็นประมุข ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ดูก่อนมาตลี ท่านจงดูผลแห่งกรรมอันวิจิตรน่า
อัศจรรย์นี้ ไทยธรรมที่เทพธิดานี้กระทำแล้ว ถึงจะ
น้อย บุญก็มีผลมาก เมื่อจิตเลื่อมใสในพระตถาคต-
สัมพุทธเจ้า หรือในสาวกของพระองค์ก็ตาม ทักษิณา
ไม่ชื่อว่าน้อยเลย มาเถิด มาตล แม้ชาวเราทั้งหลาย
ก็ควรจะพากันบูชาพระบรมธาตุของพระตถาคตให้ยิ่ง
ยวดขึ้นไป เพราะการสั่งสมบุญนำสุขมาให้ เมื่อ
พระตถาคตยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตาม เสด็จปรินิพ-
พานแล้วก็ตาม เมื่อจิตสม่ำเสมอ ผลบุญก็ย่อมสม่ำ
เสมอ เพราะเหตุที่ตั้งจิตไว้ชอบ สัตว์ทั้งหลายย่อมไป
สู่สุคติ ทายกทั้งหลายกระทำสักการะในพระตถาคต
เหล่าใดแล้ว ย่อมไปสู่สวรรค์ พระตถาคตเหล่านั้น
ย่อมอุบัติขึ้นเพื่ออประโยชน์แก่ชนเป็นอันมากหนอ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปสาเทนฺโต ได้แก่ กระทำให้เลื่อมใส.
อธิบายว่า ให้เกิดศรัทธาในพระรัตนตรัย.
บทว่า จิตฺตํ ได้แก่ วิจิตร คือไม่ควรคิด. บทว่า กมฺมผลํ
ประกอบความว่า ถึงไทยธรรมไม่ยิ่งใหญ่ ก็จงดูผลแห่งบุญกรรมซึ่งยิ่ง
ใหญ่ เพราะถึงพร้อมด้วยเขต และถึงพร้อมด้วยเจตนา. ในประโยคว่า
อปฺปกมฺปิ กตํ เทยฺยํ ปุญฺญํ โหติ มหปฺผลํ นี้ บทว่า กตํ ได้แก่
ประกอบไว้ในอายตนะ โดยเป็นตัวเหตุ โดยเป็นตัวสักการะ. บทว่า
เทยฺยํ ได้แก่ วัตถุที่ควรถวาย. บทว่า ปุญฺญํ ได้แก่ บุญกรรมที่เป็น

ไปอย่างนั้น.
บัดนี้ ท้าวสักกเทวราชเมื่อจะแสดงข้อที่ทำบุญถึงจะน้อยแต่ก็มีผล
มากนั้น ให้ปรากฏ จึงตรัสคาถาว่า นตฺถิ จิตฺเต ปสนฺนมฺหิ เป็นต้น.
ข้อนั้นเข้าใจง่าย.
บทว่า อมฺเหปิ ได้แก่ แม้ชาวเราทั้งหลาย. บทว่า มหามเส
ได้แก่ ควรบูชา. บทว่า เจโตปณิธิเหตุ หิ ความว่า เพราะตั้งจิตของ
คนไว้ชอบทีเดียว อธิบายว่า เพราะตั้งตนไว้ชอบ. ด้วยเหตุนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
มารดาบิดาก็ดี ญาติเหล่าอื่นก็ดี พึงทำผู้นั้น
ให้ประเสริฐไม่ได้ ส่วนจิตที่ตั้งไว้ชอบ พึงทำผู้นั้น
ให้ประเสริฐได้กว่านั้น.

ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกะจอมทวยเทพได้สั่งระงับการ
เล่นกรีฑาในอุทยาน เสด็จกลับจากอุทยานนั้นแล้ว ทรงทำการบูชา 7 วัน
ที่พระจุฬามณีเจดีย์ ซึ่งเป็นสถานที่พระองค์ทรงบูชาเนือง ๆ.
สมัยต่อมา ท้าวสักกเทวราชได้เล่าเรื่องนั้นถวายท่านพระนารท-
เถระผู้จาริกไปยังเทวโลก พระเถระได้บอกกล่าวแก่พระธรรมสังคาห-
กาจารย์ทั้งหลาย ท่านจงได้ยกเรื่องนั้นขึ้นสู่สังคายนาอย่างนั้นแล.
จบอรรถกถาปีตวิมาน

10. อุจฉุวิมาน


ว่าด้วยอุจฉุวิมาน


พระมหาโมคคัลลานเถระถามเทพธิดาองค์หนึ่งว่า
[48] ท่านส่องสว่างตลอดปฐพี เหมือน
ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ รุ่งโรจน์ล้ำโลกพร้อมทั้ง
เทวโลก ด้วยสิริ วรรณะ ยศ และเดช เหมือน
ดังท้าวมหาพรหมรุ่งโรจน์ล้ำทวยเทพชั้นไตรทศพร้อม
ทั้งองค์อินทร์ ดูราเทพธิดาผู้เลอโฉม ทัดทรงมาลัย
ดอกอุบล มีดอกไม้กรองบนศีรษะ มีผิวพรรณผุดผ่อง
ดังทองประดับองค์ทรงภูษาอันสูงสุด. อาตมาถามท่าน
ท่านเป็นใครมาไหว้อาตมา เมื่อก่อนท่านได้ทำกรรม
อะไรไว้ด้วยตน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ท่าน
สั่งสมทานหรือรักษาศีล เพราะบุญอะไร ท่านจึง
เข้าถึงสุคติ มียศ (อิสริยะ, เกียรติ, บริวาร).

ดูราเทพธิดา ท่านถูกอาตมาถามแล้ว ขอ
ท่านโปรดบอกทีเถิด นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร.

เทพธิดานั้นตอบว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ปัจจุบันพระคุณเจ้าเข้าไป
บิณฑบาตยังบ้านตำบลนี้นี่แหละ มาถึงเรือนของ
พวกดีฉัน ขณะนั้นดีฉันมีจิตเลื่อมใส เปี่ยมด้วยปีติ
ไม่มีอะไรเปรียบได้ ได้ถวายท่อนอ้อยแด่พระคุณเจ้า
แต่ภายหลัง แม่ผัวมาซักถามดีฉันว่า อีใจร้าย เจ้า