เมนู

ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันเป็น
มนุษย์ได้กระทำบุญอันใดไว้ เพราะบุญอันนั้น ดีฉัน
จึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และรัศมีของดีฉันจึง
สว่างไสวไปทุกทิศ.

จบอัมพวิมาน

อรรถกถาอัมพวิมาน


อัมพวิมาน มีคาถาว่า ทิพฺพํ เต อมฺพวนํ รมฺมํ เป็นต้น.
อัมพวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี.
สมัยนั้น อุบาสิกคนหนึ่งในกรุงสาวัตถี ได้ฟังว่า การถวายอาวาสมีผลมาก
และมีอานิสงส์มาก เกิดฉันทะความพอใจ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มีความประสงค์
จะสร้างอาวาสแห่งหนึ่ง ขอได้โปรดตรัสบอกโอกาสเช่นนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงสั่งภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายได้แสดงที่ให้อุบาสิกานั้น นาง
ได้สร้างอาวาสที่น่ารื่นรมย์ในที่นั้นแล้วให้ปลูกต้นมะม่วงรอบอาวาสนั้น.
อาวาสนั้นมีต้นมะม่วงเรียงรายล้อมรอบ สมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำ
มีภูมิภาคขาวสะอาดเกลื่อนกลาดด้วยทราย คล้ายข่ายแก้วมุกดาน่าจับใจ
เหลือเกิน.
นางตกแต่งวิหารนั้นด้วยผ้าสีต่าง ๆ และด้วยพวงดอกไม้พวงของ

หอมเป็นต้นจนดูคล้ายเทพวิมาน ติดตั้งตะเกียงน้ำมันและเอาผ้าใหม่พันต้น
มะม่วงทั้งหลายแล้วมอบถวายแด่สงฆ์.
ต่อมา นางทำกาลกิริยาตายไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ วิมาน
หลังใหญ่แวดล้อมไปด้วยสวนมะม่วงได้ปรากฏแก่นาง.
นางแวดล้อมไปด้วยหมู่อัปสรเสวยทิพยสมบัติอยู่ในวิมานนั้น ท่าน
พระมหาโมคคัลลานะเข้าไปหานางแล้ว ถามด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
สวนมะม่วงทิพย์ของท่านน่ารื่นรมย์ ในสวนนี้
มีปราสาทหลังใหญ่กึกก้องไปด้วยดนตรีต่าง ๆ เจื้อย
แจ้วไปด้วยหมู่เทพอัปสร อนึ่ง ในปราสาทนี้มีประ-
ทีปทองดวงใหญ่ สว่างไสวอยู่เป็นนิตย์ ปราสาทของ
ท่านแวดล้อมด้วยต้นไม้ที่ออกผลเป็นผ้าโดยรอบด้วย
บุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ ด้วยบุญอะไร ผลอัน
นี้จงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิด
แก่ท่าน.

ดูราเทพธิดาผู้มีอานุภาพใหญ่ อาตมาขอถาม
ท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ท่านทำบุญอะไรไว้ เพราะ
บุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และรัศมี
ของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทพธิดานั้นดีใจ ถูกพระโมคคัลลานะถามแล้ว
จึงพยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า

เมื่อชาติก่อน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์อยู่
ในมนุษยโลก ดีฉันมีจิตเลื่อมใสได้สร้างวิหารถวาย

สงฆ์ แวดล้อมไปด้วยต้นมะม่วง เมื่อสร้างวิหาร
สำเร็จเรียบร้อยแล้วได้ทำการฉลอง เอาผ้าหุ้มต้น
มะม่วงทั้งหลาย ทำผลมะม่วงด้วยผ้า ตามประทีปไว้
ที่ต้นมะม่วงนั้น ๆ นิมนต์หมู่สาวกของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ซึ่งเป็นหมู่สูงสุดให้ฉัน แล้วมอบถวาย
วิหารนั้นแด่สงฆ์ด้วยมือของตน เพราะบุญนั้น ดีฉัน
จึงมีสวนมะม่วงที่น่ารื่นรมย์ มีปราสาทหลังใหญ่ใน
สวนนี้ ซึ่งกึกก้องไปด้วยดนตรีต่าง ๆ เจื้อยแจ้วไป
ด้วยหมู่เทพอัปสร อนึ่ง ในปราสาทนี้จึงมีประทีป
ทองดวงใหญ่สว่างไสวอยู่เป็นนิตย์ ปราสาทของ
ดีฉันจึงแวดล้อมด้วยต้นไม้ที่ออกผลเป็นผ้าโดยรอบ
เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญนั้น
ผลอันนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารัก
จึงเกิดแก่ดีฉัน ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก
ดีฉันเป็นมนุษย์ได้กระทำบุญอันใดไว้ เพราะบุญข้อนั้น
ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และรัศมีของดีฉัน
จึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทพธิดานั้นได้พยากรณ์ ด้วยประการฉะนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหลฺลโก แปลว่า ใหญ่ อธิบายว่า
ไพบูลย์ คือโอฬารที่สุด ทั้งโดยส่วนยาวส่วนกว้างและส่วนสูง. บทว่า
อจฺฉราคณโฆสิโต ความว่า สนุกสนานครื้นเครงไปด้วยหมู่เทพอัปสร
ขับร้องบ้าง เจรจาน่ารักบ้าง ทำเทพธิดานั้นให้บันเทิงใจ.

บทว่า ปทีโป เจตฺถ ชลติ ความว่า ประทีปแก้วมีรัศมีรุ่งเรือง
แผ่กระจายไปดุจรัศมีพระอาทิตย์ ย่อมรุ่งเรืองยิ่งในที่นี้ คือในปราสาทนี้.
บทว่า ทุสฺสผเลหิ ความว่า ผลทั้งหลายของต้นมะม่วงเหล่านั้นเป็นผ้า
เหตุนั้น ต้นมะม่วงเหล่านั้นจึงชื่อว่าออกผลเป็นผ้า อธิบายว่า ด้วยต้น
มะม่วงเหล่านั้น คือ ที่คายผลออกมาเป็นผ้าทิพย์.
บทว่า กาเรนฺเต นิฏฺฐิเต มเห ความว่า เมื่อทำการบูชาใน
การฉลองวิหารที่สร้างสำเร็จแล้ว. บทว่า กตฺวา ทุสฺสมเย ผเล ความว่า
ทำผ้าทั้งหลายนั่นแหละให้เป็นผลของมะม่วงเหล่านั้น.
บทว่า คณุตฺตมํ ได้แก่ หมู่พระสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่ง
สูงสุดแห่งหมู่ทั้งหลาย. บทว่า นิยฺยาเทสึ ความว่า ได้มอบ คือได้ถวาย
แล้ว. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาอัมพวิมาน

9. ปีตวิมาน


ว่าด้วยปีตวิมาน


ท้าวสักกเทวราชตรัสถามเทพธิดาองค์หนึ่งว่า
[47] ดูราเทพธิดาผู้เจริญ ผู้มีผ้าเหลือง มีธง
เหลือง ประดับด้วยอลังการเหลือง มีกายลูบไล้ด้วย
จันทน์เหลือง ทัดทรงดอกอุบลเหลือง มีปราสาท
เหลือง มีที่นอนที่นั่งเหลือง มีภาชนะเหลือง มีฉัตร
เหลือง มีรถเหลือง มีผ้าเหลือง มีพัดเหลือง ครั้งเกิด