เมนู

ตระหนี่ พร้อมทั้งมูลราก ไม่ถูกเขาติเตียน ย่อมเข้า
ถึงสัคคสถานแดนสวรรค์ ดังนี้.

จบวิหารวิมาน
จบภาณวารที่ 2

อรรถกถาวิหารวิมาน


วิหารวิมาน มีคาถาว่า อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน เป็นต้น. วิหาร
วิมานนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน กรุงสาวัตถี. สมัย
นั้น มหาอุบาสิกาวิสาขาพร้อมด้วยเพื่อนหญิงและบริวารชน ต่างขะมัก
เขม้นอาบน้ำแต่งตัว เพื่อจะเที่ยวอุทยานในวันรื่นเริงวันหนึ่ง นางบริโภค
โภชนะอย่างดี ประดับมหาลดาประสาธน์แวดล้อมไปด้วยเพื่อนหญิงประ-
มาณ 500 คน ออกจากเรือนด้วยอิสริยะอันยิ่งใหญ่ ด้วยการกำหนด
การที่ยิ่งใหญ่ กำลังเดินตรงไปยังอุทยาน คิดว่า ประโยชน์อะไรของเรา
ด้วยการเล่นที่เปล่าประโยชน์ เหมือนเด็กหญิงโง่ ๆ เอาละ เราจักไป
วิหาร ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าและไหว้พระคุณเจ้าทั้งหลายที่น่า
เจริญใจ และจักฟังธรรม ถึงวิหารแล้วหยุดในที่สมควรแห่งหนึ่ง เปลื้อง
มหาลดาประสาธน์มอบไว้ในมือของหญิงรับใช้ ถวายบังคมพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่สมควรแห่งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม
แก่วิสาขามหาอุบาสิกานั้น.

นางฟังธรรมถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วทำประทักษิณ และ
ไหว้ภิกษุทั้งหลายที่น่าเจริญใจ ออกจากวิหารไปได้หน่อยหนึ่ง กล่าวกะ
หญิงรับใช้ว่า เอาละแม่สาวใช้ ฉันจักประดับเครื่องประดับ. หญิงรับใช้
นั้นห่อเครื่องประดับวางไว้ในวิหารแล้วเที่ยวไปในที่นั้น ๆ ลืมของไว้ เมื่อ
ประสงค์จะกลับนึกขึ้นได้จึงพูดว่า ดิฉันลืมของไว้เจ้าค่ะ หยุดก่อน
นายท่าน ดีฉันจักไปนำมา. นางวิสาขากล่าวว่า นี่เจ้า ถ้าเจ้าลืมเครื่อง
ประดับนั้นไว้ในวิหาร ฉันจักบริจาคเครื่องประดับเพื่อสร้างวิหารนั้นนั่น
แหละ นางไปวิหารเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถวายบังคมแล้วแจ้งความ
ประสงค์ของตน กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักสร้าง-
วิหาร ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดอนุเคราะห์รับไว้เถิด พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงรับโดยดุษณีภาพ.
นางวิสาขาสละเครื่องประดับนั้น ซึ่งมีราคาถึงเก้าโกฏิเจ็ดพันเหรียญ
สร้างปราสาทหลังใหญ่สมควรเป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า และ
เป็นที่อยู่ของภิกษุสงฆ์ ประดับด้วยห้องหนึ่งพันห้อง คือชั้นล่างห้าร้อย
ห้อง ชั้นบนห้าร้อยห้อง เช่นเสมือนเทพวิมานมีภูมิพื้นดุจคลังแก้วมณี
มีส่วนของเรือนเป็นต้นว่า ฝา เสา ขื่อ จันทัน ช่อฟ้า บานประตู
หน้าต่างและบันได ที่ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระผู้ควบคุมการก่อสร้าง
จัดไว้อย่างดี น่าจับใจ งานไม้ที่น่ารื่นรมย์ก็ตกแต่งสำเร็จเป็นอย่างดี
งานปูนก็พิถีพิถันทำอย่างดีน่าปลื้มใจ วิจิตรไปด้วยจิตรกรรมมีมาลากรรม
ลายดอกไม้ และลดากรรมลายเถาไม้เป็นต้นที่ประดับตกแต่งไว้อย่างงดงาม
และสร้างปราสาทห้องรโหฐานหนึ่งพันปราสาทเป็นบริวารของปราสาท
ใหญ่นั้น และสร้างกุฎีมณฑป และที่จงกรมเป็นต้นเป็นบริวารของปราสาท

เหล่านั้น ใช้เวลา 9 เดือนจึงสร้างวิหารเสร็จ เมื่อวิหารสำเร็จเรียบร้อย
แล้ว นางวิสาขาใช้เงินฉลองวิหารถึงเก้าโกฏิเหรียญ นางพร้อมด้วยหญิง
สหายประมาณ 500 คนขึ้นปราสาท ได้เห็นสมบัติของปราสาทนั้น ดีใจ
กล่าวกะพวกเพื่อนหญิงว่า เมื่อฉันสร้างปราสาทหลังนี้งามถึงเพียงนี้ ขอ
เธอทั้งหลายจงอนุโมทนาบุญที่ฉันขวนขวายนั้น ฉันขอให้ส่วนบุญแก่พวก
เธอ. เพื่อนหญิงทั้งหมดมีใจเลื่อมใสต่างอนุโมทนาว่า อโห สาธุ อโห
สาธุ
ดีจริง ๆ ดีจริง ๆ.
บรรดาเพื่อนหญิงเหล่านั้น เพื่อนอุบาสิกาคนหนึ่งได้ใส่ใจถึงการ
แผ่ส่วนบุญให้นั้นเป็นพิเศษ ต่อมาไม่นาน นางได้ตายไปบังเกิดในภพ
ดาวดึงส์ ด้วยบุญญานุภาพของนางได้ปรากฏวิมานหลังใหญ่ ยาวกว้าง
และสูงสิบหกโยชน์ ประดับประดาด้วยห้องรโหฐาน กำแพงอุทยาน
และสระโบกขรณีเป็นต้นมิใช่น้อย ล่องลอยอยู่ในอากาศ แผ่รัศมีของตน
ไปได้ร้อยโยชน์ อัปสรนั้น เมื่อจะเดินก็เดินไปพร้อมกับวิมาน สำหรับ
มหาอุบาสิกาวิสาขา เพราะมีจาคะไพบูลและมีศรัทธาสมบูรณ์จึงบังเกิดใน
สวรรค์ชั้นนิมมานรดี ได้ดำรงตำแหน่งอัครมเหสีของท้าวสุนิมมิตเทวราช
ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะเที่ยวจาริกไปเทวโลก เห็นเพื่อนหญิงของนาง
วิสาขานั้นเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จึงถามด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม เปล่งรัศมี
สว่างไปทุกทิศ เหมือนดาวประกายพรึก เมื่อท่าน
ฟ้อนรำอยู่ เสียงอันเป็นทิพย์ น่าฟัง น่ารื่นรมย์ใจ
ก็เปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วน กลิ่นทิพย์ที่

หอมหวนยวนใจ ก็ฟุ้งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุก
ส่วน เมื่อท่านเคลื่อนไหวกาย เครื่องประดับช้องผม
ก็เปล่งเสียงกังวานน่าฟังไพเราะ ดุจดนตรีเครื่อง 5
มาลัยประดับศีรษะที่ช้องผมถูกลมพัดไหว ก็ส่งเสียง
กังวานไพเราะดุจดนตรีเครื่อง 5 แม้พวงมาลัยบน
ศีรษะของท่าน ก็มีกลิ่นหอมหวนยวนใจ หอมฟุ้งไป
ทุกทิศ ดุจต้นอุโลกฉะนั้น ดูก่อนเทพธิดา ท่าน
สูดดมกลิ่นที่หอมหวน เห็นรูปทิพย์ซึ่งมิใช่ของมนุษย์
ท่านถูกอาตมาถามแล้วโปรดบอกทีเถิด นี้เป็นผลของ
กรรมอะไร.

แม้เทพธิดานั้นก็ได้พยากรณ์แก่พระอนุรุทธเถระอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นางวิสาขามหา-
อุบาสิกาสหายของดีฉันอยู่ในกรุงสาวัตถี ได้สร้าง
มหาวิหารถวายสงฆ์ ดีฉันเห็นมหาวิหารและการ
บริจาคทรัพย์อุทิศสงฆ์ ซึ่งเป็นที่รักของดีฉัน เลื่อมใส
ในบุญนั้นจึงอนุโมทนา ดีฉันได้วิมานที่อัศจรรย์น่า
ทัศนา ด้วยอนุโมทนาอันบริสุทธิ์นั้นเอง วิมานลอย
ไปในเวหาเปล่งรัศมี 2 โยชน์ โดยรอบด้วยฤทธิ์
ของดีฉัน ห้องรโหฐานที่อยู่อาศัยของดีฉัน อันบุญ
กรรมจัดไว้เป็นพิมพ์เดียวกัน ประหนึ่งเนรมิตไว้เป็น

ส่วน ๆ เมื่อส่องแสงก็ส่องสว่างไปร้อยโยชน์โดย
รอบทิศ อนึ่ง ที่วิมานของดีฉันนั้น มีสระโบกขรณี
ที่หมู่มัจฉาชาติอยู่อาศัยประจำ มีน้ำใสสะอาดปูลาด
ด้วยทรายทอง ดาดาษไปด้วยปทุมบัวหลวงหลากชนิด
อันบุณฑริกบัวขาวรายล้อมไว้รอบ ยามลมรำเพย
พัดก็โชยกลิ่นหอมระรื่น จรุงใจ มีรุกขชาตินานา-
ชนิด คือ หว้า ขนุน ตาล มะพร้าว และวนะ
ทั้งหลาย เกิดเองภายในนิเวศน์ มิได้มีใครปลูก
วิมานนี้กึกก้องรูปด้วยนานาดนตรี เหล่าอัปสรเทพ-
นารี ก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว แม้นรชนที่ฝันเห็นแล้ว
ก็จะพึงปลื้มใจ วิมานมีรัศมีสว่างไสวไปทุกทิศ น่า
อัศจรรย์จิต น่าทัศนาเช่นนี้ บังเกิดเพราะกุศลกรรม
ของดีฉัน ( ฉะนั้น ) จึงควรแท้ที่สาธุชนจะทำบุญ
กันไว้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาวตฺถิยํ มยฺหํ สขี ภทนฺเต
สงฺฆสฺส กาเรสิ มหาวิหารํ
ความว่า ข้าแต่ท่านพระอนุรุทธะ มหา-
อุบาสิกาวิสาขา เพื่อนคือสหายของดีฉันผู้นี้แหละ ได้สร้างวิหารใหญ่
นามว่า บุพพาราม ด้านทิศตะวันออก แห่งกรุงสาวัตถี ด้วยการบริจาค
ทรัพย์เก้าโกฏิเหรียญ อุทิศภิกษุสงฆ์ทั้งสี่ทิศที่พากันมา.
บทว่า ตตฺถ ปสนฺนา อหมานุโมทึ ความว่า เมื่อสร้างวิหาร
นั้นสำเร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังมอบถวายแด่สงฆ์อยู่ และนางทำปัตติทาน

ให้ส่วนบุญ ดีฉันเลื่อมใสว่า โอ ! เขาบริจาคสมฐานะจริง ๆ และเกิด
ปสาทะในพระรัตนตรัยและผลแห่งกรรม จึงได้อนุโมทนา. เพื่อแสดง
ว่าการอนุโมทนาของนางโอฬารยิ่งใหญ่ เพราะอำนาจวัตถุ เทพธิดาจึง
กล่าวว่า ทิสฺวา อคารญฺจ ปิยญฺจ เมตํ ดังนี้ ประกอบความว่า ดีฉัน
เห็นอาคารนั้นคือปราสาทใหญ่ มีห้องหนึ่งพันห้องน่ารื่นรมย์เหลือเกิน
คล้ายเทพวิมาน และเห็นการบริจาคทรัพย์มากเช่นนั้น อุทิศภิกษุสงฆ์มี
พระพุทธเจ้าเป็นประมุข ซึ่งเป็นที่รักของดีฉัน จึงอนุโมทนา.
บทว่า ตาเยว เม สุทฺธนุโมทนาย ความว่า ด้วยอนุโมทนา
อันบริสุทธิ์ สิ้นเชิง เพราะไม่มีการบริจาคไทยธรรมดังกล่าวแล้ว. บทว่า
ลทฺธํ วิมานพฺภูตทสฺสเนยฺยํ ความว่า วิมานนี้ ชื่อว่า อัศจรรย์เพราะ
ไม่เคยมีวิมานเช่นนี้มาก่อน และชื่อว่า น่าทัศนา เพราะน่าเจริญใจรอบ
ด้าน และเพราะน่ารักเหลือเกิน ดีฉันก็ได้แล้ว คือประสบแล้ว. ครั้น
แสดงว่าวิมานนั้นสวยงามอย่างนี้แล้ว บัดนี้ถึงจะแสดงว่าวิมานนั้นใหญ่
โดยขนาด ใหญ่โดยอำนาจ และใหญ่โดยเป็นของใช้ เทพธิดาจึงกล่าว
คำเป็นต้นว่า สมนฺตโต โสฬสโยชนานิ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อิทฺธิยา มม ความว่า ด้วยบุญฤทธิ์ของดีฉัน.
บทว่า โปกฺขรญฺโญ แปลว่า สระโบกขรณี. บทว่า ปุถุโลม-
นิเสวิตา
แปลว่า มัจฉาทิพย์ทั้งหลายเข้าอยู่อาศัย.
บทว่า นานาปทุมสญฺฉนฺนา ความว่า ปกคลุมด้วยปทุมแดงและ
บัวแดงหลากอย่างต่างโดยชนิดร้อยกลีบและพันกลีบเป็นต้น. บทว่า
ปุณฺฑรีกสโมตตา ความว่า มีบัวขาวชนิดต่าง ๆ รายล้อมโดยรอบ
ประกอบความว่า รุกขชาตินานาชนิด ที่มิได้มีใครปลูก โชยกลิ่นหอม

ตลบอบอวล. บทว่า โสปิ ได้แก่ ผู้นั้น คือคนแม้ที่ฝันเห็น. บทว่า
วิตฺโต แปลว่า ยินดีแล้ว.
บทว่า สพฺพโส ปภํ ความว่า ส่องสว่างอยู่โดยรอบ. บทว่า
กมฺเม แปลว่า ในเพราะกรรม. บทว่า หิ เป็นเพียงนิบาต. อีกอย่างหนึ่ง
ท่านกล่าวว่า กมฺเมหิ เพราะอปราปรเจตนาที่เกิดขึ้นดีมาก. บทว่า อลํ
แปลว่า ควร. บทว่า กาตเว แปลว่า เพื่อทำ.
บัดนี้ พระอนุรุทธเถระประสงค์จะให้นางบอกสถานที่ ที่นางวิสาขา
บังเกิด จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า
ท่านได้วิมานที่อัศจรรย์น่าทัศนา ด้วยอนุ-
โมทนาอันบริสุทธิ์นั้นเอง ขอท่านจงบอกคติของนาง
วิสาขา ผู้ที่ได้ถวายทานนั้น นางวิสาขานั้นเกิดที่ไหน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยา เจว สา ทานมทาสิ นารี
ความว่า ท่านได้เฉพาะสมบัติเช่นนี้ ด้วยอนุโมทนาทานใด พระเถระ
กล่าวทานนั้นหมายถึงมหาอุบาสิกาวิสาขาว่า ยา เจว สา นารี อทาสิ
ดังนี้. พระอนุรุทธเถระประสงค์จะให้เทพธิดานั่นแหละบอกถึงสมบัติของ
นางวิสาขา จึงได้กล่าวว่า ตสฺสา คตึ พฺรูหิ กุหึ อุปฺปนฺนา สา ดังนี้.
บทว่า ตสฺสา คตึ ได้แก่ การบังเกิดของนางวิสาขานั้นคือเทวคติ.
บัดนี้ เมื่อเทพธิดาจะแสดงเนื้อความที่พระเถระนั้นถาม จึงได้
กล่าวว่า
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ วิสาขามหาอุบาสิกา
นั้นเป็นสหายของดีฉัน ได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์

เธอรู้แจ้งธรรม ได้ถวายทานเกิดในสวรรค์ชั้นนิม-
มานรดี เป็นปชาบดีของท้าวสุนิมมิตนั้น วิบากแห่ง
กรรมของนางวิสาขามหาอุบาสิกานั้น อันใคร ๆ ไม่
ควรคิด ดีฉันได้พยากรณ์ที่เกิดของนางวิสาขาที่
พระคุณเจ้าถามว่า นางวิสาขานั้นเกิดที่ไหน โดย
ถูกต้อง ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิญฺญาตธมฺมา ได้แก่ รู้แจ้งศาสน-
ธรรม อธิบายว่า เป็นผู้แทงตลอดธรรม คืออริยสัจ 4.
บทว่า สุนิมฺมิตสฺส ได้แก่ ของท้าวสุนิมมิตเทวราช. บทว่า
อจินฺติโย กมฺมวิปาก ตสฺสา เป็นนิทเทสชี้แจงที่ลบวิภัตติ. ความว่า
วิบากแห่งกรรมของเพื่อนหญิงของดีฉันผู้เกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดีนั้น
เป็นวิบากแห่งบุญกรรม คือเป็นทิพยสมบัติอันใคร ๆ ไม่พึงคิด คือ
ประมาณไม่ได้. บทว่า อนญฺญถา ได้แก่ ไม่ผิด คือตามเป็นจริง.
ถามว่า ก็นางเทพธิดานี้รู้ถึงสมบัติของนางวิสาขาได้อย่างไร. ตอบว่า
แม้วิสาขาเทพธิดาก็ไปหาเทพธิดาองค์นั้น เหมือนเทพธิดานางสุภัททาไป
หานางภัททา. บัดนี้ เทพธิดาเมื่อจะแนะพระเถระให้ช่วยชักชวนคนอื่น ๆ
ถวายทาน จึงแสดงธรรมด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ถ้าอย่างนั้น ขอพระคุณเจ้าโปรดชักชวน แม้
คนอื่น ๆ ว่า พวกท่านจงปลื้มใจถวายทานแด่สงฆ์
เถิด และจงมีใจเลื่อมใสฟังธรรม ลาภคือการได้
ความเป็นมนุษย์เป็นการได้แสนยาก พวกท่านก็ได้

แล้ว พระพุทธเจ้ามีพระสุรเสียงดังพรหม มีพระ-
ฉวีวรรณดังทองคำ เป็นอธิบดีแห่งบรรดา ได้ทรง
แสดงมรรคาไรเล่าไว้ ท่านทั้งหลายจงปลื้มใจถวาย
ทานแด่สงฆ์ ซึ่งเป็นเขตที่ทักษิณามีผลมาก บุคคล
เหล่าใด 8 จำพวก 4 คู่ ที่ท่านผู้รู้สรรเสริญแล้ว
บุคคลเหล่านั้นเห็นพระทักขิไณยบุคคลเป็นสาวกของ
พระสุคต ทานที่ถวายในบุคคลเหล่านี้ มีผลมาก
ท่านที่ปฏิบัติอริยมรรค 4 และท่านที่ดำรงอยู่ใน
อริยผล 4 นั้น คือสงฆ์ เป็นผู้ซื่อตรง มั่นคงอยู่ใน
ปัญญาและศีล เมื่อมนุษย์ทั้งหลายผู้มุ่งบุญบูชา
กระทำบุญอย่างยิ่ง ทานที่ถวายในสงฆ์ย่อมมีผลมาก
ด้วยว่า พระสงฆ์นี้เป็นเขตที่กว้างใหญ่ คำนวณนับ
มิได้เหมือนสาครมหาสมุทร นับจำนวนน้ำมิได้ ก็
พระสงฆ์เหล่านี้เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นสาวกของ
พระพุทธเจ้าผู้มีความเพียร เป็นผู้สร้างแสงสว่าง
กล่าวสอนธรรม ชนเหล่าใดถวายทานอุทิศพระสงฆ์
ทานของชนเหล่านั้นเป็นอันถวายดีแล้ว เช่นสรวง
ดีแล้ว บูชาดีแล้ว ทักษิณานั้น ถึงสงฆ์ดำรงมั่น มี
ผลมาก พระผู้รู้โลกทรงสรรเสริญแล้ว ชนเหล่าใด
ยังท่องเที่ยวอยู่ในโลก หวนระลึกถึงบุญเช่นนี้ได้

เกิดความรู้ พึงคำจัดมลทินคือความตระหนี่พร้อมทั้ง
มูลราก ไม่ถูกเขาติเตียน ย่อมเข้าถึงสัคคสถานแดน
สวรรค์ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตนหญฺเญปิ ตัดบทเป็น เตนหิ
อญฺเญปิ
และบทว่า เตน ได้แก่ ด้วยเหตุนั้น. บทว่า หิ เป็นเพียง
นิบาต. เทพธิดากล่าวว่า สมาทเปถ แล้วกล่าวคำเป็นต้นว่า สงฺฆสฺส
ทานานิ ททาถ
ดังนี้ เพื่อแสดงอาการชักชวน. เทพธิดากล่าวว่า
สุทุลฺลโภ ลทฺโธ มนุสฺสลาโภ ดังนี้ หมายเอาความเป็นมนุษย์ซึ่งเว้น
จากอขณะ 8 อย่าง. ในข้อนั้น อขณะ 8 ได้แก่ อบายส่วนอรูป 3
อสัญญีสัตว์ 1 ปัจจันตประเทศ 1 อินทรีย์บกพร่อง 1 ความเป็น
นิยตมิจฉาทิฏฐิ 1 ความไม่ปรากฏพระพุทธเจ้า 1.
บทว่า ยํ มคฺคํ ได้แก่ ทานใด ที่กระทำในเขตอันพิเศษ ทำ
ทานนั้นให้เป็นทางไปสู่สุคติ เพราะให้ถึงสุคติโดยส่วนเดียว ให้เป็น
อธิบดีแห่งทาง เพราะเป็นทางประเสริฐเหลือเกิน กว่าทางอบาย และ
กว่าทางเดินเท้าเป็นต้น ความจริง แม้ทาน ท่านก็เรียกว่า ทางไป
เทวโลก เหมือนศรัทธาและหิริ เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ไว้ว่า
ศรัทธา หิริ และกุศลทาน ธรรมเหล่านี้ไป
ตามสัตบุรุษ สัตบุรุษกล่าวธรรมนี้แหละว่าเป็นทาง
ทิพย์ เพราะสัตว์ย่อมไปเทวโลกด้วยทางทิพย์นี้.

ปาฐะว่า มคฺคาธิปติ ดังนี้ก็มี. พึงเห็นเนื้อความของปาฐะนั้นว่า
พระศาสดาทรงเป็นอธิบดีของโลกพร้อมทั้งเทวโลกด้วยอริยมรรค. เทพ-
ธิดาเมื่อจะประกอบชนไว้ในการจำแนกทานในทักขิไณยบุคคลอีก จึง
กล่าวด้วยคำเป็นต้นว่า สงฺฆสฺส ทานานิ ททาถ ดังนี้.
บัดนี้ เมื่อจะแสดงอริยสงฆ์ผู้เป็นทักขิไณยบุคคลนั้นโดยย่อ เทพธิดา
จึงกล่าวคาถาว่า เย ปุคฺคลา อฏฺฐ สตํ ปสตฺถา ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เย เป็นนิทเทสชี้แจงโดยไม่แน่นอน.
บทว่า ปุคฺคลา ได้แก่ สัตว์. บทว่า อฏฺฐ เป็นการกำหนดจำนวนพระ-
อริยบุคคลเหล่านั้น ด้วยว่า พระอริยบุคคลเหล่านั้นมี 8 คือ ผู้ตั้งอยู่ใน
มรรค 4 และผู้ตั้งอยู่ในผล 4.
บทว่า สตํ ปสตฺถา ความว่า อันสัตบุรุษทั้งหลาย คือ พระ-
พุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวก และเทวดาและมนุษย์อื่น ๆ
สรรเสริญแล้ว เพราะเหตุไร ? เพราะประกอบด้วยคุณมีศีลที่เป็นสหชาต
เกิดพร้อมกันเป็นต้น ความจริง คุณทั้งหลายมีศีลและสมาธิที่เกิดพร้อมกัน
เป็นต้น ของพระอริยบุคคลเหล่านั้น เหมือนสีและกลิ่นที่เกิดพร้อมกัน
เป็นต้น ของดอกไม้ทั้งหลายมีดอกจำปาและดอกพิกุลเป็นต้น ด้วย
เหตุนั้น คุณเหล่านั้นจึงเป็นคุณที่รักที่ชอบใจและเป็นที่สรรเสริญของสัตบุรุษ
ทั้งหลาย เหมือนดอกไม้ที่สมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นเป็นต้น เป็นที่รักที่ชอบ
ใจของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายฉะนั้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เย
ปุคฺคลา อฏฺฐ สตํ ปสตฺถา
ดังนี้.
อนึ่ง พระอริยบุคคลเหล่านั้น โดยสังเขปมี 4 คู่ คือ พระอริย-

บุคคลผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค พระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในผล รวมเป็น
คู่ 1 จนถึงพระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในอรหัตมรรค พระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่
ในผล รวมเป็นคู่ 1 ด้วยประการฉะนี้ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
จตฺตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนฺติ เต ทกฺขิเณยฺยา ดังนี้.
บทว่า เต เป็นบทแสดงกำหนดแน่นอนถึงพระอริยบุคคลที่ยกขึ้น
แสดงไว้ไม่แน่นอนทีแรก จริงอยู่ พระอริยบุคคลเหล่านั้นทั้งหมด ย่อม
ควรทักษิณา กล่าวคือไทยธรรมที่บุคคลเชื่อกรรมและผลแห่งกรรมพึง
ถวาย ดังนั้น จึงชื่อว่า ทักขิเณยยะ ผู้ควรทักษิณา เพราะทำทานให้สำเร็จ
เป็นทานมีผลมาก เพราะประกอบด้วยคุณวิเศษ [คุณาติเรกสัมปทา].
บทว่า สุคตสฺส สาวกา ความว่า ชื่อว่า สาวก เพราะฟังธรรมนั้นของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเกิดโดยอริยชาติ เมื่อฟังธรรมจบ.
บทว่า เอเตสุ ทินฺนานิ มหปฺผลานิ ความว่า ทานทั้งหลายแม้
น้อย ที่ถวายสาวกของพระสุคตเหล่านี้ ก็ชื่อว่ามีผลมาก เพราะทักษิณา
บริสุทธิ์โดยปฏิคาหก เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย หมู่ก็ตาม คณะก็ตาม มีประมาณเพียงใด หมู่สาวกของตถาคต
เรากล่าวว่าเป็นยอดของหมู่คณะเหล่านั้น ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า จตฺตาโร ปฏิปนฺนา เป็นต้น มีเนื้อความดังกล่าวมาแล้ว
ในหนหลัง. บทที่เหลือก็มีนัยดังกล่าวแล้วเหมือนกันแล.
ส่วนในที่นี้ ท่านพระอนุรุทธะกลับมนุษยโลกแล้ว ได้กราบทูล
เนื้อความที่ตนและเทพธิดาพูดกัน ถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าได้ทรงทำเนื้อความนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง ทรงแสดง

ธรรมแก่บริษัทที่ประชุมกัน พระธรรมเทศนานั้นได้เป็นประโยชน์แก่
มหาชน ดังนี้แล.
จบอรรถกถาวิหารวิมาน

7. จตุริตถีวิมาน


ว่าด้วยจตุริตถีวิมาน


เทพธิดาองค์ที่ 1


พระมหาโมคคัลลานเถระถามเทพธิดาองค์หนึ่งว่า
[45] ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม ฯ ล ฯ
เปล่งรัศมีสว่างไปทุกทิศ เหมือนดาวประกายพรึก
เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญ
อะไร ผลอันนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่าง
ที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.

ดูก่อนเทพธิดา ผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอ
ถาม ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไร เพราะ
บุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และมีรัศมี
สว่างไสวไปทุกทิศ.

เทวดานั้นดีใจ ถูกพระโมคคัลลานะถามแล้ว
ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า

ดีฉันได้ถวายดอกราชพฤกษ์กำมือหนึ่ง แด่
ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาตในนครปัณณกตะ ซึ่งตั้งอยู่บน