เมนู

ธรรมชาติ ได้ทรงแสดงทุกขสัจและสมุทัยสัจ และ
ได้ทรงแสดงทุกขนิโรธ อันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้
และมรรคสัจแก่ดีฉัน โดยประการที่ดีฉันจักรู้แจ้งได้
ดีฉันเป็นคนมีอายุน้อย ทำกาละ (ตาย) จุติจาก
ชาตินั้นแล้ว ไปเกิดในชั้นไตรทศ ( ดาวดึงส์) เป็น
ผู้เรืองยศ เป็นปชาบดีองค์หนึ่งของท้าวสักกะ นามว่า
ยสุตตรา ปรากฏไปทุกทิศ.

จบนาควิมาน

อรรถกถานาควิมาน


นาควิมาน มีคาถาว่า อลงฺกตา มณิกญฺจนาจิตํ เป็นต้น.
นาควิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ อิสิปตนมฤคทายวัน กรุง-
พาราณสี.
สมัยนั้น อุบาสิกาชาวพาราณสีคนหนึ่งมีศรัทธาปสาทะ สมบูรณ์
ด้วยศีลและจรรยา นางให้ทอผ้าคู่ อุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้ซัก
ย้อมดีแล้ว เข้าเฝ้าวางผ้าไว้แทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้ว
กราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรด
อนุเคราะห์ทรงรับผ้าคู่นี้ ซึ่งจะพึงเป็นประโยชน์ เป็นสุขตลอดกาลนาน
แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับผ้าคู่นั้น ทรงเห็น
อุปนิสัยสมบัติของนาง จึงทรงแสดงธรรม. จบเทศนา นางดำรงอยู่ใน
โสดาปัตติผล ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณแล้วกลับบ้าน.

ต่อมาไม่นานนัก นางตายไปเกิดในภพดาวดึงส์ ได้เป็นที่สนิทเสน่หาของ
ท้าวสักกเทวราช มีนามว่า ยสุตตรา. ด้วยบุญญานุภาพของนาง ก็บังเกิด
กุญชรชาติตัวประเสริฐ คลุมด้วยข่ายทอง ที่คอของกุญชรนั้นมีมณฑป
แก้วมณี กลางมณฑปก็บังเกิดรัตนบัลลังก์ที่ตกแต่งไว้อย่างดี และที่งา
ทั้งสองของกุญชรนั้น ปรากฏมีสระโบกขรณี 2 สระ ดาดาษไปด้วย
ดอกปทุมบานสะพรั่งน่ารื่นรมย์ ในดอกปทุมนั้น ๆ มีเทพธิดายืนอยู่ตาม
กลีบปทุม ประโคมดนตรีเครื่อง 5 และขับร้องกัน.
พระศาสดาประทับที่กรุงพาราณสี ตามพระพุทธอัธยาศัย แล้ว
เสด็จจาริกไปยังกรุงสาวัตถี. ครั้นเสด็จถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับแล้ว ได้
ยินว่า ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้น เทพธิดานั้นตรวจดู
ทิพยสมบัติที่คนเสวยอยู่ ทบทวนถึงเหตุที่ได้เสวยทิพยสมบัติ ทราบว่า
เหตุคือถวายผ้าคู่แด่พระศาสดา เกิดโสมนัส เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาค-
เจ้ามาก ประสงค์จะถวายบังคม ครั้นล่วงราตรีปฐมยาม นางนั่งเหนือคอ
ช้างตัวประเสริฐ เหาะมาลงจากคอช้างนั้นแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้ว ยืนประคองอัญชลีอยู่ ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง. ท่านพระวังคีสะ
โดยพระพุทธานุญาติ ได้ถามนางด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ท่านประดับองค์แล้ว ขึ้นนั่งคชสารตัวประเสริฐ
ซึ่งมีขนาดใหญ่ งามไปด้วยแก้วและทอง วิจิตร
ด้วยข่ายทอง ผูกสายรัดประคนเรียบร้อย เลื่อนลอย
ในอากาศเวหามาในที่นี้ ที่งาทั้งสองของคชสาร มี

สระโบกขรณีที่เนรมิตไว้ มีน้ำใสสะอาด ดาดาษไป
ด้วยดอกปทุมบานสะพรั่ง ดอกปทุมทั้งหลาย มีหมู่
เทพอัปสรนักดนตรีพากันมาขับร้องประสานเสียง
และฟ้อนรำ ชวนให้เกิดความประทับใจ.

ดูก่อนเทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก ท่านบรรลุเทว-
ฤทธิ์แล้ว ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไรไว้
เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้
และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทั่วทิศ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลงฺกตา ได้แก่ ประดับประดาด้วย
อาภรณ์ทุกอย่าง. บทว่า มณิกญฺจนาจิตํ ความว่า ประดับด้วยแก้วและ
ทองซึ่งนับว่าเป็นทิพย์เหล่านั้น. บทว่า สุวณฺณชาลจิตํ ได้แก่ คลุมด้วย
ข่ายทอง. บทว่า มหนฺตํ ได้แก่ไพบูลย์ [สูงใหญ่ ]. บทว่า สุกปฺปิตํ
ความว่า ผูกสอดอย่างดีด้วยเครื่องผูกสอดสำหรับเดิน. บทว่า เวหาสยํ
ได้แก่ เหนือหลังช้างกลางหาว. บทว่า อนฺตลิกฺเข ได้แก่ ในอากาศ.
ปาฐะว่า อลงฺกตมณิกญฺจนาจิตํ ดังนี้ก็มี และในข้อนี้มีความย่อดัง
ต่อไปนี้ ดูก่อนเทพธิดา ท่านประดับองค์ด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง
ขึ้นช้างตัวประเสริฐ คือช้างสูงสุดเป็นช้างขนาดใหญ่ คือใหญ่เหลือเกิน
งามด้วยแก้วและทองที่ประดับแล้ว ระยับด้วยแก้วและทองซึ่งนับว่าเป็น
ทิพย์อย่างยิ่ง โดยทำให้เป็นของที่ประดับอยู่แล้ว คอบคลุมด้วยข่ายทอง
คือเครื่องประดับช้าง ต่างโดยเครื่องประดับกระพองเป็นต้น นั่งบนหลัง
ช้างเหาะลงในที่นี้เข้ามาหาเรา.

บทว่า นาคสฺส ทนฺเตสุ ทุเวสุ นิมฺมิตา ความว่า ที่งาทั้งสอง
ของช้างนี้ ศิลปินผู้ชำนาญสร้างสระโบกขรณีไว้อย่างดีสองสระ เหมือน
ของพระยาช้างเอราวัณ. บทว่า ตุริยคณา ได้แก่ หมู่เทพอัปสรนักดนตรี
เครื่อง 5 คือกลุ่มเทพอัปสรนักดนตรีเครื่อง 5. บทว่า ปภิชฺชเร ความว่า
แยกเสียงประสาน 12 ประเภท เกจิอาจารย์กล่าวว่า ปวชฺชเร บ้าง
อธิบายว่า บรรเลงหลายประการ. ถูกพระเถระถามอย่างนี้แล้ว เทพธิดา
ก็กล่าวตอบ ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ดีฉันได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่กรุงพาราณสี ได้
ถวายผ้าคู่หนึ่งแด่พระพุทธเจ้า ถวายบังคมพระยุคล-
บาท แล้วนั่งอยู่ที่พื้นดิน ดีฉันปลื้มใจได้กระทำ
อัญชลี อนึ่ง พระพุทธเจ้ามีพระฉวีวรรณผุดผ่องดุจ
ทองคำธรรมชาติ ได้ทรงแสดงทุกขสัจและสมุทัยสัจ
และได้ทรงแสดงทุกขนิโรจสัจ อันปัจจัยปรุงแต่ง
ไม่ได้ และมรรคสัจแก่ดีฉัน โดยประการที่ดีฉันจักรู้
แจ้งได้ ดีฉันเป็นคนมีอายุน้อย ทำกาละ [ ตาย ]
จุติ จากชาตินั้นแล้ว ไปเกิดในชั้นไตรทศ [ ดาว-
ดึงส์ ] เป็นผู้เรืองยศ เป็นปชาบดีองค์หนึ่งของท้าว-
สักกะ นามว่า ยสุตตรา ปรากฏไปทุกทิศ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉมา แปลว่า ที่พื้นดิน. จริงอยู่ บท
นี้เป็นปฐมาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ. บทว่า วิตฺตา แปลว่า
ยินดีแล้ว. บทว่า ยโต แปลว่า โดยประการใด คือ โดยพระศาสดา

ทรงแสดงสามุกังสิกธรรมเทศนายกขึ้นแสดงเอง ( ไม่ต้องปรารภคำถาม
เป็นต้นของผู้ฟัง ได้แก่เทศนาเรื่องอริยสัจ ). บทว่า วิชานิสฺสํ ความว่า
จักแทงตลอดอริยสัจ 4.
บทว่า อปฺปายุกี ความว่า เป็นผู้มีอายุน้อย เพราะกรรมสิ้นสุด
ดุจที่เกิดต่อเนื่องกันว่า เพราะทำบุญอันโอฬารเช่นนี้ ท่านจึงไม่ต้องดำรง
อยู่อย่างนี้ในอัตภาพมนุษย์ที่มากไปด้วยความทุกข์นี้. บทว่า อญฺญตรา
ปชาปติ
ความว่า เป็นปชาบดี องค์หนึ่ง บรรดาปชาบดีหมื่นหกพันองค์
[ของท้าวสักกะ]. บทว่า ทิสาสุ วิสฺสุตา ความว่า ปรากฏ คือ รู้จัก
ทั่วไปในทิศทั้งปวง ในเทวโลกทั้งสอง. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้ว
นั่นแล.
จบอรรถกถานาควิมาน

4. อโลมวิมาน


ว่าด้วยอโลมวิมาน


พระมหาโมคคัลลานเถระถามเทพธิดาองค์หนึ่งว่า
[42] ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามเปล่ง
รัศมีสว่างไปทุกทิศ เหมือนดาวประกายพรึก เพราะ
บุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญอะไร
ผลอันนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารัก
จึงเกิดแก่ท่าน.