เมนู

มัญชิฏฐกวรรควรรณนาที่ 4


อรรถกถามัญชิฏฐกวิมาน


มัญชิฏฐกวิมาน มีคาถาว่า มญฺชิฏฺฐเก วิมานสฺมึ โสวณฺณ-
วาลุกสนฺถเต
เป็นต้น. วิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่กรุงสาวัตถี. อุบาสกคนหนึ่งในกรุง
สาวัตถีนั้นนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้า จัดสร้างมณฑปแล้วบูชาสักการะ
ถวายทานในมณฑปนั้น โดยนัยที่กล่าวแล้วในวิมานติด ๆ กัน. สมัยนั้น
หญิงรับใช้ประจำตระกูลคนหนึ่ง เห็นต้นสาละในสวนอันธวันออกดอก
บานสะพรั่ง จึงเก็บดอกสาละในสวนนั้นมา เอาเถาไม้ร้อยเป็นมาลัยสวม
คอ ทั้งเก็บดอกที่ขาวอย่างมุกดาและดอกงาม ๆ เป็นอันมากเข้าพระนคร
เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเปล่งพระพุทธรังสีมีวรรณะ 6 ประการ
ในมณฑปนั้น เหมือนดวงอาทิตย์อ่อนทอแสงส่องเทือกภูเขายุคนธร ก็มี
จิตเลื่อมใส เอาดอกไม้เหล่านั้นบูชา วางพวงมาลัยไว้รอบพระพุทธอาสน์
โปรยดอกไม้อีกจำนวนหนึ่ง ถวายบังคมโดยเคารพ ทำประทักษิณสาม
ครั้งแล้วไป. ต่อมานางได้ตายไปเกิดในดาวดึงส์. ที่ดาวดึงส์นั้น นางมี
วิมานแก้วผลึกแดง และข้างหน้าวิมานมีสวนสาละใหญ่ พื้นที่สวนลาด
ทรายทอง. ยามที่นางออกจากวิมานเข้าสวนสาละ กิ่งสาละทั้งหลายโน้ม
ลงโปรยดอกในเบื้องบน ท่านพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปหานางตามนัย
ที่กล่าวแล้วในหนหลัง ถามถึงกรรมที่นางทำไว้ ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า

ดูก่อนเทพธิดา ท่านรื่นรมย์อยู่ในวิมานแก้ว-
ผลึก มีพื้นดาดาษไปด้วยทรายทอง กึกก้องไปด้วย
ดนตรีเครื่อง 5 เมื่อท่านลงจากวิมานแก้วผลึก อัน
บุญกรรมแต่งไว้เข้าไปสู่ป่าสาละ อันมีดอกบาน
สะพรั่งตลอดกาลทั้งปวง ยืนอยู่ที่โคนต้นสาละต้น
ใด ๆ ต้นสาละนั้น ๆ ซึ่งเป็นไม้อุดม ก็น้อมกิ่ง
โปรยดอกลงมา ป่าสาละนั้นต้องลมแล้ว โบกสะบัด
ไปมา เป็นที่อาศัยแห่งฝูงสกุณชาติ โชยกลิ่นหอม
ฟุ้งไปทั่วทิศ ดุจต้นอุโลกฉะนั้น ท่านสูดดมกลิ่นอัน
หอมหวนนั้น ทั้งได้ชมรูปทิพย์ ซึ่งมิใช่ของมนุษย์
ดูก่อนเทพธิดา อาตมาถามแล้ว ขอท่านโปรดจงบอก
นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มญฺชิฏฺฐเก วิมานสฺมึ ได้แก่ ใน
วิมานแก้วผลึกแดง. วิมานที่มีสีเหมือนพวงดอกย่างทรายและดอกยี่โถ
ท่านเรียกว่า มัญชิฏฐกะ. บทว่า โสวณฺณวาลุกสนฺถเต ความว่า มีพื้น
ลาดด้วยทรายทองเกลื่อนอยู่รอบ ๆ. บทว่า รมสิ สุปฺปเวทิเต ความว่า
ย่อมรื่นรมย์ด้วยดนตรีเครื่อง 5 ที่บรรเลงอย่างไพเราะ.
บทว่า นิมฺมิตา รตนามยา ความว่า จากวิมานรัตน์ที่ศิลปินผู้
ชำนาญสร้างไว้สำหรับท่าน. บทว่า โอคาหสิ แปลว่า เข้าไป. บทว่า
สพฺพกาลิกํ ได้แก่ เป็นสุขทุกเวลา คือ สบายทุกฤดู หรือมีดอกบาน
ทุกกาล.

บทว่า วาเตริตํ ความว่า ถูกลมพัดกระโชกโดยอาการที่ดอก
ร่วงพรู. บทว่า อาธุตํ ความว่า ถูกลมอ่อน ๆ โชยเบา ๆ. บทว่า
ทิชเสวิตํ ความว่า มีฝูงนกยูงและนกดุเหว่าเป็นต้นเข้าอาศัย. พระเถระ
ถามอย่างนี้แล้ว เทพธิดานั้นได้พยากรณ์ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
เมื่อชาติก่อน ดีฉันเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในมนุษย-
โลก เป็นทาสีอยู่ในตระกูลเจ้านาย ได้เห็นพระ-
พุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ มีจิตเลื่อมใส ได้โปรยดอก
สาละรอบอาสนะ. และได้น้อมนำพวงมาลัยดอกสาละ
อันร้อยกรองอย่างดี ถวายพระพุทธเจ้าด้วยมือของ
ตน ครั้นดีฉันทำกุศลกรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสรร-
เสริญแล้ว ก็สร่างโศกหมดโรคภัย สุขกายสุขใจ
รื่นเริงบันเทิงอยู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อยฺยิรกุเล แปลว่า ในตระกูลเจ้านาย
อธิบายว่า ในเรือนสามี. บทว่า อหุํ แปลว่า ได้เป็นแล้ว. บทว่า
โอกิรึ ได้แก่ โปรยด้วยดอกไม้สีมุกดา. บทว่า อุปนาเมสึ ความว่า
นำเข้าไปบูชา. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถามัญชิฏฐกวิมาน

2. ปภัสสรวิมาน


ว่าด้วยปภัสสรวิมาน


พระมหาโมคคัลลานเถระถามเทพธิดาองค์หนึ่งว่า
[40] ดูก่อนเทพธิดาผู้งาม มีรัศมีงามผุดผ่องยิ่งนัก
นุ่งผ้าสีแดงงาม มีฤทธิ์มาก มีร่างกายงามลูบไล้ด้วย
จุณจันทน์ ท่านเป็นใครมาไหว้อาตมาอยู่ อนึ่ง ท่าน
นั่งบนบัลลังก์ใด ย่อมไพโรจน์ดังท้าวสักกเทวราชใน
นันทนวโนทยาน บัลลังก์ของท่านั้นมีค่ามาก งาม
วิจิตรด้วยรัตนะต่าง ๆ ดูก่อนเทพธิดาผู้เจริญ เมื่อ
ชาติก่อน ท่านได้สร้างสมสุจริตอะไร ได้เสวย
วิบากแห่งธรรมอะไร ในเทวโลก อาตมาถามแล้ว
ขอท่านโปรดบอก นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร.

เทพธิดาตอบว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดีฉันได้ถวายพวงมาลัยและ
น้ำอ้อยแด่พระคุณเจ้าผู้เที่ยวบิณฑบาตอยู่ ดีฉันจึง
ได้เสวยผลแห่งกรรมนั้นในเทวโลก ข้าแต่ท่านผู้
เจริญ แต่ดีฉันยังมีความเดือดร้อนผิดพลาด เป็นทุกข์
เพราะดีฉันไม่ได้ฟังธรรม อันพระพุทธเจ้าผู้เป็น
ธรรมราชาทรงแสดงแล้ว ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะ
เหตุนั้น ดีฉันจึงกราบเรียนพระคุณเจ้า ซึ่งเป็นผู้
ควรอนุเคราะห์ดีฉัน โปรดชักชวนผู้ที่ควรอนุเคราะห์