เมนู

ปาริฉัตตกวรรควรรณนาที่ 3


อรรถกถาอุฬารวิมาน


ปาริฉัตตกวรรคที่ 3 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ อุฬารวิมานมี
คาถาว่า อุฬาโร เต ยโส วณฺโณ ดังนี้เป็นต้น. อุฬารวิมานนั้น
เกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร อันเป็นที่ให้
เหยื่อแก่กระแต ใกล้กรุงราชคฤห์. สมัยนั้น ในตระกูลอุปัฏฐากของท่าน
พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งชอบให้ทาน ยินดีในการ
แจกจ่ายทาน. นางให้ของเคี้ยวของบริโภคก่อนอาหารอันเกิดขึ้นในเรือน
นั้น ครึ่งหนึ่ง จากส่วนแบ่งที่ตนได้. ตนเองบริโภคครึ่งหนึ่ง หากยัง
ไม่ให้ก็ไม่บริโภค เมื่อยังไม่เห็นผู้ที่ควรให้ก็เก็บไว้แล้วให้ในเวลาที่ตน
เห็น. นางให้แม้แก่ยาจก. ครั้นต่อมามารดาของนาง ชื่นชมยินดีว่าลูก
สาวขอเราชอบให้ทาน ยินดีในการแจกจ่ายทาน จึงให้เพิ่มขึ้นเป็น
สองส่วนแก่นาง. อนึ่ง มารดาเมื่อจะให้ ย่อมให้เพิ่มขึ้นอีกในเมื่อลูกสาว
ได้แจกจ่ายส่วนหนึ่งไปแล้ว. นางทำการแจกจ่ายจากส่วนนั้นนั่นเอง.
เมื่อกาลเวลาผ่านไปอย่างนี้ มารดาบิดาได้ยกลูกสาวนั้น ซึ่งเจริญวัย
แล้วแก่กุมารในตระกูลหนึ่งในเมืองนั้นนั่นเอง. แต่ตระกูลนั้นเป็นมิจฉา-
ทิฏฐิ ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส. ครั้งนั้นท่านพระมหาโมคคัลลานะ
ออกบิณฑบาตไปตามลำดับตรอกในกรุงราชคฤห์ ได้ไปยืนอยู่ที่ประตู
เรือนของพ่อผัวของนาง นางครั้นเห็นพระมหาโมคคัลลานะนั้นก็มีจิต

เลื่อมใส นิมนต์ให้เข้าไปในบ้าน ไหว้แล้ว เมื่อไม่เห็นแม่ผัว นางจึงถือ
วิสาสะเอาขนมที่แม่ผัววางไว้ด้วยคิดว่า เราจักบอกให้แม่ผัวอนุโมทนา
แล้วได้ถวายแก่พระเถระ.
พระเถระการทำอนุโมทนาแล้วกลับไป. นางจึงบอกแก่แม่ผัวว่า
ฉันได้ให้ขนมที่แม่วางไว้แก่พระมหาโมคคัลลานเถระไปแล้ว. แม่ผัวครั้น
ได้ฟังดังนั้น จึงตะคอกต่อว่านางว่า นี่มันเรื่องอะไรกันจ๊ะ ไม่บอกกล่าว
เจ้าของก่อน เอาไปให้สมณะเสียแล้ว แม่โกรธจัด ไม่ได้นึกถึงสิ่งควร
ไม่ควร คว้าสากที่วางอยู่ข้างหน้าทุบเข้าที่จะงอยบ่า เพราะนางเป็น
สุขุมาลชาติ และเพราะจะสิ้นอายุ ด้วยการถูกทุบนั้นเองได้รับทุกข์สาหัส
ต่อมา 2-3 วัน นางก็ถึงแก่กรรมไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แม้
เมื่อกรรมสุจริตอื่นก็มีอยู่ แต่ทานที่นางถวายแก่พระเถระเป็นทานน่าพอใจ
ยิ่ง ได้ปรากฏแก่นาง. ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ไปโดยนัยที่กล่าวแล้ว
ในหนหลัง จึงถามนางนั้นด้วยคาถาว่า
ดูก่อนเทพธิดา ยศผิวพรรณของท่านโอฬาร
ยิ่งนัก ยังทิศทั้งหมดให้สว่างไสว เหล่านารีฟ้อนรำ
ขับร้อง เทพบุตรตกแต่งงดงาม ต่างบันเทิง แวดล้อม
เพื่อบูชาท่าน ดูก่อนสุทัสสนา วิมานเหล่านี้ของท่าน
เป็นสีทอง ท่านเป็นใหญ่กว่าเทพเหล่านั้น มีความ
สำเร็จในสิ่งที่ใคร่ทั้งหมด ท่านเกิดยิ่งใหญ่ บันเทิง
ในหมู่เทพ ดูก่อนเทพธิดา เราขอถามท่าน ท่านจง
บอกว่า นี้เป็นผลของกรรมอะไร.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ยโส ได้แก่บริวาร. บทว่า วณฺโณ ได้แก่
รัศมีวรรณะ คือ แสงสรีระ. ส่วนบทว่า อุฬาโร นี้เป็นอันท่านกล่าวถึง
บริวารสมบัติและวรรณสมบัติของเทวดานั้น เพราะกล่าวถึงความวิเศษ.
ในสมบัติเหล่านั้น เพื่อแสดงถึงวรรณสมบัติที่ท่านกล่าวไว้โดยสังเขปว่า
อุฬาโร เต วณฺโณ โดยพิสดาร ด้วยอำนาจแห่งวิสัยจึงกล่าวว่า สพฺพา
โอภาสเต ทิสา
เพื่อแสดงถึงบริวารสมบัติที่ท่านกล่าวไว้ว่า อุฬาโร
เต ยโส
ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยพิสดาร จึงกล่าวว่า นาริโย นจฺจนฺติ
เป็นอาทิ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพา โอภาสเต ทิสา ได้แก่ รุ่งเรือง
ในทิศทั้งหมด หรือยังทิศทั้งหมดให้สว่างไสว. อธิบายว่า ย่อมรุ่งเรือง.
อาจารย์บางพวก กล่าวเนื้อความแห่งบทว่า โอภาสยเต เป็นต้น
เป็นโอภาสนฺเต ด้วยความคลาดเคลื่อนของคำ. อาจารย์พวกนั้นพึงเปลี่ยน
วิภัตติเป็น วณฺเณน.
อนึ่ง บทว่า วณฺเณน เป็นตติยาวิภัตติลงในอรรถว่าเหตุ. อธิบาย
ว่า เพราะเหตุ คือ เพราะความเป็นเหตุ อนึ่ง บทว่า สพฺพา ทิสา
เมื่อไม่เพ่งถึงทิศธรรมดา โดยกำเนิด ก็ไม่ต้องประกอบวจนะให้คลาด
เคลื่อน แม้ในบทว่า นาริโย นี้ พึงนำบทว่า อลงฺกตา มาเชื่อมด้วย.
ในบทว่า เทวปุตฺตา นี้แสดงว่าได้ลบ ออก. ควรใช้ว่า นาริโย
เทวปุตฺตา จ
ดังนี้.
บทว่า โมเทนฺติ แปลว่า ย่อมบันเทิง. บทว่า ปูชาย ได้แก่
เพื่อบูชา หรือเป็นเครื่องหมายแห่งการบูชา. โยชนาว่า ฟ้อนรำขับร้อง.
บทว่า ตวิมานิ ตัดบทเป็น ตว อิมานิ.

บทว่า สพฺพกามสมิทฺธีนิ ได้แก่ สำเร็จด้วยกามคุณ 5 ทั้งหมด
หรือด้วยวัตถุที่ท่านใคร่แล้วปรารถนาแล้ว ทั้งหมด. บทว่า อภิชาตา
ได้แก่ เกิดดีแล้ว. บทว่า มหนฺตาสิ ได้แก่ ท่านเป็นใหญ่คือมีอานุภาพ
มาก. บทว่า เทวกาเย ปโมทสิ ได้แก่ ท่านย่อมบันเทิงด้วยความ
บันเทิงอย่างยิ่ง อันเป็นเหตุให้ได้สมบัติในหมู่เทพ.
ดิฉัน ในชาติก่อนเป็นมนุษย์อยู่ในมนุษยโลก
ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย ได้เป็นสะใภ้ในตระกูล
คนกุศีล ในเมื่อเขาไม่มีศรัทธา ตระหนี่ ดีฉันมี
ศรัทธาและศีล ยินดีในการแจกตลอดกาล ได้ถวาย
ขนมเบื้องแก่ท่านผู้ออกไปบิณฑบาต ดีฉันจึงบอก
แก่แม่ผัวว่า สมณะมาถึงที่นี่แล้ว ดีฉันจึงได้ถวาย
ขนมเบื้องแก่สมณะนั้นด้วยมือของตน.

ด้วยเหตุนี้แหละ แม่ผัวนั้นจึงบริภาษว่า เองเป็น
สาวไม่มีใครส่งสอน ไม่ถามฉันเสียก่อนจะถวาย
ทานแก่สมณะ แม่ผัวก็โกรธดีฉัน จึงเอาสากทุบดีฉัน
ที่จะงอยบ่า ดีฉันไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้นาน ครั้น
ดีฉันสิ้นชีพ จึงจุติจากที่นั้น มาเถิดเป็นสหายกับ
พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์.

เพราะบุญกรรมนั้น ผิวพรรณของดีฉันจึงเป็น
เช่นนั้น และผิวพรรณของดีฉันย่อมสว่างไสวไปทุก
ทิศ ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อสฺสทฺเธสุ โยชนาแก้ว่า ดีฉันมีศรัทธา
ถึงพร้อมด้วยศีล ในเมื่อแม่ผัวเป็นต้นไม่มีศรัทธา เพราะไม่มีความเชื่อ
ในพระรัตนตรัยและความเชื่อผลของกรรม ตระหนี่ เพราะเป็นผู้มีมัจฉริยะ
จัด.
บทว่า อปูวํ คือขนมเบื้อง. บทว่า เต เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า
ข้าพเจ้าบอกแก่แม่ผัวเพื่อให้รู้ว่าเอาขนมมาแล้ว และเพื่อให้อนุโมทนา.
บทว่า อสฺสา ในบทว่า อิติสฺสา นี้เป็นเพียงนิบาต. บทว่า
สมณสฺส ททามหํ ได้แก่ ข้าพเจ้าถวายขนมเบื้องแก่สมณะ โยชนาแก้ว่า
แม่ผัวบริภาษว่า เพราะเองไม่เชื่อฟังข้า ฉะนั้น เองเป็นหญิงสาวที่ไม่มี
ใครสั่งสอน.
บทว่า ปหาสิ แปลว่า ประหารแล้ว. บทว่า กูฏํ ในบทว่า
กูฏงฺคจฺฉิ อวธิ มํ นี้ ท่านกล่าวว่าจะงอยบ่า. ชื่อว่า กูฏังคะ เพราะ
เป็นอวัยวะยอดนั่นเอง โดยลบบทต้นเสีย ชื่อว่า กูฏงฺคจฺฉิ เพราะทำลาย
จะงอยบ่านั้น. แม่ผัวโกรธจัดอย่างนี้จึงทุบตีฉัน คือตีจะงอยบ่าของดีฉัน
อธิบายว่า แม่ผัวฆ่าดีฉันจนตายด้วยความพยายามนั้น. ด้วยเหตุนั้นท่าน
จึงกล่าวว่า นาสกฺขึ ชีวิตุํ จิรํ ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้นานดังนี้.
บทว่า วิปฺปมุตฺตา ได้แก่ พ้นด้วยดีจากทุกข์นั้น. บทที่เหลือมีนัย
ดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาอุฬารวิมาน

2. อุจฉุทายิกาวิมาน


ว่าด้วยอุจฉุทายิกาวิมาน


[30] พระมหาโมคคัลลานเถระ ถามนางเทพธิดานั้นด้วยคาถา
ความว่า
ดูก่อนนางเทพธิดา ท่านมีสิริ มีผิวพรรณ
เปล่งปลั่ง มียศและเดช สว่างไสวไพโรจน์ทั่วแผ่นดิน
รวมทั้งเทวโลกเหมือนกับพระจันทร์ เป็นผู้ประเสริฐ
เหมือนท้าวมหาพรหม รุ่งเรืองกว่าเทพเจ้าเหล่าไตร-
ทศพร้อมทั้งอินทร์ อาตมาขอถามท่านผู้ทัดทรงดอก
อุบล ยินดีแต่พวงมาลัยประดับเศียร มีผิวพรรณ
เปล่งปลั่งดั่งทองคำ ประดับประดาอาภรณ์สวยงาม
นุ่งห่มผ้าอย่างดี ดูก่อนเทพธิดาผู้เลอโฉม ท่านเป็น
ใครมาไหว้อาตมาอยู่ เมื่อก่อน ครั้งเมื่อเกิดเป็น
มนุษย์ในชาติก่อน ท่านได้ทำกรรมอะไรไว้ด้วยตน
ได้ให้ทานหรือรักษาศีลอย่างไรไว้ ท่านได้เข้าถึงสุคติ
มีเกียรติยศ เพราะกรรมอะไร ดูก่อนนางเทพธิดา
อาตมาถามแล้วขอจงบอก ผลนี้แห่งกรรมอะไร.

นางเทพธิดานั้น อันพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว กล่าวตอบ
ด้วยคาถาว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระเถระรูปหนึ่งเข้ามายัง
บ้านของดีฉันเพื่อบิณฑบาต ในกรุงราชคฤห์นี้ ทันใด