เมนู

อรรถกถาภัททิตถิกาวิมาน


ภัททิตถิกาวิมานมีคาถาว่า นีลา ปีตา จ กาฬา จ ดังนี้เป็นต้น.
ภัททิตถิกาวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถ-
บิณฑิกะ กรุงสาวัตถี สมัยนั้น ในกิมิลนคร มีคหบดีบุตรผู้หนึ่งชื่อ
โรหกะ มีศรัทธาปสาทะ ถึงพร้อมด้วยศีลและอาจาระ ในนครนั้นแล
มีทาริกาเด็กหญิงคนหนึ่ง ในตระกูลที่มีโภคทรัพย์มาก ทัดเทียมกับนาย
โรหกะนั้น เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส มีนามว่า ภัททา เพราะเจริญแม้
ตามปกติ ครั้นต่อมา มารดาบิดาของโรหกะ ได้เลือกกุมารีนั้น นำนาง
มาในเวลานั้น ได้ทำอาวาหวิวามงคลกัน. สองสามีภริยานั้น ก็อยู่ร่วม
กันด้วยสามัคคี ก็เพราะอาจารสมบัติของตน นางจึงได้เป็นคนเด่น รู้จัก
กันไปทั่วพระนครนั้นว่า ภัททิตถี แม่หญิงภัทรา.
ก็สมัยนั้น พระอัครสาวกทั้ง 2 มีภิกษุเป็นบริวาร รูปละ 500
จาริกเที่ยวไปในชนบท ถึงกิมิลนคร. นายโรหกะ รู้ว่าพระอัครสาวกนั้น
ไปที่กิมิลนครนั้น เกิดโสมนัสเข้าไปหาพระเถระทั้งสองรูป ไหว้แล้วนิมนต์
ฉันในวันพรุ่งนี้ อังคาสท่านพร้อมด้วยบริวารให้อิ่มหนำสำราญด้วยของ
เคี้ยวของฉันอันประณีตในวันรุ่งขึ้น พร้อมด้วยบุตรและภรรยา ได้ฟัง
พระธรรมเทศนาที่ท่าแสดงแล้ว ตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน รับสรณะ
สมาทานเบญจศีล. ส่วนภรรยาของเขา ก็เข้ารักษาอุโบสถศีลเป็นวัน 8 ค่ำ
14 ค่ำ 15 ค่ำ และวันปาฏิหาริยปักษ์. เฉพาะอย่างยิ่งนางได้เป็นผู้ถึง
พร้อมด้วยศีลและอาจาระ และเทวดาทั้งหลาย อนุเคราะห์แล้ว ก็ด้วย

ความอนุเคราะห์ของเทวดานั้นแล นางก็ปลดเปลื้องคำว่าร้ายผิด ๆ ที่
ตกมาเหนือตนหายไปได้ กลายเป็นผู้มีเกียรติยศแพร่ไปทั่วโลกอย่างยิ่ง
เพราะนางมีศีลและอาจาระหมดจดด้วยดีแล.
ก็ภรรยานั้น อยู่ในกิมิลนครนั้นเอง ส่วนสามีของนางอยู่ค้าขายใน
ตักกศิลานคร ในวันมหรสพรื่นเริงกัน เมื่อถูกพวกเพื่อนรบเร้าก็เกิดคิด
อยากเล่นงานมหรสพตามเทศกาล เทวดาผู้ประจำเรือนก็ช่วยนำนางไปใน
ตักกศิลานครนั้นด้วยอานุภาพทิพย์ของตนแล้ว ส่งไปร่วมกับสามี เพราะ
อยู่ร่วมกันนั่นแล ก็ตั้งครรภ์ เทวดาช่วยนำกลับกิมิลนคร เมื่อครรภ์
ปรากฏชัดขึ้นโดยลำดับ ถูกแม่ผัวเป็นต้น รังเกียจว่านางประพฤตินอกใจ
สามี เมื่อกระแสน้ำในแม่น้ำคงคาถูกเทวดานั้นแล บันดาลให้เป็นเหมือน
หลงมาท่วมกิมิลนคร ด้วยอานุภาพของตน ประสบความยุ่งยาก ซึ่งตก
ลงมาเหนือตนดังกระแสน้ำในแม่น้ำคงคาที่มีเกลียวคลื่นเกิดเพราะแรงลม
ด้วยการสมถะมีสัจจาธิษฐานเป็นเบื้องต้น ซึ่งพิสูจน์ว่าตนเป็นหญิงจงรัก
สามี ถึงจะกลับมาอยู่ร่วมกับสามี สามีนั้นก็รังเกียจ เหมือนแม่ผัวเป็นต้น
รังเกียจมาก่อน และต้องอ้างสัญญาณเครื่องหมาย ซึ่งสามีนั้นประทับชื่อ
ให้ไว้ในตักกศิลานคร จึงแก้ความรังเกียจนั้นได้ กลายเป็นผู้ที่ญาติฝ่าย
สามีและมหาชนยกย่อง ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า สุวิสุทฺธสีลา-
จารตาย อติวิย โลเก ปตฺถฏยสา อโหสิ
ได้เป็นผู้มีเกียรติยศแพร่ไป
ในโลกอย่างยิ่ง เพราะเป็นผู้มีศีลและอาจาระหมดจดดี.
สมัยต่อมา นางทำกาละตาย ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ ครั้งเมื่อ
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาจากกรุงสาวัตถีไปยังภพดาวดึงส์ ประทับนั่ง
บนบัณฑุกัมพลศิลา ณ โคนต้นปาริฉัตร และเมื่อเทพบริษัทเข้าไปเฝ้า

พระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แม้
ภัททิตถีเทพธิดาก็ได้เข้าไปเฝ้าถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงถามบุญกรรมที่
เทพธิดานั้นทำไว้ ณ ท่ามกลางเทวดาบริษัทและพระพรหมบริษัทที่ประชุม
พร้อมกันในหมื่นโลกธาตุ ได้ตรัสว่า
ดูก่อนเทพธิดาผู้มีปัญญาดี ท่านทัดทรงไว้
เหนือศีรษะ ซึ่งพวงมาลัยดอกมณฑารพ อันมีสี
ต่าง ๆ กัน คือ เขียว เหลือง ดำ แดงเข้ม และแดง
ที่ห้อมล้อมด้วยกลีบเกสร จากต้นไม้เหล่าใด ต้นไม้
เหล่านี้ ไม่มีในเทพหมู่อื่น เพราะบุญอะไร ท่านผู้
เลอยศจึงเข้าถึงหมู่เทพชั้นดาวดึงส์ ดูก่อนเทพธิดา
ท่านถูกเราถามแล้ว จงบอกมาสิว่านี้เป็นผลของบุญ
อะไร.

ในคาถานั้น ศัพท์ในบาทคาถานี้ว่า นีลา ปีตา จ กาฬา จ
มญฺชิฏฺฐา อถ โลหิตา
เป็นการกล่าวควบบท จ ศัพท์นั้น พึงประกอบ
แต่ละบทโดยเป็นต้นว่า นีลา จ ปีตา จ. ศัพท์ว่า อถ เป็นนิบาตใช้
ในอรรถอื่น. ด้วย อถ ศัพท์นั้น ท่านรวมวรรณะที่ไม่ได้กล่าวมีสีขาวเป็นต้น
ไว้ด้วย. พึงทราบว่าอิติศัพท์ท่านลบเสียแล้วแสดงไว้ [ไม่มีอิติศัพท์]
อีกอย่างหนึ่ง ศัพท์ ควบข้อความที่ไม่ได้กล่าวไว้ อิติ ศัพท์ เป็น
นิบาต. บทว่า อุจฺจาวจานํ. ในบาทคาถาว่า อุจฺจารจานํ วณฺณานํ นี้
พึงเห็นว่าไม่ลบวิภัตติ อธิบายว่า มีสีสูงและตำคือมีสีต่าง ๆ กัน. อนึ่ง

บทว่า วณฺณานํ แปลว่า ซึ่งมีรัศมีคือสี. บาทคาถาว่า กิญฺชกฺขปริวาริตา
ได้แก่ แวดล้อมด้วยกลีบเกสรดอกไม้. ที่จริงบทนั้นเป็นปฐมาวิภัตติแต่
ใช้ในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ. มีคำอธิบายดังนี้ว่า ดูก่อนเทพธิดา ท่านทัดทรง
ประดับไว้เหนือเศียร ซึ่งมาลัยดอกมณฑารพ คือพวงมาลัยที่ทำด้วยดอก
มณฑารพเหล่านั้น เพราะดอกมณฑารพเหล่านั้น ซึ่งสีสรรต่างๆ คือ เขียว
เหลือง ดำ แดงเข้ม แดงและสีอื่น ๆ มีสีขาวเป็นต้น อันห้อมล้อมด้วยกลีบ
เกสรคือละออง ตามที่เป็นอยู่มีสัณฐานทรวดทรงงามเป็นต้น หรือเพราะ
สีแห่งวรรณะตามที่กล่าวแล้วต่าง ๆ กัน เกิดจากต้นมณฑารพ.
เพื่อแสดงว่าต้นไม้ที่มีดอกเหล่านั้นไม่ทั่วไปแก่สวรรค์ชั้นอื่น เพราะ
ดอกไม้เหล่านั้น มีสีพิเศษแปลกออกไป พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
นยิเม อญฺเญสุ กาเยสุ รุกฺขา สนฺติ สุเมธเส ดังนี้. ในบทเหล่านั้น
บทว่า อิเม ประกอบความว่า ต้นไม้มีดอกประกอบด้วยสีและสัณฐาน
เป็นต้น ตามที่กล่าวแล้วไม่มี. บทว่า กาเยสุ แปลว่า ในหมู่เทพทั้งหลาย.
บทว่า สุเมธเส แปลว่า ดูก่อนเทพธิดาผู้มีปัญญาดี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นีลา ได้แก่ มีสีเขียว โดยมณีรัตนะ
มีอินทนิลและมหานิลเป็นต้น. บทว่า ปีตา ได้แก่ มีสีเหลือง โดย
มณีรัตนะ มีบุษราคัมกักเกตนะและปุลกะเป็นต้น และทองสิงคี. ว่า
กาฬา ได้แก่ มีสีดำ โดยมณีรัตนะมีแก้วหินอัสมกะ แก้วหินอุปลกะ
เป็นต้น. บทว่า มญฺชิฏฺฐา ได้แก่ มีสีแดงเข้ม โดยมณีรัตนะมีแก้วโชติรส
แก้วโคปุตตาและแก้วโคเมทกะเป็นต้น. บทว่า โลหิตา ได้แก่ มีสีแดง
โดยมณีรัตนะมีแก้วทับทิม แก้วแดง แก้วประพาฬเป็นต้น ส่วนอาจารย์
บางพวก เอาบทมีนีละ เป็นต้นกับบทนี้ว่า รุกฺขา ประกอบกันกล่าวว่า

นีลารุกฺขา เป็นต้น. ที่จริง แม้ต้นไม้ย่อมได้โวหารว่าเขียวเป็นต้น
เพราะประกอบด้วยสีเขียวเป็นต้น เหตุปกคลุมด้วยดอกไม้มีสีเขียวเป็นต้น
เพราะเหตุนั้น ด้วยบทเหล่านั้นว่า นีลา ปีตา จ กาฬา จ ฯ ป ฯ
นยิเม อญฺเญสุ กาเยสุ รุกฺขา สนฺติ สุเมธเส
ดังนี้ พึงประกอบ
ความว่า ท่านทัดทรงพวงดอกมณฑารพ ซึ่งมีสีสรรต่าง ๆ ฯลฯ ห้อม
ล้อมด้วยกลีบเกสรจากต้นไม้ใด การแสดงต้นไม้ไว้แผนกหนึ่ง ด้วยการ
ระบุดอกไม้อันประกอบด้วยสีแปลกออกไปตามที่เห็นแล้ว ด้วยการแสดง
ถึงภาวะที่ดอกไม้เหล่านั้นเป็นของไม่ทั่วไป จัดเป็นปฐมนัย. การแสดง
ดอกไม้ไว้แผนกหนึ่ง ด้วยการแสดงภาวะที่ต้นไม้เป็นของไม่ทั่วไป จัด
เป็นทุติยนัย. สีเป็นต้น ในปฐมนัยท่านถือเอาโดยสภาพ. ในทุติยนัย
ท่านถือเอาโดยมุข คือต้นไม้อันเป็นที่อาศัย [ ของสี ] ในข้อนั้นสีและ
ต้นไม้เหล่านั้น แปลกกันดังกล่าวมานี้.
บทว่า เกน ประกอบความว่า เพราะบุญกรรมอะไร ท่านจึงเข้า
ถึงหมู่เทพชั้นดาวดึงส์. บทว่า ปุจฺฉิตาจิกฺข ความว่า ท่านถูกเราถาม
แล้ว จงบอกจงกล่าวมาเถิด.
เทพธิดานั้น ถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามอย่างนี้แล้ว จึงได้ทูล
พยากรณ์ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ชนทั้งหลายรู้จักข้าพระองค์ว่า ภัททิตถิกา แม่
หญิงภัทรา ข้าพระองค์เป็นอุบาสิกาอยู่ในกิมพิลนคร
เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศรัทธาและศีล ยินดีในการจำแนก
ของเป็นทานทุกเมื่อ มีจิตผ่องใส ได้ถวายผ้านุ่งห่ม

อาหาร เสนาสนะ และเครื่องประทีป ในพระอริย-
เจ้าผู้ปฏิบัติตรง ข้าพระองค์ได้เข้ารักษาอุโบสถ อัน
ประกอบด้วยองค์ 8 ประการ ตลอดดิถีที่ 14-15
และดิถีที่ 8 ของปักษ์ และตลอดปาฏิหาริยปักษ์
ข้าพระองค์เป็นผู้สำรวมแล้วด้วยดีในศีลทุกเมื่อ มี
สัญญมะ และแจกทาน จึงครอบครองวิมาน. ดีฉัน
งดเว้นจากปาณาติบาต เป็นผู้เว้นจากการถือเอาสิ่งของ
ของผู้อื่นด้วยไถยจิต จากการประพฤติผิดในกาม
สำรวมจากมุสาวาท และจากการดื่มนำเมา เป็นผู้
ยินดีในสิกขาบททั้ง 5 และเป็นผู้ฉลาดในอริยสัจ
เป็นอุบาสิกาของพระพุทธเจ้าผู้มีพระสมันตจักษุ มี
ปกติเป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท.

ข้าพระองค์ได้โอกาสบำเพ็ญกุศลธรรม จุติจาก
มนุษยโลกนั้นแล้ว เป็นเทพธิดา มีรัศมีของตนเอง
เที่ยวชมสวนนันทนวันอยู่ อนึ่ง ข้าพระองค์ได้เลี้ยงดู
ท่านภิกษุอัครสาวกทั้งสอง ผู้อนุเคราะห์ชาวโลกด้วย
ประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง เป็นมหาปราชญ์ และได้
โอกาสบำเพ็ญกุศลธรรม ครั้นจุติจากมนุษยโลกนั้น
แล้ว ได้บังเกิดเป็นเทพธิดาผู้มีรัศมีในตนเอง เที่ยว
ชมสวนนันทนวันอยู่ ข้าพระองค์ได้เข้ารักษาอุโบสถ
อันประกอบด้วยองค์ 8 ประการ อันนำความสุขมา
หาประมาณมิได้อยู่เนืองนิตย์ และได้โอถาสร้าง

กุศลธรรม ครั้นจุติจากมนุษยโลกนั้นแล้ว ได้บังเกิด
เป็นนางเทพธิดา ผู้มีรัศมีในตนเอง เที่ยวชมสวน
นันทนวันอยู่.

ในบทเหล่านั้น บาทคาถาว่า ภทฺทิตฺถิกาติ มํ อญฺญึสุ กิมฺพิลายํ
อุปาสิกา
ความว่า หญิงนี้เจริญดี เกิดการตัดสินใจไว้ว่า เป็นผู้มีศีล
ไม่ขาด เพราะกลับกระแสน้ำใหญ่ที่กำลังเบียดเบียน ด้วยอาจารสมบัติ
ด้วยการการทำสัจ เพราะฉะนั้น ชาวกิมพิลนครจึงรู้จักข้าพระองค์ว่า
อุบาสิกาชื่อว่า ภัททิตถิกา. บาทคาถาเป็นต้นว่า สทฺธาสีเลน สมฺปนฺนา
มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยที่กล่าวมาแล้วในหนหลัง.
อีกอย่างหนึ่ง เทพธิดาแสดงทรัพย์คือศรัทธาด้วยบทนี้ว่า สทฺธา.
ทรัพย์คือจาคะด้วยบทนี้ว่า ข้าพระองค์ยินดีในการจำแนกของเป็นทาน
มีจิตผ่องใส ได้ถวายผ้านุ่งห่ม อาหาร เสนาสนะและเครื่องประทีปใน
พระอริยะ ผู้ปฏิบัติตรง. ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือหิริ และทรัพย์คือ
โอตตัปปะด้วยบทนี้ว่า ข้าพระองค์สมบูรณ์ด้วยศีล ตลอดดิถี 14-15 ค่ำ
ฯ ล ฯ มีสิกขาบท 5 ประการ แสดงทรัพย์คือสุตะ และทรัพย์คือปัญญา
ด้วยบทนี้ว่า อริยสจฺจาน โกวิทา. เทพธิดานั้นแสดงการได้อริยทรัพย์
7 ประการของตนดังกล่าวมาฉะนี้. เทพธิดาชี้แจงอานิสงส์ของอริยทรัพย์
7 นั้น ทั้งที่เป็นปัจจุบัน ทั้งที่เป็นภายหน้า ด้วยบาทคาถานี้ว่า
อุปาสิกา จกฺขุมโต ฯ เป ฯ อนุวิจรามิ นนฺทนํ. ในบทเหล่านั้น
บทว่า กตาวาสา ได้แก่ ได้บำเพ็ญสุจริตกรรมเครื่องอยู่สำเร็จแล้ว.
จริงอยู่ สุจริตกรรมเรียกว่าอาวาสที่อยู่แห่งสุขวิหารธรรม เพราะเหตุอยู่

เป็นสุขในปัจจุบันและอนาคต ด้วยเหตุนั้น เทพธิดาจึงกล่าวว่า กตกุสลา
ดังนี้.
เทพธิดากล่าวบุญสำเร็จด้วยทานของตนอันเป็นเขตพิเศษที่มิได้แตะ
ต้องมาก่อนแล้ว บัดนี้ เพื่อจะแสดงความที่เขตพิเศษเป็นบ่อเกิดแห่งบุญ
นั้น จึงกล่าวคำว่า ภิกฺขู จ เป็นต้น. ในบทเหล่านั้น ว่า ภิกฺขู
ชื่อว่าภิกษุเพราะเป็นผู้ทำลายกิเลสมิให้เหลือ. บทว่า ปรมหิตานุกมฺปเก
ได้แก่ ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบันเป็นต้น เป็นอย่างยิ่งคือ
เหลือเกิน. บทว่า อโภชยึ ได้แก่ ข้าพระองค์ได้ให้ท่านฉันโภชนะอัน
ประณีต. บทว่า ตปสฺสิยุคํ ความว่าคู่ [สองอัครสาวก] ผู้มีตบะ
เพราะเผาผลาญตัดกิเลสมลทินทั้งหมดได้เด็ดขาดด้วยตบะอันสูงสุด. บทว่า
มหามุนึ ความว่า เป็นผู้แสวงคุณใหญ่เพราะตบธรรมนั้นนั่นแล หรือ
ชื่อว่ามหาปราชญ์เพราะรู้คือกำหนดวิสัยของตนได้ด้วยญาณอย่างใหญ่นั่น
เที่ยว. คำนั้นทั้งหมด เทพธิดากล่าวหมายเอาพระอัครสาวกทั้งสอง.
บทว่า อปริมิตํ สุขาวหํ ท่านกล่าวมิได้ลบนิคหิต ได้แก่อัน
ให้เกิดหิตสุขมีปริมาณเกินพระดำรัสแม้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะ
พระบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ผู้บอกจะทำให้บรรลุ ตลอดถึง
สุขบนสวรรค์ไม่ง่ายนัก หรือนำสุขมาหาประมาณมิได้ คือนำสุขมาด้วย
อานุภาพของตน. บทว่า สตตํ แปลว่า ทุกเวลา. ประกอบความว่า
ไม่ลดวันรักษาอุโบสถนั้น ๆ หรือทำวันรักษาอุโบสถนั้นไม่ให้ขาด ทำ
ให้บริบูรณ์นำความสุขมาให้เนืองนิตย์ หรือทุกเวลา. คำที่เหลือเหมือนนัยที่
กล่าวมาแล้วในหนหลัง.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงอภิธรรมปิฎกตลอดสาม
เดือนโปรดหมู่เทวดาและพรหม ผู้อยู่ในหมื่นโลกธาตุ มีพระมารดาเทพ-
บุตรเป็นประธาน เสด็จกลับมายังมนุษยโลกแล้ว ทรงแสดงภัททิตถิกา-
วิมานโปรดแก่ภิกษุทั้งหลาย. พระธรรมเทศนานั้น ได้เป็นประโยชน์แก่
บริษัทผู้ประชุมกันแล.
จบอรรถกถาภัททิตถิกาวิมาน

6. โสณทินนาวิมาน


ว่าด้วยโสณทินนาวิมาน


[23] พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้สอบถามนางเทพธิดาด้วย
คาถาว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม ส่องสว่าง
ไสวไปทุกทิศ เหมือนดาวประกายพรึก เพราะบุญ
อะไร ท่านจึงมีผิวพรรณเช่นนี้ เพราะบุญอะไร
อิฐผลนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคสมบัติทุกอย่างที่
น่ารักจึงเกิดขึ้นแก่ท่าน.

ดูก่อนเทพธิดา ผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอ
ถามท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ท่านได้กระทำบุญอะไร
ไว้ และเพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรือง
อย่างนี้ และรัศมีของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.