เมนู

นันทนวัน เทพอัปสรประมาณพันหนึ่งพากันมายืนห้อม
ล้อมดีฉัน ดีฉันเห็นผู้ประเสริฐเลิศกว่าเทพอัปสรนั้น
โดยรัศมี เกียรติยศ และอายุ ดีฉันได้กระทำ
กัลยาณธรรมไว้มาก มีสติสัมปชัญญะ ท่านเจ้าข้า
ดีฉันมาในโลกครั้งนี้ ก็เพื่อถวายนมัสการท่านปราชญ์
ผู้ประกอบด้วยความกรุณาเจ้าค่ะ เทพธิดานั้น ครั้น
กล่าวถ้อยคำนี้แล้ว เป็นผู้ประกอบด้วยความกตัญญู
กตเวที ไหว้เท้าทั้งสองของพระมหาโมคคัลลานเถระ
องค์อรหันต์แล้วก็อันตรธานไป ณ ที่นั้นนั่นเอง.

จบจัณฑาลิวิมาน

อรรถกถาจัณฑาลิวิมาน


จัณฑาลิวิมานมีคาถาว่า จณฺฑาลิ วนฺท ปาทานิ ดังนี้เป็นต้น.
จัณฑาลิวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์ ในเวลาใกล้รุ่ง
ทรงเข้ามหากรุณาสมาบัติ ที่พระพุทธเจ้าปฏิบัติกันมาแล้ว เมื่อทรงออก
แล้วตรวจดูโลกอยู่ ได้ทรงเห็นหญิงจัณฑาลแก่คนหนึ่ง ซึ่งอยู่ใน
จัณฑาลิคาม ในนครนั้นนั่นเองสิ้นอายุ ก็กรรมของนางที่นำไปนรก
ปรากฏชัดแล้ว. พระองค์ทรงมีพระทัยอันพระมหากรุณาให้ขะมักเขม้นแล้ว
ทรงดำริว่า เราให้นางทำกรรมอันนำไปสู่สวรรค์ จักห้ามการเกิดใน
นรกของนางด้วยกรรมนั้น ให้ดำรงอยู่บนสวรรค์ จึงเสด็จเข้าไป

บิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ ก็สมัยนั้น หญิงจัณฑาลี
นั้น ถือไม้ออกจากนคร พบพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังเสด็จมาได้ยืน
ประจันหน้ากันแล้ว. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับยืนตรงหน้า
เหมือนห้ามมิให้นางไป. ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ รู้พระทัยของ
พระศาสดา และความหมดอายุของหญิงนั้นแล้ว เมื่อจะให้นางถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้กล่าวคาถา 2 คาถาว่า
ดูก่อนแม่จัณฑาล ท่านจงถวายบังคมพระบาท
ยุคลของพระโคดม ผู้มีพระเกียรติยศเถิด พระโคดม
ผู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 7 ประทับยื่นเพื่ออนุเคราะห์
ท่านคนเดียว ท่านจงทำจิตให้เลื่อมใสยิ่ง ในพระองค์
ผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้คงที่ แล้วจงรีบประคองอัญชลี
ถวายบังคมเถิด ชีวิตของท่านน้อยเต็มที่.

บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า จณฺฑาลิ พระเถระเรียกนางที่มี
ชื่อมาแต่กำเนิด. บทว่า วนฺท ได้แก่ จงถวายบังคม. บทว่า ปาทานิ
ได้แก่ จรณะคือพระบาทอันเป็นสรณะของโลก พร้อมด้วยเทวโลก. บาท
คาถาว่า ตเมว อนุกมฺปาย ได้แก่ เพื่ออนุเคราะห์ท่านเท่านั้น. อธิบายว่า
เพื่อป้องกันการเกิดในอบายมาให้บังเกิดในสวรรค์. บทว่า อฏฺฐาสิ ได้แก่
ประทับยืนไม่เสด็จเข้าไปสู่พระนคร. บทว่า อิสิสตฺตโม ความว่า
พระองค์เป็นผู้สูงสุด คือ อุกฤษฏ์ กว่าฤษีชาวโลก พระเสขะ พระอเสขะ
พระปัจเจกพุทธเจ้า อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อิสิสตฺตโม เพราะบรรดา
พุทธฤษีทั้งหลายมีพระวิปัสสีเป็นต้น เป็นฤษี [พระพุทธเจ้า] พระองค์
ที่ 7.

บาทคาถาว่า อภิปฺปสาเทหิ มนํ ความว่า จงทำจิตของท่านให้
เลื่อมใสว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ. บทว่า
อรหนฺตมฺหิ ตาทิเน ความว่า ชื่อว่าพระอรหันต์ เพราะกิเลสทั้งหลาย
ห่างไกล เพราะกำจัดกิเลสเหล่านั้น ซึ่งเป็นข้าศึก เพราะกำจัดกำแห่ง
สังสารจักร เพราะเป็นผู้ควรแก่ปัจจัยทั้งหลาย และเพราะไม่มีความลับ
ในการทำบาป ชื่อว่า ตาทิ เพราะถึงความคงที่ในโลกธรรมมีอิฏฐารมณ์
เป็นต้น. บาทคาถาว่า ขิปฺปํ ปญฺชลิกา วนฺท ความว่า ท่านจงประคอง
อัญชลีแล้วจงถวายบังคมเร็ว ๆ เถิด. หากถามว่า เพราะเหตุไร ? ตอบว่า
เพราะชีวิตของท่านน้อยเต็มที่ เพราะชีวิตของท่านจะต้องแตกเป็นสภาพ
ในที่นี้ จึงยังเหลือน้อย คือนิดหน่อย.
พระเถระ เมื่อระบุพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถา 2 คาถา
อย่างนี้ อยู่ในอานุภาพของตน ทำนางให้สลดใจด้วยการชี้ชัดว่า นาง
หมดอายุ ประกอบนางไว้ในการถวายบังคมพระศาสดา. ก็นางได้ฟังคำ
นั้นแล้ว เกิดสลดใจ มีใจเลื่อมใสในพระศาสดา ถวายบังคมด้วย
เบญจางคประดิษฐ์ ประคองอัญชลีนมัสการอยู่ ได้ยืนมีจิตเป็นสมาธิ
ด้วยปีติอันซ่านไปในพระพุทธคุณ. พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จเข้าไป
พระนครพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ด้วยทรงดำริว่า เท่านี้ก็พอจะให้นางเกิดใน
สวรรค์ได้ดังนี้. ต่อมา แม่โคลูกอ่อนตัวหนึ่ง หันวิ่งตรงไปจากที่นั้น
เอาเขาขวิดนางจนเสียชีวิต. ท่านพระสังคีติกาจารย์ เพื่อแสดงเรื่องนั้น
ทั้งหมด ได้กล่าวคาถา 2 คาถาว่า
หญิงจัณฑาลผู้นี้ อันพระมหาเถระผู้มีตนอัน
อบรมแล้ว ธำรงไว้ซึ่งสรีระอันสุดท้าย ตักเตือนแล้ว

จึงถวายบังคมพระบาทยุคลของพระโคดม ผู้มีพระ-
เกียรติยศ แม่โคได้ขวิดนางในขณะที่กำลังยืนประ-
คองอัญชลี นมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ส่อง
แสงสว่างในโลกมืดดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺชลึ ฐิตํ นมสฺสมานํ สมฺพุทฺธํ
ความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้เสด็จไปแล้ว นางก็ยังมีจิตเป็นสมาธิ
ด้วยปีติมีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์ ยืนประคองอัญชลีเหมือนอยู่เฉพาะพระ-
พักตร์.
บทว่า อนฺธกาเร ได้แก่ ในโลกอันมืดด้วยความมืดคืออวิชชา
และมืดด้วยกิเลสทั้งสิ้น. บทว่า ปภงฺกรํ คือ ผู้ทำแสงสว่างคือญาณ.
ก็นางจุติจากนั้นไปบังเกิดในภพดาวดึงส์. นางมีอัปสรแสนหนึ่ง
เป็นบริวาร. ก็แลในทันใดนั่นเอง นางมาพร้อมกับวิมาน ลงจากวิมาน
แล้ว ได้เข้าไปหาท่านพระมหาโมคัลลานะถวายนมัสการ. เพื่อแสดงความ
ข้อนั้น นางเทพธิดา ได้กล่าวว่า
ข้าแต่ท่านวีรบุรุษผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันบรรลุ
เทวฤทธิ์แล้ว เข้ามาหาท่านผู้สิ้นอาสวะปราศกิเลสธุลี
เห็นผู้ไม่หวั่นไหว นั่งเร้นอยู่ผู้เดียวในป่า ขอไหว้
ท่านเจ้าค่ะ.

พระเถระได้ถามเทพธิดานั้นว่า
ดูก่อนเทพธิดาผู้สง่างาม ท่านเป็นใคร มีรัศมี
ดังทองงามรุ่งโรจน์ มีเกียรติยศมาก งานตระการ

* อรรถกถาว่า นางมีอัปสรแสนหนึ่ง บาลีว่า มีอัปสรพันหนึ่ง

มิใช่น้อย แวดล้อมด้วยหมู่เทพอัปสรพากันลงมาจาก
วิมาน จึงมาไหว้อาตมา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชลิตา ได้แก่ รุ่งโรจน์โชติช่วงด้วย
รัศมีแห่งสรีระผ้าและอาภรณ์เป็นต้นของตน. บทว่า มหาสยา ได้แก่
มีบริวารมาก. บทว่า วิมานโมรุยฺห แปลว่า ลงจากวิมาน. บทว่า
อเนกจิตฺตา ได้แก่ ประกอบด้วยความงามหลากหลาย. บทว่า สุเภ แปลว่า
ผู้มีคุณอันงาม. บทว่า มมํ แปลว่า อาตมา.
เทพธิดานั้น ได้ถูกพระเถระถามอย่างนี้แล้ว จึงกล่าวคาถา 4 คาถา
อีกว่า
ท่านเจ้าขา ดิฉันเป็นหญิงจัณฑาล ถูกท่านผู้
เป็นวีรบุรุษส่งไปถวายบังคมพระบาทยุคลของพระ-
โคดม ผู้เป็นพระอรหันต์ มีพระเกียรติยศ ครั้นได้
ถวายบังคมพระยุคลบาทแล้ว จุติจากกำเนิดหญิง
จัณฑาลไปเข้าถึงวิมาน อันเพรียบพร้อมด้วยสมบัติ
ทั้งปวง ในอุทยานนันทนวัน เทพอัปสรพันหนึ่งพากัน
มายืนห้อมล้อม ดีฉันเป็นผู้ประเสริฐเลิศกว่าเทพ-
อัปสรเหล่านั้น โดยวรรณะ เกียรติยศ และอายุ ดีฉัน
ได้กระทำกรรมอันงามมากมาย มีสติสัมปชัญญะ
ท่านเจ้าขา ดิฉันมามนุษยโลกครั้งนี้ ก็เพื่อถวาย
นมัสการพระมุนีผู้มีกรุณา เจ้าค่ะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เปสิตา ความว่า หญิงจัณฑาลถูก

ท่านผู้เป็นวีรบุรุษส่งไปเพื่อถวายนมัสการด้วยคำเป็นต้นว่า ดูก่อนแม่-
จัณฑาล ท่านจงถวายพระยุคลบาทเถิด. บุญที่สำเร็จด้วยการถวายบังคมนั้น
ถึงจะน้อยโดยชั่วขณะประเดี๋ยวก็จริง ถึงกระนั้น ก็ชื่อว่ามากเกินที่จะ
เปรียบได้ เพราะมีเขต [เขตตสัมปทา] ใหญ่ และมีผลใหญ่ เพราะเหตุ
นั้น นางจึงได้กล่าวว่า ปหูตกตกลฺยาณา ดังนี้ อนึ่ง นางหมายถึงความ
บริสุทธิ์ของปัญญาและสติ ในขณะความเป็นไปแห่งปีติมีพระพุทธคุณเป็น
อารมณ์ จึงได้กล่าวว่า สมฺปชานา ปติสฺสตา ดังนี้. ท่านพระสังคีติ-
กาจารย์ ตั้งคาถาไว้อีกว่า
เทพธิดาจัณฑาลี ผู้กตัญญูกตเวที ครั้นกล่าว
ถ้อยคำนี้แล้ว ไหว้เท้าทั้งสองของท่านพระมหาโมค-
คัลลานเถระ องค์พระอรหันต์แล้ว ก็อันตรธานไป
ณ ที่นั้นนั่นเองแล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จณฺฑาลี ท่านกล่าวว่า เคยเป็นหญิง
จัณฑาล. คำใด เป็นการกล่าวเรียกกันติดปากในมนุษยโลก คำนี้ก็
ปฏิบัติติดมาในเทวโลกเช่นกัน. คำที่เหลือมีนัยดังที่กล่าวมาแล้ว.
ส่วนท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ กราบทูลเรื่องถวายพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำข้อความนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ
เกิดเรื่อง ทรงแสดงธรรมแก่บริษัทที่ประชุมกัน พระธรรมเทศนานั้นได้
เป็นประโยชน์แก่ประชาชนแล.
จบอรรถกถาจัณฑาลิวิมาน

5. ภัททิตถิกาวิมาน


ว่าด้วยภัททิตถิกาวิมาน


[22] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามถึงบุรพกรรมที่ ภัททาเทพธิดา
นั้นได้กระทำไว้ว่า
ดูก่อนเทพธิดาผู้มีปัญญาดี ท่านสวมไว้เหนือ
ศีรษะ ซึ่งมาลัยดอกมณฑารพ ซึ่งมีสีต่าง ๆ คือ
คำ แดงเข้ม และแดง แวดล้อมด้วยกลีบเกสรจาก
ต้นไม้เหล่าใด ต้นไม้เหล่านี้ไม่มีในหมู่เทพเหล่าอื่น
เพราะบุญอะไร ท่านผู้มียศจึงเข้าถึงหมู่เทวดาชั้น
ดาวดึงส์ ดูก่อนเทพธิดา ท่านถูกเราถามแล้ว
โปรดบอกสิว่านี้เป็นผิของบุญกรรมอะไร.

เทพธิดาถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามอย่างนี้แล้ว จึงทูลพยากรณ์
ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ชนทั้งหลายรู้จักข้าพระองค์ว่า ภัตทิตถิกา
ข้าพระองค์เป็นอุบาสิกาอยู่ในกิมพิลนคร เป็นผู้สม-
บูรณ์ด้วยศรัทธา และศีล ยินดีในการจำแนกทาน
ทุกเมื่อ มีจิตอันเลื่อมใสในพระอริยเจ้าผู้ปฏิบัติตรง
ได้ถวายผ้านุ่งห่ม อาหาร เสนาสนะ และเครื่อง
ประทีป ข้าพระองค์ได้เข้ารักษาอุโบสถอันประกอบ
ด้วยองค์ 8 ประการตลอดดิถีที่ 14-15 และดิถีที่ 8
ของปักษ์ และตลอดปาฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สำรวม