เมนู

อรรถกถาสิริมาวิมาน


สิริมาวิมาน มีคาถาว่า ยุตฺตา จ เต ปรมอลงฺกตา เป็นต้น.
สิริมาวิมานนั้น เกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน
กรุงราชคฤห์. สมัยนั้น โสเภณีชื่อสิริมา ที่กล่าวไว้ในเรื่องติดต่อมาใน
หนหลัง [อุตตราวิมาน] สละงานที่เศร้าหมอง [ การเป็นโสเภณี ]
เพราะบรรลุโสดาปัตติผล ได้ตั้งสลากภัต 8 กอง แก่พระสงฆ์. ตั้งแต่
ต้นมา ภิกษุ 8 รูปก็มาเรือนนางเป็นประจำ. นางสิริมานั้น กล่าวคำ
เป็นต้นว่า โปรดรับเนยใส โปรดรับนมสด แล้วบรรจุบาตรของภิกษุ
เหล่านั้นจนเต็ม. ของที่ภิกษุรูปหนึ่งได้ไป ย่อมพอแก่ภิกษุ 3 รูปบ้าง
4 รูปบ้าง นางถวายบิณฑบาต โดยคำใช้สอย 16 กหาปณะ ทุกวัน.
ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่งฉันสลากภัตกองที่ครบ 8 ในเรือนของ
นางแล้วก็ไปยังวิหารแห่งหนึ่งไกลออกไป 3 โยชน์. ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลาย
จึงถามภิกษุรูปนั้น ซึ่งนั่งในที่ปรนนิบัติพระเถระเวลาเย็นว่า ผู้มีอายุ
ท่านรับภิกษาที่ไหนจึงมาที่นี่. ตอบว่า ผมฉันสลากภัตกองที่ 8 ของ
นางสิริมา. ถามว่า ผู้มีอายุ นางสิริมา ถวายสลากภัตนั้นยังน่าพอใจอยู่
หรือ. ภิกษุนั้นจึงพรรณนาคุณของนางว่า ผมไม่อาจพรรณนาอาหารของ
นางได้ นางถวายแต่ของประณีตเหลือเกิน ของที่ภิกษุรูปหนึ่งได้ไป ยัง
พอแก่ภิกษุ 3 รูปบ้าง 4 รูปบ้าง. แต่การเห็นนางต่างหากที่สำคัญกว่า
ไทยธรรมของนาง. จริงอยู่ หญิงนั้นงามเห็นปานนี้ งามเห็นปานนั้น.
ลำดับนั้น ภิกษุรูปหนึ่งฟังคำพรรณนาคุณของนางสิริมานั้นแล้ว
แม้ไม่ได้เห็นตัวก็เกิดสิเนหาโดยได้ยินเท่านั้น คิดว่า เราควรจะไปดูนางใน

ที่นั้น จึงบอกพรรษาสุดท้ายของตนแล้วถามภิกษุรูปนั้นซึ่งยังอยู่ ฟังคำ
ของภิกษุรูปนั้นว่า ผู้มีอายุ พรุ่งนี้ท่านเป็นสังฆเถระก็จักได้สลากภัตกอง
ที่ 8 ในเรือนหลังนั้น แล้วก็ถือบาตรจีวรกลับไปในทันใดนั่นเอง พอ
อรุณขึ้นตอนเช้าตรู่ ก็เข้าไปยืนยังโรงสลาก เป็นสังฆเถระได้สลากภัต
กองที่ 8 ในเรือนนาง ในเวลาที่ภิกษุซึ่งฉันเมื่อวันวานกลับไปแล้ว โรค
ก็เกิดขึ้นในเรือนร่างของนาง เพราะฉะนั้น นางจึงนอนเปลื้องเครื่อง
ประดับทั้งหลาย. ขณะนั้นเหล่าทาสี เห็นภิกษุทั้งหลายมาเพื่อรับสลากภัต
กองที่ 8 จึงบอกนาง. นางไม่อาจจะไปวางอาหารลงในบาตรด้วยมือตน
เอง หรือนิมนต์ให้ท่านนั่งได้ ได้แต่ใช้เหล่าทาสี สั่งว่า แม่คุณเอ๋ย พวก
เจ้าจงรับบาตรนิมนต์ให้ท่านนั่ง ให้ท่านดื่มข้าวต้ม แล้วถวายของเคี้ยว
เวลาอาหารจงบรรจุบาตรให้เต็มแล้วถวาย ทาสีเหล่านั้น รับคำว่าดีแล้วแม่
นาย แล้วนิมนต์ให้ท่านเข้าไปให้ดื่มข้าวต้มถวายของเคี้ยว เวลาอาหาร
บรรจุอาหารเต็มบาตรแล้วก็บอกนาง. นางกล่าวว่า พวกเจ้าจงช่วยกัน
พยุงเราไป จักไหว้พระผู้เป็นเจ้า แล้วทาสีเหล่านั้นช่วยกันพยุงนางไปหา
ภิกษุทั้งหลาย ไหว้ภิกษุทั้งหลายด้วยเรือนร่างที่สั่นเทาอยู่. ภิกษุนั้นดูนาง
แล้วก็คิดว่า นางกำลังป่วย รูปยังงามถึงเพียงนี้ เวลานางไม่ป่วยประดับ
ด้วยอาภรณ์ครบถ้วน จักงามสักเพียงไหน. ขณะนั้นกิเลสที่สะสมไว้หลาย
โกฏิปีของภิกษุนั้น ก็ฟุ้งขึ้น. ภิกษุนั้นไม่มีญาณ ไม่อาจฉันอาหารได้
ถือบาตรกลับวิหารปิดบาตรเก็บไว้ ณ ที่แห่งหนึ่ง คลี่ชายจีวรลงปูนอน.
ขณะนั้น ภิกษุผู้สหายรูปหนึ่ง แม้อ้อนวอนก็ไม่อาจให้เธอฉันอาหารได้
ภิกษุนั้น ก็อดอาหาร.
เวลาเย็นวันนั้นนั่นเอง นางสิริมาก็ตาย. พระราชาทรงส่งข่าวไป

ทูลพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางสิริมาน้องสาวของหมอชีวก
ตายเสียแล้วพระเจ้าข้า. พระศาสดาทรงทราบข่าวนั้นแล้ว ทรงส่งข่าว
ถวายพระราชาว่า อย่าเพิ่งทำฌาปนกิจสิริมา ขอได้โปรดนำไปป่าข้าศพสด
ให้นอนให้รักษาไว้ โดยวิธีที่ฝูงกาเป็นต้นจะไม่จิกกิน. พระราชาก็ทรง
ปฏิบัติตามพระพุทธประสงค์. ล่วงเวลาไป 3 วัน ตามลำดับ. วันที่ 4
ร่างของนางก็พองขึ้น. เหล่าหนอนก็ไหลออกจากปากแผลทั้ง 9. ทั่ว
เรือนร่างก็เป็นเหมือนถาดข้าวสาลีแตก. พระราชาก็โปรดให้ตีกลองป่าว
ประกาศไปในพระนครว่า ยกเว้นเด็กเฝ้าบ้านเสีย คนที่ไม่มาดูนางสิริมา
ต้องเสียค่าปรับไหม 8 กหาปณะ ทรงส่งข่าวไปทูลพระศาสดาว่า เขาว่า
พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข จะเสด็จมาดูนางสิริมา. พระศาสดาจึง
ตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า จักไปดูนางสิริมา.
ภิกษุหนุ่มแม้รูปนั้น ไม่เธอฟังคำของใคร ๆ นอนอดอาหารอยู่ 4
วัน. อาหารในบาตรก็บูด บาตรก็ขึ้นสนิม. ภิกษุรูปนั้น ถูกเพื่อนภิกษุ
เข้าไปหาพูดว่าท่าน พระศาสดาจะเสด็จไปดูนางสิริมานะ แม้จะถูกความ
หิวครอบงำ แต่พอได้ยินเพื่อนภิกษุออกชื่อว่าสิริมา ก็รีบลุกขึ้นถามว่า
ท่านพูดอะไร ถูกเพื่อนภิกษุกล่าวว่า พระศาสดาจะเสด็จไปดูนางสิริมา
ตัวท่านจักไปไหมเล่า. ก็ตอบว่า ไปสิขอรับ แล้วเทอาหารทิ้งล้างบาตร
เก็บใส่ถลก ก็ไปพร้อมกับภิกษุสงฆ์. พระศาสดามีหมู่ภิกษุแวดล้อม
ประทับยืนอยู่ข้างหนึ่ง ทั้งภิกษุสงฆ์ ทั้งราชบุรุษ ทั้งอุบาสกบริษัท ทั้ง
อุบาสิกาบริษัท ก็พากันยืนอยู่แต่ละข้าง ๆ พระศาสดาตรัสถามพระราชา
ว่า ถวายพระพรมหาบพิตร นั่นใคร พระราชาทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ น้องสาวของหมอชีวก ชื่อสิริมา พระเจ้าข้า. ตรัสถามว่านั่น

สิริมาหรือ. ทูลว่า พระเจ้าข้าขอรับ. ตรัสว่าถ้าอย่างนั้น โปรดให้ตีกลอง
ป่าวประกาศไปในพระนครว่า คนทั้งหลายจงให้ทรัพย์พันหนึ่งแล้วรับ
สิริมาไป. พระราชาตรัสสั่งให้ปฏิบัติตามพระพุทธประสงค์. บรรดาคน
เหล่านั้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะพูดว่าฉันรับ พระราชาจึงกราบทูลพระ-
ศาสดาว่า ไม่มีคนรับ พระเจ้าข้า. ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น ก็จงลดราคาลง
มาสิ มหาบพิตร. พระราชาก็ให้ตีกลองป่าวประกาศว่า ใครให้ทรัพย์
500 ก็จงรับสิริมาไป ไม่ทรงเห็นใคร ๆ ที่จะรับ จึงให้ตีกลองป่าว
ประกาศลดราคาลง 250, 200, 100, 50, 25, 20, 10, 5, 1
กหาปณะ ครึ่งบาท 1 มาสก 1 กากณึก, ให้เปล่า ๆ [ไม่คิดราคา]
บรรดาชนแม้เหล่านั้น ก็ไม่มีใครพูดว่า ฉันรับ ๆ. พระราชาจึงกราบทูล
ว่า ให้เปล่า ๆ ก็ไม่มีคนรับ พระเจ้าข้า. พระศาสดาทรงแสดงว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงดูมาตุคาม ซึ่งเป็นที่รักของมหาชน แต่ก่อน
คนทั้งหลายในพระนครนี้ ให้ทรัพย์พันหนึ่ง ก็ได้นางไปตลอดวันหนึ่ง
บัดนี้ให้เปล่า ๆ ก็ไม่มีคนรับ นามรูปเห็นปานนี้ ถึงความสิ้นไปเสื่อม
ไปเป็นธรรมดา ทำให้งดงามด้วยเครื่องประดับภายนอกก็ยังมีแผล โดย
ปากแผลทั้ง 9 อันกระดูก 300 ท่อน สร้างเป็นโครงขึ้น อาดูรเดือดร้อน
อยู่เป็นประจำ ชื่อว่า มีความดำริมาก เพราะมหาชนผู้เขลา ดำริโดย
ส่วนมากอย่างเดียว อัตภาพที่ไม่ยั่งยืน ดังนี้ จึงตรัสพระคาถาว่า
ปสฺส จิตฺตกตํ พิมฺพํ อรุกายํ สมุสฺสิตํ
อาตุรํ พหุสงฺกปฺปํ ยสฺส นตฺถิ ธุวํ ฐิตี

เธอจงดูรูปกาย ที่ปัจจัยทำให้งดงาม มีแผล
กระดูกสร้างเป็นโครงขึ้น มีความเดือดร้อน มีความ
ดำริมาก ซึ่งไม่มีความยืนยงคงที่เลย.

จบเทศนา ภิกษุที่มีจิตติดพันนางสิริมา ก็ปราศจากฉันทราคะ
เจริญวิปัสสนาแล้วก็บรรลุพระอรหัต. สัตว์ประมาณ 84,000 ก็ได้
ธรรมาภิสมัย ตรัสรู้ธรรม.
สมัยนั้น สิริมาเทพกัญญาสำรวจความสำเร็จแห่งสมบัติของตน
ตรวจดูที่มาก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า มีภิกษุสงฆ์แวดล้อมประทับยืน และ
หมู่มหาชนประชุมกัน ใกล้เรือนร่างของตนในอัตภาพก่อน จึงมีเทพ-
กัญญา 500 ห้อมล้อม มาปรากฏกายกับรถ 500 ลงจากรถแล้ว มี
บริวารตามมาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ยืนทำอัญชลีประนมมือ
ไหว้. สมัยนั้น ท่านพระวังคีสะยืนอยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า จึง
กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า การถามปัญหาข้อหนึ่ง แจ่มแจ้งกะ
ข้าพระองค์ พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนวังคีสะ การ
ถามปัญหาจงแจ่มแจ้งกะเธอเถิด [ ทรงอนุญาตให้ถามปัญหากะเทพธิดา
ได้ ] ท่านพระวังคีสะ จึงได้ถามสิริมาเทพธิดาว่า
ม้าทั้งหลายของท่าน เทียมรถแล้ว ประดับ
อย่างวิเศษ บ่ายหน้าลงไปในอากาศ [ เหาะได้ ] มี
กำลังว่องไว ม้าทั้งหลายของท่านเทียมรถ 500 อัน
บุญกรรมเนรมิตแล้ว สารถีเตือนแล้วก็พาท่านไป.

ท่านประดับองค์แล้ว ส่องแสงสว่าง ราวกะ
ดวงไฟโชติช่วง ยืนอยู่เหนือรถอันเพริศแพร้ว.
ดูก่อนเทพธิดาผู้อ่าองค์ ดูไม่จืดเลย อาตมาขอถาม
ท่าน ท่านมาจากเทพหมู่ไร จึงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ผู้ไม่มีผู้ใดประเสริฐยิ่งกว่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยุตฺตา จ เต ปรมอลงฺกตา หยา
ความว่า หยะคือม้าทั้งหลายของท่านคือที่เทียมรถของท่าน ประดับด้วย
อลังการอย่างเยี่ยม อย่างเหลือเกิน อย่างวิเศษ หรือประดับด้วยเครื่อง
อลังการของม้า อันเป็นทิพย์อย่างยิ่ง สูงสุด หรือม้าอาชาไนยอย่างยิ่ง
เลิศประเสริฐสุด ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง หรือว่า ม้าที่เทียมรถ
เหมาะแก่ท่านและรถของท่าน หรือเทียมรถแล้วประกบเข้ากัน เพราะ
สมกันและกัน. ก็บทว่า ปรมอลงฺกตา ในคาถานั้น พึงเห็นว่าท่านไม่ทำ
สนธิในฝ่ายแรก นิเทศไม่แจกในฝ่ายที่สอง. บทว่า อโธมุขา แปลว่า
มีหน้าต่ำ, ก็หากมี หน้าของม้าในครั้งนั้นตั้งอยู่โดยปกติ [ไม่ต่ำ ] โดย
เหตุที่ลงจากเทวโลก ม้าเหล่านั้น ท่านจึงกล่าวว่า อโธมุขา มีหน้าลง.
บทว่า อฆสิคมา แปลว่า ไปสู่เวหาส [คือเหาะได้ ]. บทว่า พลี
แปลว่า มีกำลัง. บทว่า ชวา แปลว่า เร็ว อธิบายว่า มีกำลังและวิ่งเร็ว.
บทว่า อภินมฺมิตา ได้แก่ อันบุญกรรมของท่านเนรมิต ทำให้บังเกิด.
อีกอย่างหนึ่ง สิริมาเทพธิดาหมายถึงที่ตนเองเนรมิตแล้วเท่านั้น จึงกล่าวว่า
อภินิมฺมิตา เพราะนางเป็นเทพธิดาชั้นนิมมานรดี. บทว่า ปญฺจรถาสตา
ท่านกล่าวทำทีฆะอักษร และลิงควิปลาส เพื่อสะดวกแก่คาถา. หรือพึง

เห็นว่าไม่ลบวิภัตติ. อธิบายว่า รถ 500. บทว่า อนฺเวนฺติ ตํ สารถิ-
โจทิตา หยา
ความว่า ดูก่อนท่านเทวดาผู้เจริญ ม้าเหล่านี้เทียมรถ
อันสารถีเตือนแล้วย่อมพาท่านไป. เกจิอาจารย์กล่าวว่า สารถิอโจทิตา
ความว่า อันสารถีทั้งหลายไม่ต้องเตือนเลย ก็พาท่านไป. อีกนัยหนึ่ง
บทหนึ่งว่า สารถิโจทิตา หยา ท่านกล่าวทำทีฆะ เพื่อสะดวกแก่คาถา
ประกอบความว่า ม้าเทียมรถ 500 อันสารถีเตือนแล้ว.
บทว่า สา ติฏฺฐสิ แปลว่า ท่านนั้นยืนอยู่. บทว่า รถวเร ได้แก่
รถอันสูงสุด. บทว่า อลงฺกตา ได้แก่ มีเรือนร่างประดับด้วยทิพยาลังการ
มีภาระ [ น้ำหนัก ] 60 เล่มเกวียน. บทว่า โอภาสยํ ชลมิวโชติปาวโก
ได้แก่ ส่องแสงสว่างโชติช่วง อยู่ประดุจดวงไฟลุกโพลง. ท่านอธิบายว่า
ส่องแสงสว่างรุ่งเรืองอยู่โดยรอบ. คำว่า โชติ เป็นชื่อทั่วไปของดวงจันทร์
ดวงอาทิตย์และดวงดาวนักษัตรทั้งหลาย. บทว่า วรตนุ ได้แก่ ผู้ทรงรูป
สูงสุด [ คือสวย ] ผู้งามทุกส่วน. ผู้ที่ดูไม่จืดเลย น่าดูไม่ทราม อธิบาย
ว่าน่าดู น่าเลื่อมใส เพราะงามทุกส่วนนั้นนั่นเอง. บทว่า กสฺมา น
กายา อนธิวรํ อุปาคมิ
ความว่า ท่านมาแต่หมู่เทพชั้นไรหนอ จึงมา
เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยม.
เทวดานั้นถูกพระเถระถามอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงองค์จึงกล่าว
คาถาว่า
บัณฑิตกล่าวเทพ [ ชั้นปรนิมมิตวสวัดดี ] ที่
เป็นผู้เลิศด้วยกาม [กามวจร] หมู่ใดว่าเป็นเทวดา
ผู้ยอดเยี่ยมยินดีด้วยกามสมบัติที่เหล่าเทพชั้นนิม-
มานรดีเนรมิตให้ ดีฉันเป็นเทพอัปสรมีวรรณะงาม

จากเทพหมู่นั้น มาในที่นี้ก็เพื่อนมัสการพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้าผู้ที่ไม่มีใครประเสริฐยิ่งกว่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กามคฺคปตฺตานํ ยมาหุนุตฺตรํ ความว่า
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวเทพหมู่ใด ว่ายอดเยี่ยมโดยยศและโดยโภคะเป็นต้น
แห่งเทพทั้งหลายชั้นปรนิมมิตวสวัดดี ผู้ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยเครื่องอุป-
โภคคือกามทั้งหลาย. จากเทพหมู่นั้น. บทว่า นิมฺมาย นิมฺมาย รมนฺติ
เทวตา
ความว่าเหล่าเทวดาชั้นนิมมานรดี เนรมิต ๆ ตามความที่ตน
ปรารถนาด้วยตนเอง ย่อมยินดีเล่น ระเริง อภิรมย์. บทว่า ตสฺมา กายา
ได้แก่ จากหมู่เทพชั้นนิมมานรดีนั้น. บทว่า กามวณฺณินี ได้แก่ ผู้ทรง
กามรูป ผู้ทรงรูปตามที่ปรารถนา. บทว่า อิธาคตา ได้แก่ มาในที่นี้
คือมนุษยโลกนี้ หรือสู่มนุษยโลกนี้.
เมื่อเทวดากล่าวบอกความที่ตนเป็นเทวดาชั้นนิมมานรดีอย่างนี้แล้ว
พระเถระประสงค์จะให้นางกล่าวถึงภพก่อน บุญที่ทำในภพนั้นและลัทธิ
ของนาง จึงได้กล่าวสองคาถาว่า
ท่านสร้างสมสุจริตอะไร ในอัตภาพเทวดานี้
ไว้ในภพก่อนเพราะบุญอะไรท่านจึงนั่งม้าเป็นพาหนะ
มียศนับไม่ได้ จำเริญสุข และฤทธิ์ของท่าน ไม่มี
ฤทธิ์อื่นประเสริฐกว่า ยังเหาะได้ทั้งวรรณะของท่าน
รุ่งโรจน์รูปทั้งสิบทิศ.

ดูก่อนเทวดา ท่านอันทวยเทพแวดล้อมและ
สักการะแล้ว ท่านจุติจากที่ไหน จึงถึงสุคติ หรือ

ท่านเชื่อฟังคำสั่งสอนของศาสดาองค์ใด หากท่าน
เป็นพุทธสาวิกา ขอท่านโปรดบอกอาตมาด้วยเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาจริ ท่านกล่าวทำทีฆะ [ เสียงยาว ] .
อธิบายว่าสั่งสม. บทว่า อิธ เป็นเพียงนิบาต. หรือว่า อิธ แปลว่า
ในอัตภาพเทวดานี้. บทว่า เกนจฺฉสิ ความว่า เพราะบุญอะไร ท่านจึง
นั่งม้าเป็นพาหะ. เกจิอาจารย์กล่าวว่า เกนาสิ ตฺวํ. บทว่า อมิตยสา
ได้แก่ มียศนับไม่ได้ มีบริวารยศไม่น้อย. บทว่า สุเขธิตา แปลว่า จำเริญ
โดยสุข อธิบายว่า มิทิพยสุขเพิ่มพูนดี. บทว่า อิทฺธี ได้แก่ อานุภาพทิพย์.
บทว่า อนธิรา ได้แก่ ชื่อว่า อนธิวรา เพราะไม่มีฤทธิ์อื่นที่ยิ่งที่วิเศษ.
อธิบายว่า สูงสุดยิ่ง. บทว่า วิหงฺคมา แปลว่า ไปได้ทางอากาศ. บทว่า
ทส ทิสา แปลว่า ทั้งสิบทิศ. บทว่า วิโรจติ ได้แก่ ส่องสว่าง.
บทว่า ปริจาริตา สกฺกตา จสิ ได้แก่ เป็นผู้อันทวยเทพแวดล้อม
แล้วโดยรอบและยกย่องแล้ว. บทว่า กุโต จุตา สุคติคตาสิ ได้แก่ เป็น
ผู้จุติจากคติไหน ในคติทั้ง 5 จึงเข้าถึงสุคติ คือเทวคตินี้ โดยอำนาจ
ปฏิสนธิ. บทว่า กสฺส วา ตฺวํ วจนกรานฺสาสนึ ได้แก่ ท่านทำตามคติ
ด้วยการรับโอวาทานุศาสนีในศาสนา คือธรรมวินัยของศาสดาองค์ไรหนอ.
หรือว่าพึงทราบความในข้อนี้ว่า ท่านทำตามคำของศาสดาองค์ไรหนอ
ด้วยการตั้งอยู่ในคำพร่ำสอน ของศาสดาผู้สั่งสอน. พระเถระครั้นถาม
ลัทธิของนางโดยไม่ต้องแสดงศาสดาอย่างนี้แล้ว จึงถามโดยต้องแสดง
ศาสดาอีกว่า หากท่านเป็นพุทธสาวิกา ขอโปรดบอกแก่อาตมาด้วยเถิด.
ในคำถามนั้น บทว่า พุทฺธสาวิกา ได้แก่ ชื่อว่าพุทธสาวิกา เพราะเกิด

เมื่อสุดการฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ชื่อว่าพุทธะ เพราะตรัสรู้
ไญยธรรมแม้ทุกอย่างด้วยพระสยัมภูญาณ โดยประจักษ์ ประดุจผลมะขาม
ป้อมบนฝ่ามือ.
เทวดาเมื่อจะกล่าวความที่พระเถระถามอย่างนี้ จึงได้กล่าวคาถา
เหล่านี้ว่า
ดีฉันเป็นปริจาริกาของพระราชาผู้ทรงคุณอัน
ประเสริฐ ทรงมีสิริ ณ มหานคร ซึ่งสถาปนาไว้เป็น
อันดี ณ กลางภูผา [ 5 ลูก] เป็นผู้ชำนาญเยี่ยม
ด้วยศิลปะฟ้อนรำขับร้อง. คนทั้งหลายในกรุงราชคฤห์
ได้รู้จักดีฉันในนามว่า สิริมา เจ้าข้า. พระพุทธเจ้า
ผู้เป็นฤษีประเสริฐสุด เป็นผู้แนะนำ ได้ทรงแสดง
ทุกขสัจ สมุทัยสัจ ทุกขนิโรธสัจ ที่ปัจจัยปรุงแต่ง
ไม่ได้ และมรรคสัจนี้ ที่ไม่คด เป็นทางตรง
ทางเกษม.

ดีฉันสดับอมตบท ที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ เป็น
คำสอนของพระตถาคต ผู้ที่ไม่มีผู้อื่นประเสริฐกว่า
ดีฉันเป็นผู้สำรวมอย่างยิ่งในศีลทั้งหลาย ตั้งอยู่ใน
ธรรมอันพระพุทธเจ้า ผู้เป็นนระประเสริฐทรงแสดง
แล้ว.

ดีฉันรู้บทที่ปราศจากกิเลสดุจธุลี ที่ปัจจัยปรุง
แต่งไม่ได้ ซึ่งพระตถาคต ผู้ที่ไม่มีผู้อื่นประเสริฐกว่า

ทรงแสดงแล้ว ดีฉันได้สัมผัสสมาธิจากสมถะ ใน
อัตภาพนั้นนั่นแล อันนั้น ได้เป็นความแน่นอน
อย่างยิ่ง [ ที่จะบรรลุมรรคผล ] สำหรับดีฉัน.

ดีฉันได้อมตธรรมอันประเสริฐ ทำให้แปลก
จากปุถุชน มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยส่วนเดียว
บรรลุคุณวิเศษเพราะตรัสรู้ ไม่มีความสงสัยอันชน
เป็นอันมากบูชาแล้ว ดีฉันเสวยความยินดีระเริงเล่น
ไม่น้อยเลย.

ดีฉันเป็นเทวดาเห็นอมตธรรมอย่างนี้ เป็น
สาวิกาของพระตถาคต ผู้ที่ไม่มีผู้อื่นประเสริฐกว่า
เห็นธรรมก็ตั้งอยู่ในผลระดับแรก [ โสดาปัตติผล]
เป็นพระโสดาบัน ทุคติเป็นอันไม่มีอีกละ.

ดีฉันนั้นเข้ามาเพื่อถวายบังคมพระองค์ ผู้ที่ไม่มี
ผู้อื่นประเสริฐกว่า และเหล่าภิกษุผู้ยินดีในกุศล ที่น่า
เลื่อมใส เพื่อนมัสการสมณสมาคมอันรุ่งเรื่อง ดีฉัน
มีความเคารพในพระธรรมราชาผู้ทรงสิริ.

ดีฉันพบพระมุนีแล้ว ก็มีใจบันเทิงเอิบอิ่ม ขอ
ถวายบังคมพระตถาคต ผู้ทรงเป็นสารถีฝึกคนดีที่
ควรฝึก ทรงตัดตัณหา ยินดีในกุศล เป็นผู้นำสัตว์
ผู้อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นคนฺตเร ได้แก่ ในระหว่างกลางภูผา


5 ลูก คืออิสิคิลิ เวปุลละ เวภาระ ปัณฑวะและคิชฌกูฏ. สมัยที่นครนั้น
เขาเรียกกันว่า คิริพชนคร [ ปัญจคิรีนคร ]. บทว่า นครวเร ได้แก่
นครสูงสุด. สิริมาเทพธิดา กล่าวหมายถึงกรุงราชคฤห์. บทว่า
สุมาปิเต ได้แก่ ที่มหาโควินทบัณฑิตสถาปนาโดยชอบ ด้วยวิธีใช้วิชา
ดูพื้นที่. บทว่า ปริจาริกา ได้แก่ เป็นผู้ปรนนิบัติด้วยการบำเรอด้วย
สังคีตะ. บทว่า ราชวรสฺส ได้แก่ พระเจ้าพิมพิสารมหาราชผู้ประเสริฐ.
อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า คำว่า สิริ ในคำว่า สิริมโต นี้ เป็นชื่อของ
พุทธิความรู้และบุญ. อีกนัยหนึ่ง สมบัติมีความสง่างามแห่งเรือนร่าง
เป็นต้น อันบังเกิดเพราะบุญ ท่านเรียกว่า สิริ เพราะอาศัยคนทำบุญ
หรือคนทำบุญอาศัย. สิรินั้นมีอยู่แก่พระราชานั้น เหตุนั้น พระราชานั้น
จึงทรงชื่อว่า สิริมา มีสิริ. พระราชาพระองค์นั้น ผู้ทรงมีสิริ. บทว่า
ปรมสุสิกฺขิตา ได้แก่ ศึกษาแล้วอย่างยิ่งและโดยชอบ. บทว่า อหุํ แปลว่า
ได้เป็นแล้ว. บทว่า อเวทึสุ แปลว่า รู้กันทั่วแล้ว.
บทว่า อิสินิสโภ ได้แก่ จ่าฝูงโค 100 ตัว ชื่อว่าอุสภะ. จ่าฝูง
โค 1,000 ตัว ชื่อว่า วสภะ. อีกนัยหนึ่ง จ่าฝูงโค 100 คอก ชื่อว่า
อุสภะ จ่าฝูงโค 1,000 คอก ชื่อว่า วสภะ โคที่ประเสริฐสุดกว่าโค
ทุกตัว ทนต่ออันตรายทุกอย่าง สีขาว น่าเลื่อมใส บรรทุกภาระของ
หนักได้มาก แม้เสียงฟ้าผ่า 100 ครั้งก็ไม่ทำให้หวั่นไหว ชื่อว่า นิสภะ
โคนิสภะนั้นประกอบด้วยกำลังโคนิสภะ 4 เท้าเหยียบแผ่นดิน อันตราย
ไร ๆ ก็ทำให้หวั่นไหวไม่ได้ ยืนมั่นด้วยการยืนไม่ไหวติง ฉันใด
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้น ทรงประกอบด้วยกำลังของพระตถาคตทรง
ใช้พระบาท คือ เวสารัชชญาณทั้ง 4 เหยียบแผ่นดินคือบริษัท 8 อัน

ปัจจามิตร ผู้ขัดประโยชน์ไร ๆ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ทำให้ทรง
หวั่นไหวไม่ได้ ทรงยืนหยัดด้วยการยืนอย่างไม่ไหวติง. เพราะฉะนั้น จึง
ทรงเป็นนิสภะ เพราะทรงเป็นเหมือนโคนิสภะ. ชื่อว่า ทรงเป็นนิสภะ
ในเหล่าผู้แสวงคุณที่เป็นเสกขะและอเสกขะ ซึ่งได้ชื่อว่า อิสิ ฤษี
เพราะอรรถว่าแสวงหาธรรมขันธ์ มีศีลเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า
ทรงเป็นนิสภะของเหล่าฤษีทั้งหลาย หรือเป็นฤษีด้วย เป็นนิสภะนั้นด้วย
เหตุนั้น จึงชื่อว่า อิสินิสภะ เป็นทั้งฤษีทั้งนิสภะ. ทรงชื่อว่า วินายกะ
เพราะทรงแนะนำเวไนยสัตว์ทั้งหลาย. อีกนัยหนึ่ง ทรงเว้นจากนายกผู้
แนะนำ เหตุนั้น จึงทรงชื่อว่า วินายก อธิบายว่า ทรงเป็นสยัมภู พระ-
ผู้เป็นเอง [ คือตรัสรู้เอง ].
บทว่า อเทสยิ สมุทยทุกฺขนิจฺจตํ ได้แก่ ได้ตรัสว่า สมุทัยสัจ
ทุกขสัจ ไม่เที่ยง สิ้นไปเป็นธรรมดา ด้วยเหตุนั้น สิริมาเทพธิดา จึง
แสดงอาการเป็นไปแห่งญาณ คือ การตรัสรู้ของตนว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
มีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดก็มีความดับไปเป็นธรรมดา อีก
นัยหนึ่ง บทว่า สมุทยทุกฺขนิจฺจตํ ได้แก่ สมุทัยสัจ ทุกขสัจและ
อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง. ในบทนั้น เทพธิดาแสดงวิปัสสนาภูมิ
ด้วยการถือสมุทัยสัจและทุกขสัจ แสดงอาการเป็นไปแห่งวิปัสสนาภูมินั้น
ด้วยการถือเอาความเป็นของไม่เที่ยง. จริงอยู่ เมื่อเจริญอาการคือความ
ไม่เที่ยงแห่งสังขารทั้งหลาย อาการคือทุกข์ แม้อาการคืออนัตตา ก็เป็น
อันเจริญด้วย เพราะอาการทั้งสามนั้นเกี่ยวเนื่องกับสังขารนั้น ด้วยเหตุ
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ สิ่งใด
เป็นทุกข์ สิ่งนั้นก็เป็นอนัตตา. บทว่า อสงฺขตํ ทุกฺขนิโรธสสฺสตํ ได้แก่

ชื่อว่าอสังขตะ เพราะปัจจัยไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้. ประกอบความว่า ได้
ทรงแสดงอริยสัจจธรรม ชื่อทุกขนิโรธ เพราะดับทุกข์ในวัฏฏะหมดสิ้น
ชื่อว่า สัสสตะ เพราะเป็นของจริงทุกสมัยแก่ดีฉัน. บทว่า มคฺคญฺจิมํ
อกุฏิลมญฺชสํ สีวํ
ความว่า มรรคชื่อว่า อกุฏิละไม่คด เพราะเว้น
ขาดอันตะทางสุดทั้งสอง [ กามสุขัลลิกานุโยคและอัตตกิลถานุโยค ]
และเพราะละกิเลสมีมายาเป็นต้นที่ทำให้คด และความคดทางกายเป็นอาทิ
เสียได้ ชื่อว่า อัญชสะทางตรง ก็เพราะไม่คดเคี้ยวนั้นนั่นเอง. ชื่อว่า
สิวะเกษม คือนิพพาน ก็เพราะตัดกิเลสมีกามราคะเป็นต้นที่ทำให้ไม่เจริญ
รุ่งเรืองได้เด็ดขาด. บทว่า มคฺคํ ประกอบความว่า ได้ทรงแสดงแก่
ดีฉัน ถึงอริยสัจกล่าวคือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาที่ประจักษ์แล้วแก่ท่าน
และดีฉันนี่ ซึ่งได้นามว่า มรรค ก็เพราะผู้ต้องการพระนิพพานแสวงหา
กัน หรือเพราะฆ่ากิเลสทั้งหลายไป.
ในบทว่า สุตฺวานหํ อมตปทํ อสงฺขตํ ตถาคตสฺส อนธิวรสฺส
สาสนํ
นี้ มีความย่อดังนี้ว่า ดีฉันได้ฟังพระสัทธรรมคำสอนของพระผู้
ชื่อว่า ตถาคต เพราะอรรถมีการเสด็จมาอย่างนั้นเป็นต้น ผู้เป็นพระ-
สัมมาสัมพุทธะนี้ชื่อว่า อนธิวระ เพราะเป็นผู้เลิศในโลก พร้อมทั้ง
เทวโลก อันชื่อว่า อมตบท อสังขตะ เพราะทรงแสดงเจาะจงถึงพระ-
นิพพาน ที่เป็นอมตบท อสังขตะ เพราะเป็นอุบายให้ดำเนินถึงอมตะ
หรือพระนิพพาน และเพราะพระนิพพาน แม้ปัจจัยไร ๆ ก็พึงปรุงแต่ง
ไม่ได้. บทว่า สีเลสฺวาหํ ได้แก่ ดีฉัน ในศีลทั้งหลาย ที่พึงเผล็ดผล.
บทว่า ปรมสุสํวุตา ได้แก่ สำรวมดีอย่างยิ่ง คือโดยชอบทีเดียว. บทว่า
อหุํ แปลว่า ได้เป็นแล้ว. บทว่า ธมฺเม ฐิตา ได้แก่ ตั้งอยู่ในปฏิปัตติธรรม.

บทว่า ญตฺวาน ได้แก่ รู้ด้วยการตรัสรู้ด้วยการทำให้แจ้ง. บทว่า
ตตฺเถว แปลว่า ในขณะนั้นนั่นเอง หรือในอัตภาพนั้นนั่นแล. บทว่า
สมถสมาธิมาผุสํ ได้แก่ สัมผัส คือประสบ โลกุตรสมาธิ ที่เป็น
สมถะฝ่ายปรมัตถ์ เพราะสงบ เพราะระงับ โดยตัดธรรมฝ่ายข้าศึกได้
เด็ดขาด ก็ผิว่า ขณะใด ตรัสรู้ด้วยการทำให้แจ้งซึ่งนิโรธ ขณะนั้นนั่น
แหละ ก็เป็นอันตรัสรู้ด้วยการเจริญมรรค แต่เที่ยวแสดงการรู้ทะลุปรุโปร่ง
ซึ่งอารมณ์ ทำให้เป็นเหมือนเหตุที่การรู้ทะลุปรุโปร่งด้วยการเจริญ สำเร็จ
เป็นเบื้องต้น เทวดาจึงกล่าวว่า ดีฉันรู้บทที่ปราศจากกิเลสดุจธุลี ที่
ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ ซึ่งพระตถาคตผู้ที่ไม่มีผู้อื่นประเสริฐกว่าทรงแสดง
แล้ว
ดีฉันจึงได้สัมผัสสมาธิทางสมถะ ในขณะนั้นนั่นเอง เหมือนดัง
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อาศัยจักษุและรูป จักษุวิญญาณ จึงเกิด
ดังนี้. อีกนัยหนึ่ง บทว่า ญตฺวาน พึงทราบว่า เทวดากล่าวโดยที่การ
เสมอกัน [ พร้อมกัน ] เหมือนดังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดวง-
อาทิตย์อุทัยสู่ท้องฟ้า กำจัดมืดได้หมด. บทว่า สาเยว แปลว่า ความ
สัมผัสโลกุตรสมาธิ ที่ได้แล้วนั่นแหละ. บทว่า ปรมนิยามตา ได้แก่
เป็นความแน่นอนแห่งมรรค อย่างยิ่งสูงสุด.
บทว่า วิเสสํ ได้แก่ แปลก คือให้สำเร็จความผิดแผกจากปุถุชน
ทั้งหลาย. บทว่า เอกํสิกา ได้แก่ หมดความสงสัยในพระรัตนตรัย ที่มี
การยึดมั่นส่วนเดียวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
พระธรรม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดี
แล้ว. บทว่า อภิสมเย วิเสสิย ได้แก่ บรรลุคุณวิเศษ โดยการรู้
ทะลุปรุโปร่งซึ่งสัจจะ เกจิอาจารย์กล่าวว่า วิเสสินี ก็มี อธิบายว่า มี

คุณวิเศษ เพราะเหตุตรัสรู้. บทว่า อสํสยา ได้แก่ ชื่อว่า ปราศจาก
ความสงสัย เพราะละความสงสัยที่มีวัตถุ 16 และวัตถุ 8 ได้แล้ว.
เกจิอาจารย์กล่าวว่า อสํสิยา. บทว่า พหุชนปูชิตา ความว่า มีคุณที่ผู้
ไปสุคติอื่นพึงปรารถนา. บทว่า ขิฑฺฑา รตึ ได้แก่ ความยินดีเล่น อีกอย่าง
หนึ่ง เล่นด้วย ยินดีด้วย คือ อยู่ด้วยการเล่น และสุขด้วยความยินดี.
บทว่า อมตทสมฺหิ ได้แก่ ดีฉันเป็นผู้เห็นอมตะ เห็นพระ-
นิพพาน. บทว่า ธมฺมทสา ได้แก่ เห็นธรรมคือ สัจจะ 4. บทว่า
โสตาปนฺนา ได้แก่ ผู้ถึงกระแสอริยมรรคเบื้องต้น. บทว่า น จ ปนมตฺถิ
ความว่า ก็แต่ดีฉันไม่มีทุคติ เพราะไม่มีการตกต่ำเป็นธรรมดากันละ.
บทว่า ปาสาทิเก ได้แก่ นำมาซึ่งความเลื่อมใส. บทว่า กุสลรเต
ได้แก่ ผู้ยินดีในกุศล ธรรมที่ไม่มีโทษ พระนิพพาน. บทว่า ภิกฺขโว
แปลว่า ซึ่งภิกษุทั้งหลาย. บทว่า นมสฺสิตุํ อุปาคมึ ประกอบกับบทว่า
สมณสมาคมํ สิวํ เชื่อมความว่า และดีฉันเข้ามา ก็เพื่อจะนั่งใกล้
สมาคม สังคม ที่เจริญรุ่งเรือง ที่มีธรรมเกษม ของเหล่าพระสมณะ
ผู้สงบบาป พุทธสาวกของพระพุทธเจ้า. บทว่า สิริมโต ธมฺมราชิโน
เป็นฉัฏฐีวิภัตติ อธิบายว่าในพระธรรมราชา ผู้ทรงสิริ ก็พวกเกจิอาจารย์
ก็กล่าวกันดังนี้ทั้งนั้น.
บทว่า มุทิตมนมฺหิ แปลว่า ดีฉันมีใจบันเทิงแล้ว. บทว่า ปีณิตา
ได้แก่ ยินดีแล้ว อีกอย่างหนึ่ง อิ่มแล้ว โดยรสแห่งปีติ. บทว่า นรวร-
ธมฺมสารถึ
ได้แก่ พระผู้ชื่อว่า นรวรทัมนสารถี เพราะทรงเป็นผู้ชื่อว่า
พระผู้ประเสริฐ เพราะเป็นบุคคลผู้เลิศด้วย เป็นผู้ชื่อว่า ทัมมสารถี
เพราะทรงนำผู้ที่ควรฝึก คือ เวไนยสัตว์ที่ควรฝึกให้แล่นมุ่งหน้าไปสู่

พระนิพพานด้วย . บทว่า ปรมหิตานุกมฺปกํ ได้แก่ ทรงอนุเคราะห์สัตว์
ทั้งปวง ด้วยประโยชน์เกื้อกูล อย่างยิ่ง อย่างสูงสุด.
สิริมาเทพธิดา ครั้นประกาศความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย โดยมุข
คือประกาศลัทธิของตนอย่างนี้แล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าและ
ภิกษุสงฆ์ ทำประทักษิณเวียนขวาแล้ว ก็กลับเทวโลกแห่งเดิม พระผู้มี
พระภาคเจ้า ทรงทำเรื่องที่มาถึงแล้วนั้นนั่นแหละ ให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ
เกิดเรื่องแล้วทรงแสดงธรรม. จบเทศนา ภิกษุผู้กระสันก็บรรลุพระอรหัต
พระธรรมเทศนานั้น เกิดประโยชน์แม้แก่บริษัทที่ประชุมกันแล.
จบอรรถกถาสิริมาวิมาน

17. เปสการิยวิมาน


ว่าด้วยเปสการิยวิมาน


[17] ท้าวสักกเทวราชตรัสถามว่า
วิมานนี้งดงามส่องแสงรุ่งเรืองประจำ มีเสา
แก้วไพฑูรย์ สดใสไร้มลทิน ต้นไม้ทองคำปกคลุม
โดยรอบ เป็นสถานที่เกิดด้วยผลกรรมของเรา เทพ-
อัปสรที่มีอยู่ก่อนตั้งแสนเหล่านั้น ก็เกิดในวิมานนั้น
เพราะกรรมของตนเอง.

เจ้าเป็นผู้เพรียบพร้อมด้วยบริวารยศก็เข้าอยู่
ส่งรัศมีข่มเทวดาที่เกิดก่อน พระจันทร์ราชาแห่ง