เมนู

ปารายนวรรคที่ 5


วัตถุกถา


ว่าด้วยอวิชชา คือ ธรรมเป็นศีรษะ


[424] พราหมณ์พาวรีผู้ถึงฝั่งแห่ง
มนต์ ปรารถนาซึ่งความเป็นผู้ไม่มีกังวล ได้
จากบุรีอันเป็นที่รื่นรมย์แห่งชาวโกศล ไปสู่
ทักขิณาปถชนบท.
พราหมณ์นั้นอยู่ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำโคธา-
วรี ใกล้พรมแดนแห่งแคว้นอัสสกะและ
แคว้นมุฬกะ ด้วยการแสวงหาเสบียงเลี้ยงชีพ
และผลไม้.
ชาวบ้านที่อาศัยพราหมณ์พาวรีนั้น
ก็เป็นผู้ไพบูลย์ พราหมณ์พาวรีได้บูชามหา-
ยัญด้วยส่วย อันเกิดแต่กสิกรรมเป็นต้นใน
บ้านนั้น ครั้นบูชามหายัญแล้วได้กลับเข้าไป
สู่อาศรม.
เมื่อพราหมณ์พาวรีนั้นกลับเข้าไปสู่
อาศรมแล้ว พราหมณ์อื่นเดินเท้าเสียดสีกัน
ฟันเขลอะ ศีรษะเกลือกกลั้วด้วยธุลี ได้มา

ทำให้พราหมณ์พาวรีสะดุ้ง ก็พราหมณ์นั้น
เข้าไปหาพราหมณ์พาวรีแล้วขอทรัพย์ 500.
พราหมณ์พาวรีเห็นพราหมณ์นั้นแล้ว
ได้เชื้อเชิญด้วยอาสนะไต่ถามถึงสุขและกุศล
แล้วได้กล่าวว่า ไทยธรรมวัตถุอันใดของเรา
ไทยธรรมวัตถุทั้งปวงนั้น เราสละเสียสิ้น
แล้ว ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงเชื่อเราเถิด
ทรัพย์ 500 ของเราไม่มี.
เมื่อเราขออยู่ ถ้าท่านไม่ให้ไซร้ ใน
วันที่ 7 ศีรษะของท่านจะแตก 7 เสี่ยง.
พราหมณ์ผู้หลอกลวงนั้น กระทำ
อุบายแล้ว ได้กล่าวคำจะให้เกิดความกลัว.
พราหมณ์พาวรีฟังคำของพราหมณ์
นั้นแล้ว เป็นผู้มีทุกข์ซูบซีด ไม่บริโภค
อาหาร เพียบพร้อมด้วยลูกศรคือความโศก
อนึ่ง เมื่อพราหมณ์พาวรีคิดอยู่อย่างนี้ ใจก็
ไม่ยินดีในฌาน.
เทวดาผู้ปรารถนาประโยชน์ เห็น
พราหมณ์พาวรีมีทุกข์สะดุ้งหวาดหวั่น จึง
เข้าไปหาพราหมณ์พาวรีแล้วได้กล่าวว่า

พราหมณ์นั้นไม่รู้จักศีรษะ เป็นผู้หลอกลวง
ต้องการทรัพย์ไม่มีความรู้ในธรรมเป็นศีรษะ
และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป.

พราหมณ์พาวรีถามว่า
บัดนี้ ท่านรู้จักข้าพเจ้า ข้าพเจ้า
ถามท่านแล้วขอท่านจงบอกธรรมเป็นศีรษะ
และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป แก่ข้าพเจ้า
เถิด ข้าพเจ้าจะฟังคำของท่าน.

เทวดาตอบว่า
แม้เราก็ไม่รู้ธรรมเป็นศีรษะ และ
ธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป เราไม่ความรู้
ในธรรมทั้ง 2 นี้ ปัญญาเป็นเครื่องเห็นธรรม
อันเป็นศีรษะและธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตก
ไป ย่อมมีแก่พระชินเจ้าทั้งหลาย.

พราหมณ์พาวรีถามว่า
ก็บัดนี้ ใครเล่าในปฐพีมณฑลนี้ ย่อม
รู้ ดูก่อนเทวดา ขอท่านจงบอกบุคคลผู้รู้
ธรรมเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะ
ตกไปนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด.

เทวดาตอบว่า

ดูก่อนพราหมณ์ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ศากยบุตรลำดับพระวงศ์ของพระเจ้าโอก-
กากราช มีพระรัศมีรุ่งเรือง เป็นนายกของ
โลก เสด็จออกผนวชจากพระนครกบิลพัสดุ์
เป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ทรงถึงฝั่งแห่ง
ธรรมทั้งปวง ทรงบรรลุอภิญญาและทศพล
ญาณครบถ้วน ทรงมีพระจักษุในสรรพธรรม
ทรงบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่ง
ธรรมทั้งปวง ทรงน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้น
อุปธิ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นตรัสรู้
แล้วในโลก มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรม
ท่านจงไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์
นั้นเถิด พระองค์จักตรัสพยากรณ์ข้อความ
นั้นแก่ท่าน.
พราหมณ์พาวรีได้ฟังคำว่า สัมพุทโธ
ดังนี้ เป็นผู้มีใจเฟื่องฟู มีความโศกเบาบาง
และได้ปีติอันไพบูลย์ พราหมณ์พาวรีนั้นมีใจ
ชื่นชมเบิกบาน เกิดความโสมนัส จึงถาม
เทวดานั้นว่า พระโลกนาถประทับอยู่ใน
คามนิคมหรือในชนบทไหน ข้าพเจ้าจะพึง

ไปนมัสการพระสัมพุทธเจ้า ผู้อุดมกว่าสัตว์
ได้ในที่ใด.

เทวดาตอบว่า
พระชินเจ้าผู้ศากยบุตร ทรงมีพระ-
ปัญญามาก มีพระปัญญาประเสริฐ กว้างขวาง
ทรงปราศจากธุระ หาอาสวะมิได้ องอาจ
กว่านระ ทรงรู้ธรรมเป็นศีรษะและธรรม
เป็นเหตุให้ศีรษะตกไป ประทับอยู่ ใน
มณเฑียรสถานของชนชาวโกศลในพระนคร
สาวัตถี.
ลำดับนั้น พราหมณ์พาวรี เรียก
พราหมณ์ทั้งหลายผู้ถึงฝั่งแห่งมนต์ ซึ่งเป็น
ศิษย์มาสั่งว่า ดูก่อนมาณพทั้งหลาย ท่าน
ทั้งหลายจงมาเถิด เราจักบอกแก่ท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายจงฟังคำของเรา ความปรากฏ
แห่งพระสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด อันสัตว์ใด
ยากเนือง ๆ ในโลกนี้ วันนี้ พระสัมพุทธเจ้า
พระองค์นั้น ปรากฏว่าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วใน
โลก ท่านทั้งหลายจงรีบไปเมืองสาวัตถี เข้า
เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้อุดมกว่าสัตว์เถิด.

พราหมณ์ผู้เป็นศิษย์ทั้งหลายซักถามด้วยคาถาว่า

ข้าแต่ท่านพราหมณ์ บัดนี้ ข้าพเจ้า
ทั้งหลายได้เห็นแล้วจะพึงรู้ว่า ท่านผู้นี้เป็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยอุบายอย่างไรเล่า
ขอท่านจงบอกอุบายที่ข้าพเจ้าทั้งหลายจะพึง
รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแก่
ข้าพเจ้าทั้งหลายผู้ไม่รู้เถิด.

พราหมณ์พาวรีกล่าวว่า
ก็มหาปุริสลักษณะ 32 ประการ มา
แล้วในมนต์ทั้งหลาย อันพราหมณาจารย์
ทั้งหลายพยากรณ์ไว้บริบูรณ์แล้วตามลำดับว่า
มหาปุริสลักษณะทั้งหลาย มีอยู่ใน
วรกายของพระมหาบุรุษใด พระมหาบุรุษนั้น
มีคติเป็น 2 เท่านั้น คติที่ 3 ไม่มีเลย
คือ ถ้าพระมหาบุรุษนั้นอยู่ครองเรือน
จะพึงชนะทั่วปฐพีนี้ จะทรงปกครองโดย
ธรรมด้วยไม่ต้องใช้อาชญา ไม่ต้องใช้ศัสตรา
ถ้าออกบวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยม มี
หลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้ว
ท่านทั้งหลายจงถามถึงชาติ โคตร
ลักษณะ มนต์ และศิษย์เหล่าอื่นอีกและถาม

ถึงศีรษะและธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป
ด้วยใจเทียว.
ถ้าว่าท่านนั้นจักเป็นพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงเห็นธรรมอันหาเครื่องกางกั้นมิได้ไซร้
จักวิสัชนาปัญหาอันท่านทั้งหลายถามด้วย
วาจาได้.
พราหมณ์มาณพผู้เป็นศิษย์ 16 คน
คือ อชิตะ 1 ติสสเมตเตยยะ 1 ปุณณกะ 1
เมตตคู 1 โธตกะ 1 อุปสีวะ 1 นันทะ 1
เหมกะ 1 โตเทยยะ 1 กัปปะ 1 ชตุกัณณี
ผู้เป็นบัณฑิต 1 ภัทราวุธะ 1 อุทยะ 1 โป-
สาลพราหมณ์ 1 โมฆราชผู้มีเมธา 1 ปิงคิยะ
ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ 1
พราหมณ์มาณพทั้งปวง คนหนึ่ง ๆ
เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ ปรากฏแก่โลกทั้งปวง
เป็นผู้เพ่งฌาน มีปัญญาทรงจำ อันวาสนา
ในก่อนอบรมแล้ว ทรงชฎาหนังเสือเหลือง
ได้ฟังคำของพราหมณ์พาวรีแล้ว อภิ-
วาทพราหมณ์พาวรี กระทำประทักษิณแล้ว
บ่ายหน้าต่อทิศอุดร มุ่งไปยังที่ตั้งแห่งแว่น
แคว้นมุฬกะ เมื่องมาหิสสติ ในคราวนั้น.

เมืองอุชเชนี เมืองโคนัทธะ เมือง
เวทิสะ เมืองวนนคร เมืองโกสัมพี เมือง
สาเกต เมืองสาวัตถีอันเป็นเมืองอุดม เมือง
เสตัพยะ เมืองกบิลพัสดุ์ เมืองกุสินารามัน-
ทิรสถาน (เมืองมันทิระ) เมืองปาวา เมือง
โภคนคร เมืองเวสาลี เมืองราชคฤห์ และ
ปาสาณกเจดีย์อันเป็นรมณียสถานที่น่า
รื่นรมย์ใจ.
พราหมณ์มาณพทั้งหลายพากันยินดี
ได้รีบด่วนขึ้นสู่เจติยบรรพต เหมือนบุคคลผู้
กระหายน้ำ ยินดีน้ำเย็น เหมือนพ่อค้ายินดี
ลาภใหญ่ และเหมือนบุคคลถูกความร้อน
แผดเผายินดีร่มเงา ฉะนั้น.
ก็ในสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า อัน
ภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว ทรงแสดงธรรมแก่
ภิกษุทั้งหลายอยู่ ประหนึ่งราชสีห์บันลืออยู่
ในป่า ฉะนั้น.
อชิตมาณพได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธ-
เจ้ามีพระรัศมี เรื่อเรืองเหลืองอ่อน ถึงความ
บริบูรณ์ดังดวงจันทร์ในวันเพ็ญ ลำดับนั้น

อชิตมาณพได้เห็นพระอวัยวะอันบริบูรณ์ ใน
พระกายของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น มีความ
ร่าเริง ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้ทูล
ถามปัญหาด้วยใจว่า
ขอพระองค์จงตรัสบอกอ้าง (ชาติ)
อายุ โคตร พร้อมทั้งลักษณะ และขอได้ตรัส
บอกการถึงความสำเร็จในมนต์ทั้งหลายแห่ง
อาจารย์ของข้าพระองค์เถิด พราหมณ์ผู้เป็น
อาจารย์ของข้าพระองค์ย่อมบอกมนต์กะศิษย์
มีประมาณเท่าไร พระเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ก็พราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ของท่านนั้น
มีอายุร้อยยี่สิบปี ชื่อพาวรีโดยโคตร ลักษณะ
ในกายของพราหมณ์พาวรีนั้นมี 3 ประการ
พราหมณ์พาวรีนั้นเรียนจบไตรเพท ในตำรา
ทำนายมหาปุริสลักษณะ คือ คัมภีร์อิติหาส
พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุศาสตร์และเกฏุภ-
ศาสตร์ ถึงซึ่งความสำเร็จในธรรมแห่ง
พราหมณ์ของตนย่อมบอกมนต์กะมาณพ 500.

อชิตมาณพทูลถามว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดกว่านรชน ขอ
พระองค์จงค้นคว้าลักษณะทั้งหลายของ
พราหมณ์พาวรี ขอจงทรงประกาศตัดความ
ทะเยอทะยาน อย่าให้ข้าพระองค์มีความ
สงสัยเถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ดูก่อนมาณพ พราหมณ์พาวรีนั้น
ย่อมปกปิดมุขมณฑล (หน้า) ด้วยชิวหาได้
มีอุณาโลมชาติในระหว่างคิ้ว มีคุยหฐานอยู่
ในฝัก ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด.
ชนทั้งปวงไม่ได้ยินใคร ๆ ผู้ถามเลย
ได้ฟังปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยา-
กรณ์แล้ว (นึกคิดอยู่) คิดพิศวงอยู่ เกิดความ
โสมนัสประณมอัญชลี (สรรเสริญ) ว่า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า เป็นอะไรหนอ เป็นเทวดา
หรือเป็นพรหม หรือเป็นท้าวสุชัมบดีจอม
เทพ เมื่อปัญหาอันผู้ถาม ถามแล้วด้วยใจ
ข้อปัญหานั้น ไฉนมาแจ่มแจ้งแก่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าได้.

อชิตมาณพทูลถามด้วยใจต่อไปว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่าน
พราหมณ์พาวรี ถามถึงธรรมเป็นศีรษะ และ
ธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป ขอพระองค์
ตรัสพยากรณ์ข้อนั้น กำจัดความสงสัยของ
พวกข้าพระองค์ ผู้เป็นฤาษีเสียเถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า
ท่านจงรู้เถิดว่า อวิชชาชื่อว่าธรรม
เป็นศีรษะ วิชชาประกอบด้วยศรัทธา สติ
สมาธิ ฉันทะ และวิริยะ ชื่อว่าเป็นธรรม
เครื่องให้ศีรษะตกไป
ลำดันนั้น อชิตมาณพมีความโสมนัส
เป็นอันมาก เบิกบานใจ กระทำหนังเสือ
เหลืองเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง หมอบลงแทบพระ-
บาทยุคลด้วยเศียรเกล้า กราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้นิรทุกข์ ผู้มีพระจักษุ พราหมณ์
พาวรีผู้เจริญ มีจิตเบิกบาน ดีใจพร้อมด้วย
ศิษย์ทั้งหลายขอไหว้พระบาทยุคล (ของพระ
ผู้มีพระภาคเจ้า)

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนมาณพ พราหมณ์พาวรีพร้อม
ด้วยศิษย์ทั้งหลาย จงเป็นผู้ถึงความสุขเถิด
แม้ถึงท่านก็จงเป็นผู้ถึงความสุข จงเป็นอยู่
สิ้นกาลนานเถิด

ก็ท่านทั้งหลายมีโอกาสอันเราได้
กระทำแล้ว ปรารถนาในใจเพื่อจะถาม
ปัญหาข้อใดข้อหนึ่ง ก็จงถามความสงสัย
ทุก ๆ อย่างของพราหมณ์พาวรีหรือของท่าน
ทั้งปวงเถิด
อชิตมาณพมีโอกาสอันพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้ากระทำแล้ว นั่งลงประณมอัญชลี
ทูลถามปัญหาเเรกกะพระตถาคต ณ ที่นั่ง
ฉะนี้แล.

จบวัตถุกถา

อรรถกถาปารายนวรรคที่ 5


อรรถกถาวัตถุคาถา1 แห่งปารายนวรรค


วัตถุคาถา

แห่งปารายนวรรคมีคำเริ่มต้นว่า โกสลานํ ปุรา รมฺมา
ดังนี้.
วัตถุคาถานี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ?
มีเรื่องอยู่ว่า ครั้งอดีตกาล มีช่างไม้คนหนึ่งชาวกรุงพาราณสี. ไม่มี
ใครเป็นสองในสำนักอาจารย์ของตน. ช่างไม้นั้นมีศิษย์ 16 คน ศิษย์คน
หนึ่ง ๆ มีอันเตวาสิกคนละ 1,000 คน. อาจารย์และอันเตวาสิกเหล่านั้นรวม
เป็น 16,000 คนอย่างนี้. ทั้งหมดนั้นอาศัยกรุงพาราณสีเลี้ยงชีพ ได้ไปใกล้ภูเขา
เอาไม้มาสร้างปราสาทชนิดต่าง ๆ ณ ที่นั้นขาย แล้วผูกแพนำมากรุงพาราณสี
1. บาลีใช้ว่า วัตถุกถา.