เมนู

อัตตทัณฑสูตรที่ 15


ว่าด้วยความสลดใจ


[422] ภัยเกิดแล้วแต่อาชญาของ
ตน ท่านทั้งหลายจงเห็นคนผู้ทะเลาะกัน เรา
จักแสดงควานสลดใจตามที่เราได้สลดใจมา
แล้ว.
เราได้เห็นหมู่สัตว์กำลังดิ้นรนอยู่
(ด้วยตัณหาและทิฏฐิ) เหมือนปลาในแอ่ง
น้ำน้อย ฉะนั้น ภัยได้เข้ามาถึงเราแล้ว
เพราะได้เห็นคนทั้งหลายผู้พิโรธกันและกัน.
โลกโดยรอบหาแก่นสารมิได้ ทิศ
ทั้งปวงหวั่นไหวแล้ว เราปรารถนาความ
ต้านทานแก่ตนอยู่ ไม่ได้เห็นสถานที่อะไร ๆ
อันทุกข์มีชราเป็นต้นไม่ครอบงำแล้ว.
เราไม่ได้มีความยินดี เพราะได้เห็น
สัตว์ทั้งหลาย ผู้อันทุกข์มีชราเป็นต้นกระทบ
แล้วผู้ถึงความพินาศ อนึ่ง เราได้เห็นกิเลส
ดุจลูกศรมีราคะเป็นต้น ยากที่สัตว์จะเห็น
ได้ อันอาศัยหทัยในสัตว์เหล่านี้.

สัตว์อันกิเลสดุจลูกศรมีราคะเป็นต้น
ใดเสียบติดอยู่แล้ว ย่อมแล่นไปยังทิศทั้ง
ปวง บัณฑิตถอนกิเลสดุจลูกศรมีราคะเป็น-
ต้นนั้นออกได้แล้ว ย่อมไม่แล่นไปยังทิศและ
ไม่จมลงในโอฆะทั้งสี่.
อารมณ์น่ายินดีเหล่าใดมีอยู่ในโลก
หมู่มนุษย์ย่อมพากันเล่าเรียนศึกษา เพื่อให้
ได้ซึ่งอารมณ์ที่น่ายินดีเหล่านั้น กุลบุตรผู้
เป็นบัณฑิต ไม่พึงขวนขวายในอารมณ์ที่
น่ายินดีเหล่านั้น พึงเบื่อหน่ายกามทั้งหลาย
โดยประการทั้งปวงแล้ว พึงศึกษานิพพาน
เพื่อตน.
มุนีพึงเป็นผู้มีสัจจะ ไม่คะนองไม่มี
มายา ละการส่อเสียดเสีย เป็นผู้ไม่โกรธ
พึงข้ามความโลภอันลามกและความตระหนี่
เสีย.
นรชนพึงครอบงำความหลับ ความ
เกียจคร้าน ความท้อแท้เสีย ไม่พึงอยู่ร่วม
ด้วยความประมาท ไม่พึงดำรงอยู่ในการ
ดูหมิ่นผู้อื่น พึงมีใจน้อมไปในนิพพาน.

ไม่พึงน้อมไปในการกล่าวมุสา ไม่
พึงกระทำความเสน่หาในรูปและพึงกำหนด
รู้ความถือตัว พึงเว้นเสียจากความผลุนผลัน
เเล้วเที่ยวไป.
ไม่พึงเพลิดเพลินถึงอารมณ์ที่ล่วงมา
แล้ว ไม่พึงกระทำความพอใจในอารมณ์ที่
เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ไม่พึงเศร้าโศกถึงอารมณ์
ที่กำลังละไปอยู่ ไม่พึงเป็นผู้อาศัยตัณหา.
เรากล่าวความกำหนัดยินดีว่าเป็น
โอฆะอันใหญ่หลวง กล่าวตัณหาว่าแล่นไป
เร็ว กล่าวตัณหาว่า เป็นเครื่องกระซิบใจ
กล่าวตัณหาว่าเป็นอารมณ์ กล่าวตัณหาว่า
ทำใจให้กำเริบ เปือกตมคือกาม ยากที่สัตว์
จะล่วงไปได้.
พราหมณ์ผู้เป็นมุนี ไม่ปลีกออกจาก
สัจจะแล้ว ย่อมตั้งอยู่บนบก คือ นิพพาน
มุนีนั้นแล สละค้นอายตนะทั้งหมดแล้วโดย
ประการทั้งปวง เรากล่าวว่า เป็นผู้สงบ.
มุนีนั้นแลเป็นผู้รู้ เป็นผู้ถึงเวท รู้
สังขตธรรมแล้ว อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัย
เป็นอยู่ในโลกโดยชอบ ย่อมไม่ทะเยอทะยาน
ต่ออะไร ๆ ในโลกนี้.

ผู้ใดข้ามกามทั้งหลาย และธรรมเป็น
เครื่องข้องยากที่สัตว์จะล่วงได้ในโลกมิได้
แล้ว ผู้นั้นตัดกระแสตัณหาขาดแล้ว ไม่มี
เครื่องผูกพัน ย่อมไม่เศร้าโศก ย่อมไม่
เพ่งเล็ง.
ท่านจงทำกิเลสชาติเครื่องกังวลใน
อดีตให้เหือดแห้ง กิเลสชาติเครื่องกังวลใน
อนาคตอย่าได้มีแก่ท่าน ถ้าท่านจักไม่ถือ
เอาในปัจจุบันไซร้ ท่านจักเป็นผู้สงบเที่ยว
ไป.
ผู้ใดไม่มีความยึดถือในนามรูป ว่า
เป็นของเราโดยประการทั้งปวง และไม่
เศร้าโศกเพราะเหตุแห่งนามรูปอันไม่มี ผู้
นั้นแลย่อมไม่เสื่อมในโลก.
ผู้ใดไม่มีกิเลสเครื่องกังวลว่า สิ่งนี้
ของเรา และว่า สิ่งนี้ของผู้อื่น ผู้นั้นไม่
ประสบการยึดถือในสิ่งนั้นว่าเป็นของเราอยู่
ย่อมไม่เศร้าโศกว่า ของเราไม่มี.
เราเป็นผู้อันเขาถามถึงบุคคลผู้ไม่
หวั่นไหว จะบอกอานิสงส์ 4 อย่างในบุคคล
นั้น ดังนี้ว่า บุคคลนั้นไม่มีความขวนขวาย

ไม่กำหนัดยินดี ไม่มีความหวั่นไหว เป็นผู้
เสมอในอารมณ์ทั้งปวง.
ธรรมชาติเครื่องปรุงแต่งอะไร ๆ ย่อม
ไม่มีแก่ผู้ไม่หวั่นไหว ผู้รู้แจ้ง ผู้นั้นเว้นแล้ว
จากการปรารภมีปัญญาภิสังขารเป็นต้น ย่อม
เห็นความปลอดโปร่งในที่ทุกสถาน.
มุนีย่อมไม่กล่าวยกย่องตนในบุคคล
ผู้เสมอกัน ผู้ต่ำกว่า ผู้สูงกว่า มุนีนั้นเป็น
ผู้สงบปราศจากความตระหนี่ ย่อมไม่ยึดถือ
ไม่สละธรรมอะไร ๆ ในบรรดาธรรมมีรูป
เป็นต้น,

จบอัตตทัณฑสูตรที่ 15

อรรถกถาอัตตทัณฑสูตรที่ 15


อัตตทัณฑสูตร

มีคำเริ่มต้นว่า อตฺตทณฺฑา ภยํ ชาตํ ดังนี้
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบการทะเลาะกันเพราะเรื่องน้ำของเจ้า
ศากยะและเจ้าโกลิยะ ดังได้พรรณนาไว้แล้วในเรื่องการเกิดขึ้นแห่งสัมมา-
ปริพพาชนิยสูตร ทรงดำริว่าพวกพระญาติทะเลาะกัน เอาเถิด เราจักห้าม
พระญาติเหล่านั้นดังนี้ เสด็จประทับยืน ณ ท่ามกลางเหล่าเสนาทั้งสองฝ่าย
แล้วจึงตรัสพระสูตรนี้.